xs
xsm
sm
md
lg

“โจ๊ก” ดิ้นกล่าวหา ป.ป.ช.“สุชาติ” กลายเป็นแฉตัวเอง ดึง “บิ๊กป้อม” ซวยด้วย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“โจ๊ก” ดิ้นครั้งสุดท้าย หลังถูกให้ออกจากราชการ ยื่นร้องสอบ “สุชาติ” กรรมการ ป.ป.ช. อ้างพฤติกรรมไม่เหมาะสม มีเรื่องขัดแย้งกับตน แต่เอาเข้าจริงเป็นคำร้องที่เต็มไปด้วยคำโกหก และเปิดโปงตัวเองอย่างล่อนจ้อน แถมยังดึงเอา “บิ๊กป้อม” ผู้มีพระคุณของตัวเองมาเผา เพื่อให้ตัวเองรอด



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึง กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. ในฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้ลงนามคำสั่งทางปกครองให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมกับนายตำรวจอีก 4 นาย หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย BNK Master และมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง

ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกรงกลัวที่สุด คือการที่ตัวเองหลุดจากการเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลุดจากการเป็นตำรวจ ไม่สามารถใช้อำนาจต่าง ๆ ในขอบเขตของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่กฎหมายกำหนดได้

เมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดนคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ยศ “พลตำรวจเอก” ที่มีอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ บรรดาองคาพยพ ลูกน้องใกล้ชิดที่โดนคำสั่งให้ออกจากราชการเหมือนกัน โดนคดีอาญาเหมือนกันก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลืออะไรได้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จึงต้องเปิดเกมสู้ทุกแนบรบ ทุกวิถีทาง


ช่วงเช้า วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2567 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เดินทางไปยื่นหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการไต่สวนเอาผิด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นอกจากนี้ยังได้ยื่นร้องทุกข์กรรมการ ป.ป.ช. บางรายที่ได้มาดำรงตำแหน่งโดยมิชอบ ปฏิบัติหน้าที่เอนเอียง และ ยื่นกล่าวหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน คณะพนักงานสอบสวนทั้งหมดที่ทำคดีเว็บพนันออนไลน์ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ พร้อมกับแถลงข่าวเสียยืดยาว

อย่างไรก็ตาม ถัดมาเพียงวันเดียวคือ 23 เมษายน 2567 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็กลับลำด้วยการส่งตัวแทนมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอถอนเรื่องที่ยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบนายกรัฐมนตรีแบบดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น แต่ไม่ได้ถอนเรื่องเอาผิดพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด


ความเคลื่อนไหวที่ ป.ป.ช. ดังกล่าว สอดรับกับหนังสือร้องเรียนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ส่งถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. เพื่อร้องเรียนพฤติกรรมของ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ว่ามีคุณสมบัติจะเป็นกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่ เนื่องจากนายสุชาติ เป็น ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยหนึ่งเดียว 1 ต่อ 4 เสียง ที่คัดค้านไม่ให้ ป.ป.ช. รับคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล มาพิจารณาเอง

นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวเมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็แสดงเจตนาชัดเจนว่า ต้องให้คดีของตัวเองไปอยู่มือ ป.ป.ช. เท่านั้น โดยพยายามเรียกว่าการดำเนินคดีอาญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อตัวเองนั้นเป็น“อาญาเถื่อน” ทั้งๆ ที่คดีดังกล่าวศาลเป็นผู้อนุมัติออกหมายจับ โดยอธิบดีศาลได้พิจารณาอย่างดีแล้ว


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังย้ำว่า หากสำนวนคดีที่ตัวเองตกเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวพันกับคดีฟอกเงินเว็บพนันนั้นอยู่ที่ ป.ป.ช. ตัวเองก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ นายกรัฐมนตรี หรือ รักษาการ ผบ.ตร. จะดำเนินการทางวินัยไม่ได้

“เมื่อส่งสำนวนมา ป.ป.ช. แล้ว หลัก ป.ป.ช. นะครับ วันนี้นะครับ สถานะของผมคืออะไร ? เมื่อส่งสำนวนมา ป.ป.ช. ถ้าสำนวนอยู่ในชั้นตำรวจ ผมคือผู้ต้องหา เมื่อส่งสำนวนมา ป.ป.ช. แล้ว ผมคือผู้บริสุทธิ์ ฟังดี ๆ นะครับ ส่งสำนวนมา ป.ป.ช. ผมคือผู้บริสุทธิ์ ... หลักกฎหมาย ป.ป.ช. ไปดูนะครับ ตราบใดก็ตามที่ ป.ป.ช. ไม่ชี้มูล ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ห้ามนำมาใช้ในการแต่งตั้งโยกย้าย เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น รวมถึงขั้นเงินเดือน อันนี้เป็นหนังสือ ป.ป.ช. และก็เป็นมติ ป.ป.ช. เพราะฉะนั้นวันนี้เท่ากับผมคือผู้บริสุทธิ์ …”


กุญแจสำคัญของการดิ้นรนครั้งนี้ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ตอนแรกแสดงท่าทีห้าวหาญ ไปฟาดงวงฟาดงาฟ้องร้องดำเนินคดีกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รทท.ผบ.ตร. เห็นได้ชัดว่าก็คือ การดึงเรื่องราวคดีความทุกอย่างของตนเองให้ไปอยู่ในน้ำมือของ ป.ป.ช. นั่นเอง

เป็นที่สังเกตว่า สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ วิ่งพล่านแถลงออกมาในช่วงหลายวันมานี้ ไม่ได้ชี้แจงแก้ข้อสงสัยเรื่องปัญหาทรัพย์สิน เงิน ทอง การขายทองแท่งนับเป็นหมื่นบาทมูลค่าหลายร้อยล้าน, พิรุธของรายได้จากพระเครื่องซึ่งนำไปสู่การชี้แจงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ, การใช้เงินบัญชีม้า 200,000 บาทไปบริจาควัดในงานกฐินหลวง, หรือข้อหาที่เกี่ยวพันกับการทุจริต ใด ๆ ของตัวเองเลย มีแต่มุ่งเป้าไปที่ “คดีความที่เกี่ยวพันกับการฟอกเงินเว็บพนัน BNK Master” ของตัวเองล้วน ๆ โดยหวังให้ตัวเองหลุดจากมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปสู่ สำนักงาน ป.ป.ช. ที่ตัวเองมีคนรู้จักมักคุ้น และสามารถแทรกแซงได้


ด้วยเหตุนี้ ปฏิบัติการ “ยื่นจดหมายร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.” ลง วันที่ 17 เมษายน 2567 เรื่อง ขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข จึงเกิดขึ้น ด้วยการกุเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่า
-นายสุชาติมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ
-มีความขัดแย้งโกรธเคืองกับตนเอง, เคยวิ่งเต้น “บิ๊กป้อม” พล.ต.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อให้ตัวเองได้รับการคัดสรรเป็น ป.ป.ช.
-หรือแม้กระทั่งกล่าวหาว่านายสุชาติได้รับการชมเชยจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ปรปักษ์ของ "โจ๊ก สุรเชษฐ์"
-พร้อมทั้งอ้างว่า ตนเองไม่รู้จัก ไม่เคยพูดคุยกับนางสุภา ปิยะจิตติ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการช่วยเหลือคดีความต่าง ๆ ใน ป.ป.ช. ของตน เป็นต้น

จนมาลงท้ายหนังสือด้วยว่าเพราะเหตุนี้ จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ไปยังประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข !!!


อย่างไรก็ตาม ดังคำสอนตั้งแต่โบร่ำโบราณที่ว่า “คนเรา ถ้าหากมันโกหกแล้วจะต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ” เพราะแทบทุกจุดในหนังสือร้องเรียนของ "สุรเชษฐ์ หักพาล" นั้นเผยให้เห็นร่องรอยของเรื่องราวที่ มีความผิดแผกไปข้อเท็จจริง และ ตรรกะอันย้อนแย้ง กล่าวคือ

ประเด็นแรก ประเด็นหลักของหนังสือฉบับดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวหาว่า นายสุชาติ กรรมการ ป.ป.ช. ไม่ให้ความเป็นธรรมกับตน โดยที่นายสุชาติเป็น ป.ป.ช.เสียงส่วนน้อยเพียงคนเดียว 1 ต่อ 4 ที่ให้คืนสำนวนคดีเอี่ยวเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ

โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช. อีก 4 คน ที่มีมติเอื้อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วยการลงมติให้เก็บสำนวนคดีไว้ดำเนินการเอง คือพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ, นางสุวณา สุวรรณจูฑะ, นายวิทยา อาคมพิทักษ์และนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ

ถ้าใช้ตรรกะแบบนี้ก็แสดงว่า กรรมการ ป.ป.ช. 4 คนข้างต้น นั้นเข้าข้าง “สุรเชษฐ์ หักพาล” ใช่หรือไม่? อุ้มกันอยู่ใช่ไหม? ถึงต้องแสดงความไม่พอใจที่ กรรมการ ป.ป.ช. เพียงคนเดียวมีมติแหกออกมา ไม่เป็นไปอย่าง “สุรเชษฐ์ หักพาล” ต้องการ


นอกจากนี้ แทนที่เนื้อหาในหนังสือร้องเรียนดังกล่าวของ “สุรเชษฐ์ หักพาล” จะส่งผลสะเทือน หรือ สร้างความเสียหายให้ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ที่ได้รับกระทบกระเทือนมากกว่า ก็คือ หนึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณสององค์กร ป.ป.ช. ทั้งองค์กร

เพราะเนื้อหาในหนังสือฉบับนี้ของ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ได้เปิดเผยอย่างล่อนจ้อน ให้เห็นสายสนกลในว่า พล.อ.ประวิตร นั้นสามารถกำหนดตัว จะให้ใครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ได้ ซึ่งก็อาจแปลความหมายได้ว่า การที่ ป.ป.ช. ตัดสินให้บิ๊กป้อม พ้นผิดคดี“นาฬิกายืมเพื่อน” แบบค้านสายตาประชาชน เบื้องหลังจริง ๆ ก็คือ ความไม่เป็นกลาง และการที่ ป.ป.ช. ถูกครอบงำเช่นนี้นี่เองใช่หรือไม่ ?


ประเด็นที่สอง การกล่าวหา นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ว่าเป็น ป.ป.ช. ได้ก็เพราะการปวารณาตัวเพื่อรับใช้ พล.อ.ประวิตรนั้น เมื่อสืบค้นข้อเท็จจริงในการลงมติแล้วก็จะพบว่า ในการลงมติ เปิดเผยข้อมูลคดียืมนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร ให้แก่นายวีระ สมความคิด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 จำนวน 3 รายการ โดยในรายการที่ 2 ซึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มี มติ 4 ต่อ 2 เสียง ไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวนั้น ก็จะพบว่า กรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อย 2 คน ผู้ยินยอมให้มีการเปิดเผยความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทุกคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ก็คือนางสุวณา สุวรรณจูฑะ และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุขนั่นเอง


นอกจากนี้เมื่อไล่ไทม์ไลน์อยู่แล้ว ก็จะพบว่านายสุชาติยังเคยทำหน้าที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตั้งแต่ก่อนรู้จัก “สุรเชษฐ์ หักพาล” เสียอีก ขณะที่ในห้วงเวลาในการสรรหา ป.ป.ช. ที่กล่าวอ้างถึง “สุรเชษฐ์ หักพาล” ยังอยู่ในช่วงถูกสำรองราชการที่สำนักนายกฯ จึงไม่มีเหตุผลใดสุชาติที่จะต้องขอให้ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ช่วยเหลือ

ด้วยหลักฐานที่ชัดแจ้งเช่นนี้แล้ว “โจ๊ก สุรเชษฐ์” จะกล่าวว่า นายสุชาติ ว่าเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้การควบคุมของ “บิ๊กป้อม” ได้อย่างไร?


ประเด็นที่สาม การที่ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” กล่าวหาว่า นายสุชาติได้รับคำชมเชยจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นปรปักษ์กับตนเอง ก็เพราะต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการที่กำลังพิจารณาคดีที่อยู่ ป.ป.ช. โดยระบุดังนี้ว่า

“นายสุชาติฯ ก็เป็นกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อยเพียงเสียงเดียวที่มีความเห็นต่างกับกรรมการท่านอื่นๆ ซึ่งนายสุชาติ ก็ได้รับคำชมเชยจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งให้ข่าวเป็นปรปักษ์กับข้าพเจ้ามาโดยตลอด และตามที่เป็นข่าว นายสุชาติฯ ได้รับการชมเชยจากนายสนธิฯ เพียงคนเดียวในคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ซึ่งข้าพเจ้าสืบทราบในทางลับว่า กรณีนายสนธิฯ ให้ข่าวโจมตีข้าพเจ้าน่าจะมาจากเรื่องกล่าวหาร้องเรียนที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาให้การเป็นพยาน ซึ่งการให้ข่าวดังกล่าวเพื่อต้องการทำลายความเชื่อถือของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ...”

ในความเป็นจริงแล้ว “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ต้องไม่หลงประเด็นเรื่อง“ความจริง”กับ“เรื่องมโน”เพราะในความเป็นจริงที่ไม่ใช่เรื่องมโน ก็คือ จากรายละเอียดของหนังสือที่ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ลงนามนั้น หนังสือฉบับดังกล่าวเป็นหลักฐานชั้นดีว่า “โจ๊ก สุรเชษฐ์” สามารถแทรกซึมเข้าถึง ป.ป.ช. ได้เกือบทุกระดับ โดยเจ้าหน้าที่ หรือ กรรมการ ป.ป.ช. คนใด ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามกับตน ก็อาจจะถูกเล่นงานได้ทุกเมื่อ


นายสนธิกล่าวว่าหนังสือร้องเรียนฉบับล่าสุดของ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ต่อนายสุชาติ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ ตนมีจุดยืนชัดเจน ในการออกมาปกป้องผู้ที่ถูกรังแก และบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยในกรณีของนายสุชาตินั้น ในปี 2566 “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ได้เคยจับมือกับ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” ปั้นเรื่องโจมตีนายสุชาติ ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงมาก่อน โดยตอนนั้น นายชูวิทย์กล่าวหาว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีต รมว.คมนาคม จะลอดช่องหลุดคดี ป.ป.ช. เพราะ “สุชาติ” จบสวนกุหลาบ ด้วย“สวนกุหลาบคอนเนกชัน”จะช่วยเอื้อกันและกัน ...

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “นายสุชาติ” เรียนที่มัธยมสาธิตรามคำแหง และจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้พิพากษา ไม่เคยเรียน รร.สวนกุหลาบแต่อย่างใด ???

แล้วถามว่า ข้อเท็จจริง ณ วันนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รอดพ้นจากการพิจารณาคดีของ ศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ป.ป.ช. หรือไม่? คำตอบที่ปรากฎชัดก็คือ ไม่รอด!

“โจ๊ก สุรเชษฐ์” ควรถามตัวเองดีกว่าว่าที่ผ่านมาเคยโทรศัพท์ไปหานายสุชาติ กี่ครั้ง ไปพบกี่ครั้ง ก่อนหน้านี้ที่ตัวเองจะถูกออกหมายเรียกครั้งที่ 2 จากคดีฟอกเงินเว็บพนัน BNK Master โดยมีข่าวว่าจะบินไปพักผ่อนกับครอบครัวที่อังกฤษ แต่ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” กลับเปลี่ยนแผนไม่ไปนั้น เพราะต้องการจะบินไปพบใครที่อังกฤษเพื่อล็อบบี้เรื่องคดีความใช่หรือไม่ แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้เจอจึงเปลี่ยนแผนการเดินทางแบบกะทันหัน? ... เรื่องนี้ตัวเองรู้ตัวเองดี ไม่ต้องมาถามคนอื่น


ประเด็นที่สี่ ในทางตรงกันข้าม ในหนังสือฉบับดังกล่าวที่ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” อ้างว่าไม่รู้ “ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่เคยคุยกับนางสาวสุภา ปิยจิตติ แม้แต่ครั้งเดียว” เป็นเพียงแค่เรื่องโกหกเท่านั้น !


“ในคดีสินบนโรลส์-รอยซ์ ที่ ป.ป.ช. คณะอนุกรรมการชุดของสุภา ปิยะจิตติ เป็นคนดำเนินคดีนั้น ได้มีการเชิญตัวผมไปให้การ เรื่องเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส 340-600 ผมก็ให้การไปตามความเป็นจริง ซึ่งผมก็ถูกซักถามหลายข้อ ผมก็ตอบได้หมด จนกระทั่งคณะอนุกรรมการไม่มีคำถามแล้ว ก็จบ ผมกำลังจะเดินกลับ คุณสุภา ปิยะจิตติ เดินมาส่งผมที่หน้าประตู ป.ป.ช. ก็พูดกัน คุยกันเรื่องเก่าๆ ผมยังชมเชยคุณสุภา ว่าสมัยที่เป็นรองปลัดกระทรวงการคลังนั้น เป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่ยอมต่ออำนาจทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แล้วผมก็ถามต่อว่า ช่วงนี้ใช้งานคุณสุรเชษฐ์บ้างหรือเปล่า คุณสุภา ตอบว่า ก็ใช้บ้าง เพราะว่าเขาเสนอตัวมาที่จะทำเรื่องสืบสวนสอบสวนให้กับพวกเรา เพราะว่าพวกเราไม่ชำนาญเท่าไรนัก ได้เขามาช่วย ก็ช่วยได้เยอะ


“สุรเชษฐ์ คุณจะตอแหลทั้งที คุณเช็กข้อมูลให้ดีๆ ก่อน คุณบอกคุณไม่รู้จักเขาใช่ไหม แล้วคุณไปช่วยงานเขาคดีสืบสวนสอบสวน เขาอาจจะบอกว่า เออ น้องสุรเชษฐ์ ช่วยดูคดีนี้ให้หน่อยนะว่าข้อมูลเป็นอย่างไร เช็กให้พี่หน่อย โน่นนี่นั่น นี่คือการโกหกครั้งยิ่งใหญ่” นายสนธิ กล่าว

ประเด็นที่ห้านอกจากคำโกหกที่กระจัดกระจายเต็มหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ยังเปิดเผยตัวตน แสดงนิสัยเดิม ด้วยการยกเอาผู้มีพระคุณ “มาเผา” เพื่อให้ตัวเองรอด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การยกเอา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นพยานบุคคลคนที่หนึ่ง

ถ้า พล.อ.ประวิตร ยอมเป็นพยานเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับการที่ พล.อ.ประวิตร เดินยืดออกออกมายอมรับเลยว่าตัวเองได้ทำผิดกฏหมายหลายข้อหลายประการ ทั้งการแทรกแซงการสรรหา การแต่งตั้งบุคคลผู้มาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมไปถึงแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่ในการปราบโกงโดยตรง อย่าง ป.ป.ช.


ซึ่งปรากฏว่า พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาปฏิเสธทันควันว่า ไม่เคยรู้จัก นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข แต่อย่างใด !?!

เจอดอกนี้เข้าไป ก็ตีความหมายได้เลยว่า พลเอก ประวิตร ตัดสินใจลอยแพ “สุรเชษฐ์ หักพาล” แล้ว เหตุเพราะหนังสือร้องเรียนแบบไม่มีหูรูดที่จะพาซวยกันทั้งบาง แถมเหมือนเป็นการขุดให้ พลเอกประวิตร ต้องมาเหนื่อยกับคำถามคาใจของสังคม เรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” อีกและยังเป็นการประจานความเลวร้าย เรื่องของ “คอนเนกชั่น” ซึ่งเป็นความลับดำมืด ระหว่างนักการเมืองกับ ป.ป.ช. อีก

ประเด็นที่หก สำหรับพยานบุคคลคนที่สอง ที่ “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ใช้อ้างอิงถึงในหนังสือที่ส่งถึง ป.ป.ช. นั้นคือ นางรัตนา บุรพรัตน์ หรือ ชื่อเล่นชื่อ “ก้อย” ซึ่ง “โจ๊ก สุรเชษฐ์” อ้างว่าเป็น“เพื่อนรุ่นพี่ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ” นั้นก็มีเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ทั้งมีความเชื่อมโยงไปถึงคดีความหลายเรื่องที่เกี่ยวพันกับการพิจารณาของ ป.ป.ช.


กำลังโหลดความคิดเห็น