xs
xsm
sm
md
lg

“ฟักทอง” ใครว่าของดีราคาถูกไม่มี...ต้านมะเร็ง เสริมระบบเพศชายหญิง เพิ่มจำนวนอสุจิ ชะลอความแก่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



“ฟักทอง” เป็นพืชตระกูลเดียวกับฟักแฟงแตงโมและแคนตาลูป แบ่งเป็น ๒ ตระกูลใหญ่คือ ตระกูล Pumpkin คือฟักทองอเมริกัน กับตระกูล Squash คือฟักทองไทยกับญี่ปุ่น ฟักทองอเมริกันนั้นลูกใหญ่มาก แต่เนื้อยุ่ย ออกผลมากในฤดูหนาว มีการจัดประกวดแข่งขันกันว่าใครปลูกได้ลูกใหญ่ที่สุด นำมาใช้ในวันปล่อยผี ฮัลโลวีน และตั้งให้วันที่ ๒๖ ตุลาคมเป็น “วันฟักทองแห่งชาติ” International Pumpkin Day

ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าฟักทองไทยกับฟักทองญี่ปุ่นต่างกันอย่างไร ก็อยากจะบอกว่า ต่างกันที่ราคาและหน้าตาผิวพรรณ ฟักทองญี่ปุ่นนั้นเกลี้ยงเกลา ฟักทองไทยผิวขรุขระเป็นตะปุ่มตะต่ำ แต่เนื้อในมีคุณค่าทางอาหารสูงเหมือนกัน

ฟักทองมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง พบเมล็ดเก่าแก่ที่สุดในเม็กซิโกมีอายุราว ๖,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แต่ทุกวันนี้ปลูกฟักทองกันทุกทวีป นอกจากทวีปแอนตาร์กติก้า ที่ขั้วโลกใต้เพียงทวีปเดียว ที่หนาวและแล้งที่สุด ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย จึงไม่มีฟักทอง

ฟักทองถูกนำไปเป็นอาหารทั้งคาวและหวานมากมายหลายเมนู จนไม่รู้ว่าจะจัดให้เป็นผักหรือเป็นผลไม้ คนไทยเราเอาฟักทองทำกับข้าว ทั้งแกงเผ็ด แกงป่า แกงเลียง แกงจืด ผัดใส่ไข่ ชุบแป้งทอด ซุปฟักทอง สตูเนื้อฟักทอง ฟักทองยัดไส้หมู ฯลฯ หรือเอาสังขยายัดไส้แทนหมูสับ ก็จะกลายเป็นสังขยาฟักทอง ของหวานขึ้นหน้าขึ้นตาอย่างหนึ่ง หรือจะเอาไปเชื่อม ทำแกงบวช เอาไปนึ่งแล้วโรยด้วยมะพร้าวทึนทึกขูด ก็อร่อยและมีคุณค่ามากกว่าขนมอีกหลายชนิด

ส่วนฝรั่งก็เอาฟักทองไปทำซุป ทำขนมปัง ทำเค้ก พายฟักทอง คุกกี้ ไอศรีม แม้แต่กาแฟ ซึ่งดูไม่น่าจะเกี่ยวกับฟักทองได้ แต่ร้านกาแฟดังระดับโลก สตาร์บัคส์ ได้ออกเมนูเด็ด Pumpkin Spice Latte มาตั้งแต่ปี ๒๐๐๓ เป็นช็อตเอสเพสโซ่เข้มข้นบวกกับนมสด โรยหน้าด้วยวิปครีมผสมฟักทองเครื่องเทศ มีอบเชย ลูกจันทน์เทศ และกานพลู มีทั้งร้อนและเย็น หลายคนบอกกระเดือกไม่ลง แต่กลายเป็นเมนูสุดฮิตของสตาร์บัค ขายมาหลายร้อยล้านแก้วแล้ว

ที่คนทั่วโลกติดใจฟักทอง ก็เนื่องจากคุณค่าของฟักทองนั้นมหาศาล แม้ฟักทองจะมีราคาไม่สูง เพราะปลูกง่าย และมีน้ำหนักมาก แต่คุณค่ากลับเกินราคามาก
 
ในเนื้อฟักทองมีทั้งเบตาแคโรทีน อัลฟ่าแคโรทีน และเบต้าคริปโตแซนทิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องความเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ชะลอตวามแก่ ปกป้องผิวจากแสงแดด ส่งเสริมสุขภาพตา มีวิตามินซี วิตามินอี โปรแตสเซียม ช่วยเสริมระบบคุ้มกัน ทำให้ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง และยังพบว่าฟักทองมีกรดโปรไบโอนิค มีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลงได้

ฟักทองมีไฟเบอร์สูง แต่มีแคลอรีและไขมันต่ำ จึงทำให้อิ่มเร็ว ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดี

นักวิจัยชาวจีนพบว่า ในเนื้อฟักทองมีน้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเส้นเลือด และเพิ่มปริมาณอินซูลิน ทำให้ร่างกายมีอินซูลินมากขึ้น ไปนำน้ำตาลในกระแสเลือดเปลี่ยนเป็นพลังงาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลง ป้องกันโรคเบาหวานได้

ฟักทองยังมีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันหวัดและอาการไอจามที่มากับละอองฝนและอากาศเย็น

คุณค่าทางอาหารของฟักทองไม่ได้มีอยู่แต่ที่เนื้อ ส่วนต่างๆของฟักทองล้วนมีคุณค่าทางอาหารเช่นเดียวกับเนื้อฟักทอง และยังมีความอร่อยอย่างประทับใจทีเดียว อย่างเช่น ยอดฟักทอง ซึ่งมีขายอยู่ตามแผงขายผักทั่วไป จะเอาไปทำแกงส้ม แกงจืด หรือผัดหมู ผัดไข่ ผัดน้ำมันหอยก็อร่อยทั้งนั้น แม้แต่รวกจิ้มนำพริกก็จะติดใจ ลืมยอดฟักแม้วไปเลย แต่จะให้ดีควรจะลอกเปลือกออกเสียหน่อย เพราะอาจจะกระด้างไปไปสำหรับบางคน

ที่สุดยอดของฟักทองก็คือเมล็ดฟักทอง ซึ่งถือได้ว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟูด” อุดมไปด้วยโปรตีน กรดไขมัน โอเมก้า ๓ วิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี ๓ แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี เหล็ก เส้นใยอาหาร รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย นอกจากนี้เมล็ดฟักทองยังมีประโยชน์ต่อระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง สังกะสีในเมล็ดฟักทองจะช่วยให้ตัวอสุจิเพิ่มจำนวนและแข็งแรงขึ้น ลดความเสี่ยงจากการเป็นหมัน และช่วยแก้ปัญหาระบบสืบพันธุ์ของชายได้ ส่วนหญิง แร่ธาตุสังกะสีในเมล็ดฟักทองจะช่วยบำรุงสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ ลดความเสี่ยงจากการแท้ง ป้องกันการติดเชื้อในมดลูก อีกทั้งโอเมก้า ๓ และธาตุเหล็ก ยังเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ ช่วยบำรุงทั้งแม่และทารกในครรภ์ ช่วยให้แม่มีน้ำนมมากขึ้น และเป็นน้ำนมคุณภาพดีไม่แพ้หัวปลี

ข้อดีของฟักทองมีมากมาย แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน ปรัชญาชาวจีนแต่โบราณเชื่อว่า หยิน และหยาง เป็นพลังจักรวาลที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน หยิน เป็นความเย็น ความสงบ ความมืด ส่วนหยาง เป็นความอบอุ่น การเคลื่อนไหว และความสว่าง เมื่อใดที่หยินหยางเสียความสมดุล ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ฟักทองถือเป็นหยาง มีฤทธิ์อุ่น ถ้ากินมากไป เช่นกินทุกวัน ก็จะเสียสมดุลในร่างกาย เป็นโทษได้ ส่วนการแพทย์สมัยใหม่เตือนว่า ฟักทองมีเบต้าแคโรทีนสูง เมื่อบริโภคจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ถ้าร่างกายรับมากเกินไปก็จะทำให้ตับทำงานหนัก ทำให้ตัวเหลือง หรือท้องอืดท้องเฟ้อ แต่ก็ไม่มีอันตรายร้ายแรง หยุดบริโภคก็จะหายเหลืองเอง

นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เคยย้ำว่า กินอะไรก็อย่ากินซ้ำซาก กินให้หลากหลายเป็นดีที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น