1."บิ๊กโจ๊ก" ร้อง ป.ป.ช.ฟัน 200 ตร. สอบตนไม่ชอบ ซัด ทำเป็นขบวนการ กระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ผบ.ตร.ให้ตนออกจากราชการมิชอบ โว มวยคนละชั้น ไม่ได้แอ้มตนหรอก!
ความคืบหน้ากรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หลังได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวน บช.น. ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และข้าราชการตำรวจอีก 4 คน รวมเป็น 5 คน มีพฤติการณ์กระทำผิดอาญาจริง ในคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ BNK และเนื่องจากการกระทำผิดมีความร้ายแรง ซึ่งผู้ต้องหาทั้งห้าถูกศาลออกหมายจับ ประกอบกับการสอบวินัยอาจไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน โดยเป็นไปตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน
ปรากฏว่า เมื่อ 22 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช.ขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองถูกดำเนินคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ BNK จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน รวมทั้งยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหา 3 ส่วน คือ 1.ร้องทุกข์กล่าวโทษนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ 2.ร้องทุกข์ว่าการสอบสวนตนเองไม่ชอบ และ 3.ร้องทุกข์กล่าวโทษคณะพนักงานสอบสวนทั้งชุดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตำรวจมีหน้าที่แค่รวบรวมพยานหลักฐานและส่งให้ ป.ป.ช.สอบสวน จึงมองว่า การที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่หากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่า มีการกลั่นแกล้ง และมีขบวนการแบ่งงานกันทำ รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อวันที่ 18 เม.ย. หนึ่งวันหลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช.มองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ตนจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยกย้ายตนได้ พร้อมย้ำว่า “ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริง ผมออกเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว แต่ที่อยู่สู้แบบนี้ เพราะการสอบสวนไม่ชอบ ทำเหมือนอาญาเถื่อน”
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้อง ป.ป.ช.เอาผิดนายกฯ กรณีละเว้นปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 โดยย้อนไปตั้งแต่การตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล เป็น ผบ.ตร. ว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีคนร้องไปแล้ว และครั้งนี้มาร้องซ้ำอีก แต่ตนมั่นใจว่า ชี้แจงได้ และมีคำสั่งแต่งตั้งด้วยความเป็นธรรม ซึ่งกระบวนการแต่งตั้งมีกรรมวิธีการรับฟังความคิดเห็นทุกคนอย่างเป็นธรรม มีการพูดคุยกันในวงกว้าง ถึงจะมีการสรุป
เมื่อถามว่า มีการร้องไปจนถึงการมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และการให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เสนอมา และตนก็รับทราบเฉยๆ และที่จริงหากตนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกมาตรา 157 มากกว่า ขอย้ำว่า มั่นใจ เพราะทำตามกฎหมายทุกอย่าง และไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันต่อมา (23 เม.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอถอนเรื่องที่ยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบนายเศรษฐา กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157 โดยระบุเหตุผลว่า ไม่ติดใจจะดำเนินการเอาผิดนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนกรณีการเอาผิดพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้ยื่นถอนเรื่องแต่อย่างใด
วันต่อมา (24 เม.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึง ปปง. เพื่อคัดค้านพยานหลักฐานตรวจสอบเส้นทางการเงินของคณะพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน สำนวนคดีเครือข่ายเว็บพนัน "มินนี่" ที่ส่งให้ ปปง. ไปก่อนหน้านี้ โดยอ้างว่า ไม่สามารถนำมาประกอบสำนวนได้ เนื่องจากเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. บริเวณด้านหน้าสำนักงานรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชั้น 1 อาคาร 1 ตร. ซึ่งเป็นห้องทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งปกติจะติดป้ายชื่อไว้บริเวณประตูห้อง แต่ปรากฎว่า ในวันดังกล่าว ป้ายชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ถูกปลดออกแล้ว โดยคาดว่าถูกนำออกหลังจากที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน โดยนอกจากป้ายชื่อจะถูกปลดออกแล้ว ยังพบว่าประตูห้องถูกล็อกและไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิบัติงานด้านในแต่อย่างใด
ขณะที่เว็บไซต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th) ได้ถอดรูป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชา ระดับ รอง ผบ.ตร. เป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบการทำงานของ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.หัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีการฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บการพนัน BNK Master จำนวนกว่า 200 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า การตรวจสอบเส้นทางเงินของ สน.เตาปูน และ สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งเป็นเส้นทางเงินเดียวกัน มูลค่ารวมเกิน 300 ล้านบาท แต่กลับไม่ส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมาย ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจเปรียบเสมือนพยาบาลไม่ใช่แพทย์หากทำคลอดเองเด็กจะตาย จึงขอแนะนำว่า ให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องทุกคนมาให้ปากคำกับ ป.ป.ช. และบอกว่าใครเป็นคนสั่งการ เป็นทางเดียวที่จะรอด เข้าใจว่า วันนี้ทุกคนเครียดหมด ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การข่มขู่เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น ตนไม่ได้หน้าด้าน หากตนผิดตนพร้อมออกทันที
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รรท.ผบ.ตร.มีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน โดยขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวหากเป็นการออกโดยไม่ชอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังอ้างด้วยว่า เรื่องทั้งหมดเป็นขบวนการ 4×100 ที่มักใช้ในขบวนการค้ายาเสพติดที่ใช้อำนาจมีลักษณะทำเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ชุดตรวจค้นที่เข้าไปตรวจบ้านตนที่มาจาก 4 ต. มีต่อ เต่า ตุ้ม ไตร โดยพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ พบเส้นเงินบัญชีม้า 500 ล้านบาท แต่ไม่ส่งดีเอสไอ และ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจการสอบสวนจึงเรียกสำนวนคืนทำให้ไม่สามารถทำอะไรตนได้ จึงเปลี่ยนวิธีทำคดีใหม่ นำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เอาคดีเดิมมาแจงรายละเอียดย่อยไปทำที่ สน.เตาปูนเก็บคดีไว้ 4 เดือน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องวินัยการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ใช้เหตุผลกับตนว่า 1.ถูกกล่าวหาว่าผิดวินัยร้ายแรงจนต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน 2.ตนอยู่ในตำแหน่งแล้วเสียหายต่อองค์กรตำรวจ และ 3.การสอบสวนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว การอ้างเหตุผลแบบนี้มันผิดกฎหมาย พร้อมกล่าวถึงกรณีปลดป้ายชื่อหน้าห้องทำงานตนด้วยว่า ตนเสื่อมเสียและเสียหาย อย่าลืมว่าตอนนี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ยังเป็นรอง ผบ.ตร.ดังนั้นจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด เชื่อว่าสุดท้ายคนสั่งจะตายคนเดียว เพราะกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ผบ.ตร. ต้องบอกว่ามวยคนละชั้น เจอมาเยอะแบบไม่ได้แอ้มตนหรอก คุกแน่นอน ตอนนี้ตนไม่ใช่ผู้ต้องหาแต่เป็นผู้ถูกกล่าวหา หากยังไม่มีการชี้มูลความผิดก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น ผบ.ตร.และเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าชี้แจงนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ยังเชื่อมั่นในระบบอยู่
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ พาดพิงประเด็นการออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน โดยยืนยันว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนในอำนาจหน้าที่ที่ตนเป็นตำเเหน่งรักษาการ ผบ.ตร. ตนยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 และกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อย่างเคร่งครัด ไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรกแซง การพิจารณาเป็นไปตามหลักฐานพยาน ความร้ายแรงของคดี ไม่มีการใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรืออคติใดๆ
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า การลงนามคำสั่งของรักษาการฯ มีการบิดเบือนให้นายกรัฐมนตรีลงนามในการโยกย้ายให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กลับมาประจำที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนจะถูกสั่งออกจากราชการชั่วคราว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ท่านเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของชาติ ตนเป็นเพียงตำรวจคนหนึ่งจะเอาอะไรไปหลอกลวงระดับผู้บริหารประเทศ ด้วยสติปัญญา ด้วยความคิดต่างๆ ตนจะไปหลอกอะไรท่าน
ส่วนประเด็นที่ว่าตน เป็นคู่ขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่นั้น ตนขอบอกว่า ตนไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่ใครจะมองยังไงก็ว่ากัน แต่ตนไม่คิดที่จะขัดแย้งและตนให้เกียรติกับทุกคนเหมือนเดิม
ส่วนกรณีการปลดป้ายชื่อออกจากหน้าห้องทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนมีอะไรต้องทำมากกว่าไปปลดป้ายชื่อคนอื่น ถ้าจะปลดทำไมไม่ปลดท่าน ผบ.ตร. หรือ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ด้วย ขอย้ำว่า มีเรื่องอื่นมากกว่าต้องทำ ใครจะปลดก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่า รรท. ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ถอดป้ายชื่อหน้าห้องทำงานตนนั้น ปรากฏว่า ในเวลาต่อมา หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลอาคารสถานที่ ได้มีการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดภายในอาคาร 1 ส่วนหน้าพบว่า เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดที่ส่องตรงทางเข้า-ออกประตู สามารถจับภาพบุคคลจับกลุ่มยืนคุย และมีการขนของออกจากสำนักงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขึ้นรถที่จอดรออยู่บริเวณด้านนอก จึงสันนิษฐานว่า ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ถอดป้ายชื่อใส่กล่องออกไปก่อน แล้วจึงเริ่มขนของทั้งหมดกลับ
2."เศรษฐา" ดึงแกนนำพรรคร่วม รบ.แถลงยัน ครม.รับหลักการแจกเงินดิจิทัล ด้านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติแนะแจกเงินเฉพาะคนรายได้น้อย 15 ล้านคน ใช้งบแค่ 1.5 แสนล้าน!
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้นำแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ฯลฯ แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.ได้รับทราบผลการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะทำงาน ได้เห็นชอบหลักการกรอบโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งเรื่องกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการ แนวทางเข้าร่วมโครงการของประชาชน เงื่อนไขการใช้จ่าย ประเภทสินค้า การลงทะเบียนร้านค้า รวมถึงแหล่งเงินในการดำเนินโครงการ ซึ่งกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสำนักงบประมาณ จะศึกษารายละเอียดต่อไป
“ส่วนข้อห่วงใยใดๆ เช่น ประเด็นอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. ได้สั่งการหากมีประเด็นข้อสงสัยใดๆ ให้ส่งเรื่องไปสอบถามยังกฤษฎีกา ซึ่งทุกๆ พรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบในหลักการของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ตดังกล่าว โดยนายจุลพันธ์จะชี้แจงในรายละเอียดต่างๆ หากสื่อมวลชนมีคำถาม”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการแถลงข่าวดิจิทัลวอลเล็ต สื่อมวลชนได้เตรียมซักถาม แต่นายกฯ ได้รีบตัดบทจบการแถลงข่าวเรื่องดิจิทัลทันที ทำให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลถึงกับหัวเราะ และต่างเดินแยกย้ายกลับ ซึ่งจังหวะนี้ สื่อมวลชนได้พยายามให้ตอบคำถามต่อ โดยนายกฯ ระบุว่า ตนจะพูดเรื่องอื่นต่อ แต่เรื่องนี้จบแล้ว โอเคนะครับ ยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะ หากจะถามเรื่องเงินดิจิทัลไม่เป็นไร ให้นายจุลพันธ์อยู่รอก่อน พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากทำสัญลักษณ์ให้เงียบ พร้อมระบุอีกว่า ยังมีเนื้อข่าวอีกเยอะไม่ต้องห่วง
ขณะที่นายจุลพันธ์ตอบคำถามถึงเหตุผลที่ยังไม่เคาะวันชัดเจนในการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า ยังเคาะวันไม่ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบบด้วย แต่แน่นอนเราพยายามเร่งรัดที่สุดในกระบวนการทำทุกอย่าง แต่เราต้องรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของแอปพลิเคชัน ความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลของประชาชนและราชการ รวมถึงการทำตัวเลขต่างๆ ต้องมีความมั่นคงและปลอดภัย ฉะนั้น เราจะเร่งเกินไปโดยการไปกำหนดเวลาเพื่อบีบจนกระทั่งถึงเวลาแล้วเกิดปัญหาก็เป็นสิ่งที่เราไม่ปฏิบัติ ฉะนั้นยังยืนยันตามกรอบเดิม ลงทะเบียนในไตรมาส 3 และเปิดใช้ในไตรมาส 4
เมื่อถามว่า มีการกำหนดประเด็นการถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องใดบ้าง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ได้กำหนดประเด็น แต่นายกฯ ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. หากมีข้อสงสัยประเด็นใดก็ตามที่เป็นเรื่องของข้อกฎหมายให้ดำเนินการส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส.
ถามต่อว่า สรุปคือกระทรวงการคลังจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ธ.ก.ส.มีอำนาจในการให้เงินหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประเด็นนี้คงต้องส่งครับ เมื่อถามว่า ได้นำเรื่องเพื่อเข้าบอร์ด ธ.ก.ส.เพื่ออนุมัติแล้วหรือยัง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยัง ประเด็นของเรื่องนี้ขอเรียนว่ากระบวนการในการดำเนินการตามมาตรา 28 เป็นกระบวนการงบประมาณประเภทหนึ่ง เป็นการดำเนินการตามสิ่งที่เรียกว่านโยบายกึ่งการคลัง นโยบายนี้จะเริ่มดำเนินการได้ตามกรอบของมาตรา 28 ซึ่งจะเริ่มต้นประมาณเดือน ต.ค. คงจะใกล้ๆ ช่วงนั้นถึงจะมีการพิจารณาผ่านบอร์ด และ ครม.อีกครั้ง
“ส่วนคำถามที่เกี่ยวข้องกับสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. ทาง ธ.ก.ส.มีความมั่นคงและอย่าลืมว่า ธ.ก.ส.รัฐบาลถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เรามีแต่เสริมความแข็งแกร่งให้กับ ธ.ก.ส. สิ่งที่ผมได้ชี้แจงกับสหภาพฯ มี 3 ประเด็น คือ 1.การดำเนินการต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมายทุกประการ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. หากมีข้อสงสัยใดในการดำเนินการให้เกิดความกระจ่างชัดรัฐบาลยินดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฤษฎีกาก็ตาม 2.เสถียรภาพของ ธ.ก.ส. มีความมั่นคงสูง สิ่งที่เราจะดำเนินการอยู่ในศักยภาพที่ ธ.ก.ส.จะดำเนินการได้ โดยที่ไม่มีประเด็นปัญหาอะไร แต่รัฐบาลจะดำเนินการอะไรก็ตามแน่นอนมีแต่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธนาคารในกำกับ เพราะ ธ.ก.ส.เป็นปีกหลักปีกหนึ่งในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกร รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาใช้บริการ ธ.ก.ส.มาโดยตลอด รัฐบาลชุดนี้แน่นอนเราเห็นความสำคัญ มีแต่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น และ 3.สิ่งที่ดำเนินการจะไม่กระทบต่อสวัสดิภาพสวัสดิการใดๆ ของพนักงาน ลูกจ้าง ธ.ก.ส. เด็ดขาด”
เมื่อถามว่า มีนโยบายที่จะเพิ่มทุนให้ ธ.ก.ส. อย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการพูดคุยกันในส่วนของพวกเราเอง มีกระบวนการอยู่ แต่กระบวนการพูดคุยเวลาเราเติมเงินกับธนาคารในกำกับ เช่น การเติมเงินให้ ธ.ก.ส. โดย 1 บาท จะสามารถเปิดเป็นวงเงินสินเชื่อให้กับเกษตรกรเป็น 11 บาท เป็นการเติมความแข็งแกร่งอย่างหนึ่งที่เราพิจารณาอยู่ ส่วนจะเท่าไหร่และเมื่อไหร่ ขอประชุมพิจารณากันอีก 1-2 ครั้ง ยืนยันว่า ธ.ก.ส.มีสภาพคล่องเพียงพอ
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง กล่าวยืนยันถึงระบบแอปพลิเคชันว่า ไม่มีปัญหาอะไร โดยมี 2 ระบบ คือ ระบบการลงทะเบียน และระบบธุรกรรมทางการเงิน จะเป็นลักษณะเชื่อมต่อกันในหลายๆ ภาคส่วน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ซึ่งทั้ง 2 ระบบได้มีการพัฒนาและอยู่ในกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ โดยจะเปิดให้มีการลงทะเบียนในไตรมาส 3 ปีนี้ และประชาชนจะได้รับเงินในไตรมาส 4 ส่วนรายละเอียดจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการอีกที เพื่อยืนยันข้อมูลในส่วนของแอปพลิเคชันอีกครั้ง
เมื่อถามว่า วันข้างหน้าหากมีปัญหาข้อกฎหมายตามมา รัฐบาลจะร่วมกันรับผิดชอบทั้งคณะใช่หรือไม่ นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ขอยืนยันว่า สิ่งที่เราทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เรามีการเช็กรายละเอียดรอบคอบ ทั้งในส่วนอำนาจหน้าที่และการได้มาของงบประมาณต่างๆ
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 เม.ย. เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุม ครม.วันที่ 23 เม.ย.โดยมองว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคต และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ ควรใช้งบประมาณลดลง ด้วยการให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 15 ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท และควรทำแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น ฯลฯ
ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า มีลักษณะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนเงื่อนไขไปไกลมาก พร้อมสรุปว่า "เอาจริงๆ นะครับ ถ้ามันยากลำบากมากนักก็ยอมรับเถอะครับว่า นโยบายที่พูดไว้คิดไม่รอบคอบ ทำไม่ได้ อย่าดื้อแล้วทำประเทศเป็นหนี้ สร้างภาระให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ประชาขนเค้าหนีไปอยู่ ตปท.ไม่ไหวนะครับ #ทำผิดแล้วทำผิดอีกทำผิดต่อ #อ้าว…เฮ้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้"
ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโต้นายพุทธิพงษ์ว่า “ด้วยฐานะอย่างนายพุทธิพงษ์ฯ คงไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ตัวท่านเองก็อย่าไปฟุ้งซ้านกับเรื่องเงินของชาวบ้านนักเลย ...นายพุทธิพงษ์ เองก็สังกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องทำงานร่วมกัน ดูจะผิดมารยาทไปหน่อยอันนี้ผมขอติ ก็ฝากถึงท่านอนุทิน ดูแลลูกพรรคของท่านด้วย ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันอีก 3 ปีกว่า บรรยากาศการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ควรรักษาไว้ และไม่ควรเสียไปเพราะใครเพียงไม่กี่คน"
3. ตร.รวบอดีตซีอีโอหญิงบริษัทดังระดับโลกเมาแล้วขับ ขัดขืน จนท.ถีบหน้ารอง ผกก.คาด่านตรวจ แถมด่า "ชั้นต่ำ" พบเคยถูกดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65!
เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 23 เม.ย. ร.ต.ท.กิตติโชติ สุ่มมาตย์ รอง สว.(สอบสวน) สน.ประเวศ ได้รับแจ้งเหตุมีผู้เมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ บริเวณ ถ.เลียบมอเตอร์เวย์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาเป็นหญิง และเป็นผู้บริหารบริษัทจัดเก็บข้อมูลระดับโลก ขณะเกิดเหตุ ได้ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ มายังจุดตรวจวัด เมื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 104 มิลลิกรัมเปอเซนต์ ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งสิทธิและแจ้งข้อกล่าวหาในชั้นจับกุม
แต่ขณะควบคุมนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน ผู้ต้องหาได้ขัดขืนการจับกุม พร้อมทั้งด่าทอเจ้าพนักงาน ถ่ายคลิปวิดีโอ ใช้เท้าถีบเข้าบริเวณใบหน้าข้างขวาของ รอง ผกก.5 บก.จร. 1 ครั้ง ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ออกตรวจด่านดังกล่าว จากนั้นได้พาผู้ต้องหาขึ้นรถเพื่อไปแจ้งข้อหาที่สถานีตำรวจ ผู้ต้องหาพยายามถีบอีกครั้งแต่ควบคุมไว้ได้ แต่เนื่องจากใส่รองเท้าแตะเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาเคยถูกดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ที่ผ่านมา
ต่อมา ผู้ต้องหาได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ให้การยอมรับว่า เป็นผู้ขับขี่รถในขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่น แต่ไม่รับทราบข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
ด้าน พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รอง ผกก.5 บก.จร. เผยถึงกรณีอดีตผู้บริหารสาวบริษัทให้บริการข้อมูลระดับโลก ถูกจับกุมขณะเมาแล้วขับ ก่อนต่อสู้ขัดขวางถึงขั้นถีบหน้าตนระหว่างนำตัวขึ้นรถส่งดำเนินคดีที่ สน.ประเวศว่า ในวันเกิดเหตุตำรวจได้ขอความร่วมมือให้ผู้ก่อเหตุเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งก็พบว่ามีปริมาณเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นได้เชิญมาแจ้งสิทธิและแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งผู้ก่อเหตุก็ยังคงด่าทอใช้คำพูดที่ไม่ดี และขัดขืนไม่ยอมให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอน
ระหว่างที่จะนำตัวไปส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ก็ให้ขึ้นรถกระบะตำรวจ โดยให้ผู้ก่อเหตุเข้าไปที่ด้านหลังแค็บของกระบะลักษณะนอนตามแนวเบาะ ระหว่างที่ตนเองเอื้อมมือไปปิดประตูนั้น พอหันหน้ากลับมาก็เจอ “แม่ไม้มวยไทย บาทาลูบพักตร์” ถีบหน้าเข้าให้อย่างจัง ทำเอาตนเองหน้าชามึนไปพอสมควร จึงรวบขาไม่ให้ดิ้นรนขัดขืนอีก จนมาถึงที่ สน.ประเวศ สิ่งที่ทำให้ลูกน้องของตนเองคาใจก็คือ คำพูดของผู้ก่อเหตุที่ต่อว่าตำรวจ “อีชั้นต่ำ” และยังมีทีท่าไม่ยอมรับผิดกับสิ่งที่ทำ ซึ่งตนเองยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
พ.ต.ท.ดาราธร ยังฝากเตือนประชาชนว่า เมาอย่าขับ เพราะสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอันดับหนึ่งมาจากเมาแล้วขับ หลายคนมักอ้างว่าเมาแล้วขับ ไม่ได้ไปฆ่าใครตายซะหน่อย อยากให้เปลี่ยนความเชื่อแบบนี้ เพราะจากสถิติการเมาแล้วขับได้ส่งผลทำให้เกิดการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บของคู่กรณี จึงอยากให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญเรื่องเมาไม่ขับให้มากขึ้น เพราะถ้าไม่เกิดกับตนเองและครอบครัวคงไม่เข้าใจไม่รู้สึก ส่วนเกรียนคีย์บอร์ดที่เข้าไปคอมเมนต์ในโลกโซเชียลว่า ผู้ก่อเหตุเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ที่ถีบหน้าตำรวจแทนให้นั้น อยากให้ใช้สติคิดก่อนว่า ผู้ก่อเหตุทำผิดกฎหมายคือเมาแล้วขับ ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย.เฟซบุ๊ก “Monsinee Keeratikrainon” หรือ ดร.มนธ์สินี กีรติไกรนนท์ อดีตผู้บริหารกลุ่มองค์กรภาครัฐ Google Cloud ประเทศไทย อายุ 51 ปี ได้ออกมาชี้แจง โดยระบุข้อความว่า “ขอบคุณทุกท่านที่ถามไถ่กันมาค่ะ ข้อมูลที่ออกไปมีข้างเดียว บางอย่างไม่เป็นความจริงและถูกบิดเบือน ยังไม่มีการให้ปากคำใดๆ ทั้งสิ้นในฝั่งเรา รายละเอียดส่วนนั้นจะอยู่ในชั้นสอบสวน และได้มอบหมายทนายเป็นผู้ดำเนินการแล้ว จุดประสงค์หลัก คือยอมรับในส่วนที่ทำ และใช้หลักฐานชี้แจงในส่วนอื่นๆ แต่ขอไม่เป็นเครื่องมือให้ฝ่ายไหนๆ ทั้งสิ้น ขออภัยท่านที่ติดต่อมา และเรานิ่งเฉยนะคะ ส่วนตัวได้ลาออกจากบริษัทตั้งแต่ต้นปี (แต่มีผลสิ้นเดือนนี้)... "
ล่าสุด (27 เม.ย.) น.ส.มนธ์สินี เผยผู้สื่อข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่า จากกระแสข่าวที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาเปิดเผยว่า ตนเองเคยถูกดำเนินคดีส่งฟ้องศาลซึ่งอยู่ระหว่างการรอลงอาญา เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2565 ยืนยันว่าไม่เคยโดนคดีเมาแล้วขับ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาให้ข้อมูล
ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดี หรือจะแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทนั้น ส่วนตัวยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้ แต่เบื้องต้นได้พูดคุยเจรจากับ พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รองผกก.5 บก.จร. คู่กรณีจบไปแล้ว ส่วนข้อหาการทำร่างกายและประเด็นอื่น ๆ ขอให้การในชั้นศาล พร้อมยืนยัน ตนยังไม่เคยถูกดำเนินคดีใดในอดีต
ส่วนคลิปที่ถูกเผยแพร่ออกไปโดยมีคำพูดของตัวเองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “ชั้นต่ำ” นั้น น.ส.มนธ์สินี กล่าวว่า คลิปที่ถูกเผยแพร่ไปเป็นแค่บางช่วงที่ถูกตัดต่อและเผยแพร่ออกไป ซึ่งคลิปจริง ๆ นั้นมีความยาวมากกว่านี้ โดยการเจรจาในวันเกิดเหตุไม่ได้มีแค่คำนี้คำเดียว และคำพูดดังกล่าวที่ได้พูดออกไปน่าจะเป็นคำพูดที่แรงที่สุดชีวิตของตนแล้ว เพราะปกติเป็นคนไม่ใช้คำหยาบ ยืนยันว่าไม่ได้ด่าใคร แต่ที่พูดออกไปเพราะมีที่มาที่ไป และยืนยันว่าวันเกิดเหตุตนไม่ได้เมา ส่วนเรื่องผลกระทบทางจิตใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ส่วนตัวได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกรอบแล้ว และไม่มีอะไรติดใจกัน
ด้าน พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รอง ผกก.5 บก.จร. เผยกับผู้สื่อข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่า วันนี้ทางพนักสอบสวนไม่ได้นัดหมายให้เข้าพบเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างการไปตรวจร่างกายเพื่อนำหลักฐานมายื่นให้กับพนักงานสอบสวน ในเรื่องของการทำร้ายร่างกาย แต่ยืนยันว่า จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังจากระบบ CRIME ทางผู้กระทำความผิดเคยถูกดำเนินคดีเมาแล้วขับเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ปี 2565 ซึ่งเป็นจุดตั้งด่านตรวจเดียวกันกับครั้งนี้
4. พรรคก้าวไกลยื่นศาล รธน.ขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงปมล้มล้างการปกครองรอบสองอีก 30 วัน หลังยื่นรอบแรกศาลให้ 15 วัน บอกไม่พอ เชื่อยังมีโอกาสไม่ถูกยุบพรรค!
ความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต.ไว้วินิจฉัยกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคก้าวไกลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2560 มาตรา 92 และขอให้เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดทะเบียนขึ้นใหม่ด้วยเป็นระยะเวลา 10 ปี พร้อมให้พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ต่อมา พรรคก้าวไกลยื่นขอขยายเวลาชี้แจงออกไปอีก 30 วัน แต่ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาให้ 15 วัน (จนถึงวันที่ 3 พ.ค.)
ปรากฏว่า เมื่่อวันที่ 24 เม.ย.นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เผยว่า เมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) ทางทีมกฎหมายของพรรคได้ไปยื่นขอเวลาเพิ่มอีกครั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราอยากขยายเวลาอีก เพราะเดิมขอขยายไป 30 วัน แต่ได้รับการขยายไปแค่ 15 วัน โดยเห็นว่าไม่เพียงพอ
“เรื่องนี้กระทบกับพรรคใหญ่มาก การจะเขียนคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต้องมีความละเอียด จำเป็นต้องแสวงหาข้อมูลทางกฎหมายและข้อเท็จจริงมาโต้แย้งให้มากที่สุด ในกระบวนการยุติธรรมที่ดีควรจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องโดยเฉพาะคดีกล่าวหาร้ายแรง ถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง มีสิทธิที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ รวมถึงจำเป็นต้องแสวงหาพยานและข้อเท็จจริงให้ศาลไต่สวนอย่างถึงที่สุด เพราะน้ำหนักของบทลงโทษมันต่างจากคดีที่ผ่านมาที่มีการวินิจฉัยตามมาตรา 49 ที่เป็นเพียงสั่งให้ยุติการกระทำ จึงคิดว่าศาลน่าจะพิจารณาขายเวลาให้เราออกไปอีก”
นายชัยธวัช กล่าวว่า ทางพรรคก้าวไกลขอขยายออกไปอีก 30 วัน เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติม เราจึงอยากอ่านรายละเอียดอีกรอบว่ามีการแก้อะไรไปบ้าง และคดีนี้มีบทลงโทษร้ายแรงมาก ดังนั้น การหาแง่มุมต่อสู้ทางกฎหมายและข้อเท็จจริง ลำพังเพียงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีที่ให้ยุติการกระทำอย่างเดียวไม่น่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอในการกล่าวหาเพื่อร้องให้ยุบพรรค และพยานบุคคลที่จะเสนอให้ศาลไต่สวนก็ต้องใช้ระยะเวลาในการพูดคุยว่าจะยินดีหรือไม่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาติดวันหยุดสงกรานต์ไปหลายวัน จึงมองว่าเหมาะสมที่จะให้โอกาสขยายระยะเวลาเพิ่มเติม
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า พรรคจะถูกยุบและทำให้ สส.ของพรรคมีการย้ายแบบข้ามขั้ว ในพรรคมีการพูดคุยกันหรือมีสัญญาใจอะไรกันหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนเชื่อว่า สส.ของพรรคก้าวไกลในรุ่นนี้ น่าจะมีสถานการณ์ไม่แย่ไปกว่าในคราวที่ยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเราเข้าใจดีถึงความต้องการ และความคาดหวัง รวมถึงเสียงที่ได้รับจากประชาชนอย่างล้นหลามที่ต่างจากสมัยพรรคอนาคตใหม่ แต่เราก็ทำงานอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน
“ผมก็พยายามบอกเพื่อนๆ ในพรรคว่าอย่าไปสร้างบรรยากาศในการสร้างความไม่ไว้วางใจ หรือไปล่าแม่มดกัน ประเด็นสำคัญสุดตอนนี้ คือ การพูดคุยทิศทางการทำงานของพรรค เป้าหมายที่ชัดเจนหลังจากนี้ เพื่อทำให้พรรคกัาวไกลพัฒนา และทำงานตอบสนองประชาชนมากขึ้น และที่สำคัญ การสัมมนาช่วงประชุมใหญ่พรรคที่ผ่านมา เรามีการพูดถึงการต่อสู้คดีและความเป็นไปได้ทางการเมืองที่เราจะไม่ถูกยุบพรรคยังมีอยู่ บรรยากาศแรกหลังมีคำวินิจฉัยในในคดีที่แล้ว คนจำนวนมากอาจจะคิดว่าพรรคยุบแน่นอน 100% จนมาถึงวันนี้ความคิดที่ว่าพรรคก้าวไกลน่าจะมีช่องทางในการต่อสู้ยังมีอยู่”
5. "สุวัจน์" เขี่ย "กล้า" ทิ้ง กลับมาใช้ชื่อพรรค "ชาติพัฒนา" อ้างสมาชิกพรรคทุกภาคเรียกร้อง ด้าน "แจ้" อดีตก้าวไกลถูกขับพ้นพรรคปมคุกคามทางเพศ ผงาดรอง หน.พรรคชาติพัฒนา!
เมื่อวันที่ 25 เม.ย.พรรคชาติพัฒนากล้าได้จัดประชุมใหญ่สามัญสมาชิกพรรค ประจำปี 2567 ที่โรงแรมแคนทารี จ.นครราชสีมา โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นประธานประชุม พร้อมแกนนำพรรคและกรรมการบริหารพรรค
นายสุวัจน์ เผยหลังประชุมว่า ที่ประชุมมีเรื่องที่สําคัญคือ พรรคได้แจ้งให้สมาชิกพรรคทราบถึงการดำเนินการของพรรคชาติพัฒนากล้าที่ผ่านมาตั้งแต่เราได้เข้าร่วมรัฐบาล สนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาล โดยหัวหน้าพรรคได้ไปช่วยงานนายกฯ ในตําแหน่งที่ปรึกษา นายวัชรพล โตมรศักดิ์ รองหัวหน้าพรรค ไปช่วยงานรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังได้รายงานให้ที่ประชุมได้ทราบถึงความคืบหน้าของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่พรรคชาติพัฒนากล้าได้เข้าไปมีส่วนร่วม
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคที่ว่างลง เนื่องจากรองหัวหน้าพรรคได้ลาออกไป วันนี้ได้มีการแต่งตั้ง 2 ตำแหน่ง คือ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ที่ประชุมมีมติให้ดํารงตําแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และนายอรัญ พันธุมจินดา เดิมเป็นรองเลขาธิการพรรค ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าพรรค
นอกจากนีัยังมีการหารือเรื่องความเหมาะสมของชื่อพรรค คือ ก่อนการเลือกตั้งได้มีการเปลี่ยนจาก "ชาติพัฒนา" เป็น “ชาติพัฒนากล้า” ตอนนี้เลือกตั้งแล้วเสร็จ วันนี้เป็นการประชุมใหญ่สามัญ ก็ได้มีเสียงสะท้อนจากสมาชิกพรรคอยากให้ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในมุมมองแตกต่าง ในเรื่องของชื่อพรรค ซึ่งได้สอบถามสมาชิกพรรคทั้งที่จังหวัดนครราชสีมา ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ตะวันออกตะวันตก ภาคกลางต่างๆ ทุกท่านเห็นเป็นเอกฉันท์ ว่าอยากจะให้ทางพรรคได้กลับมาใช้ชื่อเดิม เปลี่ยนจากชาติพัฒนากล้า เป็นพรรคชาติพัฒนา โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็ต้องไปแก้ไขข้อบังคับพรรค ส่วนโลโก้ยังคงใช้อักษร ชื่อ ช.ช้างไว้ เหมือนเดิมมีปรับองศาเล็กน้อย
“เป็นจุดเริ่มต้นกลับมา Re-Start-Up ต้องทำงานกันด้วยวิทัยทัศน์ ด้วยนโยบายอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะการที่ได้คนใหม่ๆ เข้ามาร่วมกันทํางาน อย่างสนามท้องถิ่นทีมโคราชชาติพัฒนา สท.สจ. ที่เป็นฐานเก่าๆ ต้องรักษาฐานที่มั่น ทำงานกันต่อไป เมื่อกลับมาใช้ชื่อเดิม ”ชาติพัฒนา“ จะเป็นการสร้างขวัญกําลังใจ เหมือนคนเราเปลี่ยนชื่อ ก็รู้สึกว่าดีขึ้น มั่นใจ โชคดีขึ้น เป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของคนโคราช วันนี้ในที่ประชุม 300 กว่าคน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชาติพัฒนากลับมาอยู่ในหัวใจ วันนี้ก็เอาหัวใจกลับคืน เปลี่ยนชื่อเป็น ชาติพัฒนา คิดว่าเป็นขวัญกําลังใจที่ดี ในการที่จะสร้างการทํางานที่จังหวัดนครราชสีมาให้เข้มแข็งขึ้น”
นายสุวัจน์ กล่าวด้วยว่า เราคงต้องทํางานกันอย่างเข้มแข็ง สมาชิกคนรุ่นใหม่ อย่างนายวุฒิพงศ์ ถือว่าเป็นคนหนุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไฟแรงมากๆ มาก หรือนายอรัญ รองหัวหน้าพรรคก็เป็นคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ตอนนี้พรรคพยายามที่จะเปิดโอกาสให้กว้าง รับสมาชิกพรรคใหม่ๆ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ให้คนในพรรคได้เติบโตขึ้นมาอยู่ในตําแหน่งบริหารที่สูงขึ้น เพื่อเป็นการเข้ามาช่วยกันใช้กําลังใช้ความคิดใหม่ๆ เข้ามาช่วยกันปรับปรุงพรรคให้ดีขึ้น
อนึ่ง นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ก่อนหน้านี้ถูกพรรคก้าวไกลขับออกจากพรรค จากปมคุกคามทางเพศทีมงาน หลังจากนั้นจึงมาสมัครเข้าพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งหลังจากนายวุฒิพงศ์เข้าพรรคชาติพัฒนากล้า ปรากฏว่า นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้าตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.2566