xs
xsm
sm
md
lg

โจรข่มขืนเด็กอวยยศ "ผู้การแจ๊ะ" ทำผู้การจ๋อสะดุ้ง บอก "กูก็เป็นสารวัตรล่ะสิ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เรื่องขำๆ ในชุดสืบนครบาล สารวัตรแจ๊ะนำทีมบุกเมืองเพชร ตามล่าตัวชายวัย 40 ปีก่อเหตุอนาจารเยาวชนวัย 16 ปี วันนี้เมื่อปีที่แล้วบอกจะพาไปเล่นน้ำแต่พาไปมอมเหล้าแล้วกระทำชำเรา สบช่องแม่มาช่วยหนีไปกบดานที่เพชรบุรี คุยกับผู้การจ๋อบอกดูคลิปสืบนครบาลบ่อย ระบุ "รู้จักผู้การแจ๊ะ" ทำเอาผู้การจ๋อสะดุ้ง บอก "กูก็เป็นสารวัตรล่ะสิ" ขำกันทั้งชุดจับกุม

วันนี้ (14 เม.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 13 เม.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบนครบาล นำโดย "สารวัตรแจ๊ะ" (ขอสงวนชื่อและนามสกุล แม้สำนักข่าวอื่นจะเปิดเผยวาร์ปชื่อจริง นามสกุลจริง ไปแล้วก่อนหน้านี้) เข้าจับกุมนายสมภพ ขันเพ็ชร์ หรืออาร์ม อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.268/2566 ลงวันที่ 11 ก.ค. 2566 ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้, พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร, พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย เพื่อการอนาจาร โดยจับกุมได้ที่หมู่บ้านคีรีรัฐยา ต.ธงชัย อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อวานนี้ (13 เม.ย.) เวลาประมาณ 17.00 น. ก่อนนำตัวส่งไปยัง สน.บางขุนเทียน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ระหว่างที่สารวัตรแจ๊ะพร้อมทีมงานนำตัวนายสมภพไปหา พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ธีรเดชได้สอบถามนายสมภพว่าปีที่แล้วจะพาผู้เสียหายไปเล่นสงกรานต์ที่ไหน นายสมภพกล่าวว่าจะไปเล่นแถวบ้านผู้เสียหาย บริเวณถนนเลียบคลองทวีวัฒนา ส่วนปีนี้เล่นน้ำสงกรานต์ที่ จ.เพชรบุรี เหตุผลที่หลบหนีเพราะถูกแจ้งความ ไม่อยากถูกจับ ถามว่าเจอชุดสืบนครบาลยึกยักหรือไม่ นายสมภพกล่าวว่าไม่ได้ยึกยัก ยอมให้จับโดยดี เพราะตนดูคลิปบ่อย คลิปชุดจับกุม รู้จักผู้การแจ๊ะ ทำให้ พล.ต.ต.ธีรเดชกล่าวติดตลกว่า "นี่เป็นผู้การแจ๊ะ กูก็เป็นสารวัตรล่ะสิ" โดยที่ชุดจับกุมโดยเฉพาะสารวัตรแจ๊ะพากันหัวเราะ ตอนท้ายกล่าวว่า ทำตัวให้ดีถ้าอยากอยู่ข้างนอก อย่าให้มีอย่างนี้อีก



สำหรับพฤติการณ์ก็คือ ผู้เสียหายเป็นเยาวชนวัย 16 ปี อาศัยอยู่กับญาติที่หอพักย่านหนองแขม กรุงเทพฯ เพื่อมาเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์ ส่วนนายสมภพเป็นเพื่อนของพ่อ รู้จักกัน นับถือกันเป็นลุงของผู้เสียหาย ด้วยความที่ไว้ใจกัน วันเกิดเหตุปีที่แล้ว 14 เม.ย. 2566 เวลา 20.15 น. ผู้เสียหายทักแชตไปว่าอยากเล่นสงกรานต์ นายสมภพกล่าวว่ามาเล่นกับลุงไหม ตอนนี้อยู่ที่ไหน ผู้เสียหายกล่าวว่า ถนนพุทธมณฑล สาย 1 สะพานข้ามคลองบางจาก คนเดียว นายสมภพกล่าวว่า ให้ลุงไปรับไหม และให้แชร์โลเกชันมาจะไปรับ จึงยอมแชร์โลเกชัน นายสมภพขับรถมารับ ปรากฏว่าแทนที่จะมุ่งหน้าไปบริเวณที่มีการเล่นน้ำสงกรานต์ แต่กลับวนรถไปที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในบางบอน 1 ซอย 16 แขวงคลองบางพราน เขตบางบอน กรุงเทพฯ

นายสมภพอ้างว่า ลุงขอดื่มเบียร์สักพักแล้วลุงจะพาไปเล่นน้ำ แต่กลับให้ผู้เสียหายดื่มเบียร์จนเมาไม่รู้สึกตัว จากนั้นจึงอุ้มผู้เสียหายขึ้นไปที่ชั้น 2 ของบ้าน ซึ่งเป็นห้องนอน ก่อนข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อผู้เสียหายรู้สึกตัว เกิดอาการตกใจจึงรีบคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วหนีไปที่ห้องน้ำ ล็อกประตู แล้วโทรศัพท์แจ้งแม่ว่ามันจะปล้ำหนู ขณะที่นายสมภพยืนกระเด้าประตูห้องน้ำ พร้อมกับส่งเสียงครางอย่างโรคจิต หวังให้ผู้เสียหายยอมออกมาจากห้องน้ำ 10 นาทีต่อมาแม่ของผู้เสียหายมาถึงบ้านนายสมภพ ได้ยินเสียงกรีดร้อง พบนายสมภพกำลังเอาอวัยวะเพศชายกระแทกประตูห้องน้ำที่ลูกสาวเข้าไปแอบอยู่ ลักษณะเหมือนยืนกระเด้าประตูแล้วครางชื่อบุตรสาวอย่างโรคจิต แม่ผู้เสียหายจึงตัดสินใจผลักนายสมภพออก ก่อนเปิดประตูห้องน้ำเห็นลูกสาวอยู่ในสภาพซุกขดตัวอยู่ข้างชักโครก เนื้อตัวสั่น ร่ำไห้ ส่วนนายสมภพ คนร้าย ฉวยโอกาสหนีออกจากห้องไป แม่ของผู้เสียหายจึงเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน แจ้งความดำเนินคดีต่อนายสมภพ นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาธนบุรีออกหมายจับดังกล่าว

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ส่ง “สารวัตรแจ๊ะ” นำทีมชุดสืบสวนพิเศษของสืบนครบาล ลงพื้นที่ไล่ล่าติดตามตัวผู้ต้องหารายนี้ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ผู้ต้องหารายนี้เป็นอดีตนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ช่ำชองวิธีการหลบหนีการติดตามของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เป็นอย่างดี จึงสามารถหลบหนีการติดตามของชุดสืบสวนได้ทุกครั้ง กระทั่งวันที่ 13 เม.ย. 2567 พล.ต.ต.ธีรเดชสืบทราบว่าคนร้ายไปกบดานอยู่ในบ้านพักในตัวเมืองเพชรบุรี จึงนำกำลังบุกไปที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านคีรีรัฐยา โดยเมื่อชุดสืบสวนไปถึงคนร้ายยังไม่ยอมเปิดประตูให้เจ้าหน้าที่ กระทั่งเจ้าหน้าที่ทำการทุบกระจกประตู คนร้ายได้แง้มผ้าม่านมาดู ก่อนให้แฟนสาวเดินมาเปิดประตู และสามารถจับกุมตัวได้ในที่สุด

นายสมภพให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ให้การว่าเติบโตมาในย่านบางบอน จบการศึกษาชั้น ปวช. เมื่อจบการศึกษาได้ประมาณ 1 ปี ได้เริ่มหันเข้าสู่วงการค้ายาเสพติด และได้ขายเรื่อยมา ขณะที่อายุได้ 19 ปี เมื่อปี 2547 ได้ถูกจับกุมในคดีจำหน่ายยาเสพติด และวนเวียนอยู่ในวงการค้ายาเสพติด เข้าออกคุกเป็นประจำ ยอมรับว่าเคยได้ร่วมกันกับพวกชาวไทยและชาวมาเลเซียที่รู้จักกันจากในคุก โดยจะไปรับยาเสพติดที่ลักลอบขนมาจากประเทศมาเลเซีย มาตระเวนขายในพื้นที่ กรุงเทพฯ แต่หลังจากพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2563 ได้หันมาประกอบอาชีพสุจริต ตั้งแต่ขายอาหาร และพนักงานขนส่งพัสดุ เรื่อยมาถึงปัจจุบัน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเมื่อวันที่เกิดเหตุตนได้ไปรับผู้เสียหายมาเพื่อจะพาไปเล่นน้ำสงกรานต์จริง แต่เนื่องจากก่อนหน้านั้นได้ดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าบ้านพักกับญาติ จึงได้พาผู้เสียหายไปที่บ้านเพื่อจะดื่มเหล้าต่อ และได้พากันดื่มกินเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายดื่มจนเมาไม่ได้สติแล้ว จึงบอกให้ขึ้นไปนอนก่อนที่ห้องพักของตนเอง เมื่อผู้เสียหายได้ขึ้นไปนอนด้านบนห้องชั้น 2 แล้ว ยอมรับว่าตนเองได้เข้าไปนอนในห้องเดียวกันและนอนด้วยกันจริง แต่จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เนื่องจากตนดื่มสุราและเสพยาเคเมาไม่ได้สติ และที่มากบดานอยู่ใน จ.เพชรบุรี เพราะรู้ตัวว่ามีหมายจับจึงหนีมากบดานที่นี่ โดยใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ออกไปไหน รับประทานอาหารจากร้านสะดวกซื้อ อยู่แต่ในบ้าน โดยเหตุการณ์จับกุมในวันนี้ ตนแง้มหน้าต่างมาเห็นว่าเป็นชุดของสารวัตรแจ๊ะ ก็รู้ว่าถ้าแอบต่อไปยังไงเจ้าหน้าที่ก็พังประตูเข้ามาแน่ เพราะติดตามเฟซบุ๊กเพจ "สืบนครบาล" อยู่ตลอด จึงยอมให้แฟนสาวไปเปิดประตูให้เจ้าหน้าที่แต่โดยดี

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของคนร้าย เนื่องจากผู้ต้องหารายนี้ใช้ความสนิทสนมกับผู้ปกครองของเหยื่อ ออกกลอุบายหลอกล่อ ใช้เทศกาลสงกรานต์เป็นข้ออ้างให้หลงเชื่อโดยสนิทใจ นอกจากคำให้การของผู้เสียหายแล้ว ยังมีพยานหลักฐานอื่นเชื่อมโยงทำให้ศาลอนุมัติหมายจับในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่า นายสมภพมีประวัติการต้องโทษ จำนวน 3 คดี ได้แก่ ปี 2547 พื้นที่ สน.บางขุนเทียน ถูกจับกุมในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดฯ” ขณะนั้นถูกจับกุมพร้อมของกลาง 190 เม็ด, ปี 2549 พื้นที่ สน.ท่าข้าม จับกุมในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดฯ” ขณะนั้นถูกจับกุมพร้อมของกลาง 120 เม็ด และปี 2556 พื้นที่ สน.สุทธิสาร ถูกจับกุมในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอี) และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 (ยาเค) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยขณะนั้นถูกจับกุมพร้อมพวกชาวไทย-มาเลเซีย ซึ่งเป็นขบวนการขนยาเสพติดข้ามชาติผ่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ตรวจยึดของกลางเป็นยาเค 3 กิโลกรัม ยาอี 400 เม็ด
กำลังโหลดความคิดเห็น