เอกภพ ที่ปรึกษาอนุทินหน้าแหก เพจสายไหมต้องรอดไปรับเรื่องโจรลักทรัพย์สินโรงงานเอทานอลร้าง เขาหินซ้อน ฉะเชิงเทรา บอกวิ่งหนีตายอ้างวิสามัญผิดตัว เป็นพี่ชายตัวเองชิ้งฉ่องต่อปลดทุกข์ พาไปออกทีวีช่อง 7 ออกตัวแรงมาก ผู้กำกับโฟนอินไม่ต้องพูดเยอะแต่คนดูเอ๊ะ สุดท้ายเจอหลักฐานใหม่ ความแตก รับเป็นโจรจริง ลักทรัพย์จริง แต่ยืนยันไม่ได้เป็นคนยิง ตำรวจชั้นผู้น้อยเจอแบบนี้มีเคือง สนับสนุนฟ้องกลับ กอบกู้ศักดิ์ศรีตำรวจไทยคืนมา
เมื่อวันที่ 13 เม.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ผู้ก่อตั้งกลุ่มสายไหมต้องรอด และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคภูมิใจไทย นำตัวนายสมพงษ์ ปิ่นแก้ว หรือต้อย อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาคดีลักสายไฟ ไปดำเนินคดีที่ สภ.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา หลังจากที่นายสมพงษ์ยอมรับว่าโกหกเรื่องวิสามัญผิดตัว สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา คนร้าย 4 คนบุกเข้าไปในโรงงานผลิตเอทานอลร้างแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่หมู่ 13 บ้านหนองเหียง ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อลักลอบตัดสายไฟและหม้อไฟ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาหินซ้อนมาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายกลุ่มดังกล่าวได้ยิงปืนใส่ตำรวจ 2 นัดก่อนหลบหนีไป ต่อมาเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 10 เม.ย. กลุ่มคนร้ายย้อนกลับมาที่โรงงานเพื่อมาเอาสิ่งของที่ลักลอบขโมยไว้เมื่อคืน ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุม แต่คนร้ายหนึ่งในนั้นควักปืนยิงใส่ตำรวจ ทำให้ตำรวจต้องล่าถอยออกมาและยิงต่อสู้ขณะคนร้ายหลบหนีขึ้นรถกระบะ ทำให้หนึ่งในคนร้ายตกลงมาจากท้ายกระบะเสียชีวิต ทราบชื่อคือ นายอำพล ตันเจริญ อายุ 50 ปี ส่วนคนร้ายอีก 3 คนหลบหนีไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 11 เม.ย. นายสมพงษ์ ปิ่นแก้ว พร้อมกับญาติออกมาขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด ที่สำนักงานเพจสายไหมต้องรอด ซอยสายไหม 38 เขตสายไหม กรุงเทพฯ อ้างว่าหนีตายมาจากตำรวจวิสามัญผิดตัว วันเกิดเหตุ (10 เม.ย.) ตนกับนายอำพลซึ่งเป็นพี่ชาย ขับรถกระบะตอนเดียวออกไปตระเวนเก็บต้นไม้ที่ตายแล้วเพื่อนำมาเผาทำถ่านขาย ระหว่างทางตนและพี่ชายลงไปปัสสาวะใกล้โรงงานที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงปืนหลายนัด ตนจึงวิ่งขึ้นรถแล้วตะโกนบอกให้พี่ชายขึ้นหลังกระบะ แต่พี่ชายขึ้นรถไม่ทัน ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อถึงบ้านเล่าเรื่องให้แม่ฟังแล้วหลบเข้าไปในป่า กระทั่งแม่ให้พี่สาวและญาติไปที่เกิดเหตุ พบพี่ชายนอนเสียชีวิต ก่อนกลับมาตั้งหลักที่บ้าน
กระทั่งบ่ายวันเดียวกัน ตำรวจบุกมาที่บ้าน ให้คนที่บ้าน 6 คนไปโรงพักเพื่อสอบปากคำ ตำรวจบอกให้ญาติบอกที่ซ่อนตัว และกล่าวหาว่าตนและพี่ชายขโมยสายไฟ และยิงต่อสู้กับตำรวจ ยืนยันว่าไม่ได้ไปขโมยของที่ไหน คืนวันเกิดเหตุ (9 เม.ย.) ตนนอนกับภรรยาอยู่ที่บ้าน ญาติพี่น้องเป็นพยานได้ ส่วนเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่ายิงต่อสู้ตำรวจ ยืนยันว่าในชีวิตไม่เคยยิงปืนสักครั้ง เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา มีอาชีพเผาถ่านขาย จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อปืน ต่อจากนี้ตนจะเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดีตำรวจที่ยิงพี่ชายตนเสียชีวิต ทำให้นายเอกภพต้องขอคุ้มครองพยาน โดยในการแถลงข่าว นายเอกภพกล่าวว่า ที่ตำรวจวิสามัญพี่ชายนายสมพงษ์ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีโจรที่ไหนจะย้อนกลับไปเอาของที่ขโมยมาตอนกลางวัน และมีเหตุยิงปะทะกับตำรวจ อีกทั้งบริเวณที่ถูกวิสามัญนั้น คนร้ายอยู่ห่างจากโรงงานมาก คนที่ถูกวิสามัญก็สติไม่สมประกอบอีกด้วย
ต่อมานายเอกภพพานายสมพงษ์ไปออกรายการถกไม่เถียง ทางช่อง 7 HD ดำเนินรายการโดย นายทิน โชคกมลกิจ โดยมีแขกรับเชิญเพิ่มเติมคือ นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือผู้การแต้ม อินฟลูเอนเซอร์วงการตำรวจ โดยระหว่างรายการพบว่านายเอกภพออกตัวแรงมาก แต่ พล.ต.ต.วิชัยตั้งข้อสงสัยนายสมพงษ์ ที่อ้างว่าไปปลดทุกข์ด้วยกัน แสดงว่าอยู่ติดกันใช่ไหม นายสมพงษ์บอกว่าใช่ครับ พล.ต.ต.วิชัยถามว่าตอนมาอยู่ในรถแล้วบอกว่ายิงทำไม แสดงว่าระหว่างที่ยืนปลดทุกข์กับเข้ามาอยู่ในรถ ใช้เวลาวิ่งตรงไหน นายสมพงษ์นิ่งแล้วกล่าวว่า ตนปัสสาวะอยู่ พี่ชายเปิดประตูลงมา จากนั้นพี่ชายกล่าวว่าเดี๋ยวปัสสาวะเสร็จจะไปขับถ่าย พล.ต.ต.วิชัยถามว่า แสดงว่าตอนยิงอยู่คู่กันใช่ไหม นายสมพงษ์กล่าวว่าใช่ พล.ต.ต.วิชัยถามว่า แสดงว่าตอนยืนอยู่เห็นตำรวจแล้วกี่นาย นายสมพงษ์กล่าวว่า ตอบไม่ได้ อ้างว่าเห็นอยู่คนเดียวข้างหลัง แต่ยิงไม่หยุด และอ้างว่าต้นยูคาลิปตัสบังอยู่
อย่างไรก็ตาม ทางรายการได้ต่อสายไปยัง พ.ต.อ.พศิน รุจิวัชรธนา ผกก.สภ.เขาหินซ้อน นายทินถามว่า วันที่เกิดเหตุวิสามัญฆาตกรรมมีบอดี้แคมหรือไม่ พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า ในชั้นนี้ยังไม่ขอตอบ นายทินถามว่า มีหลักฐานอะไรทำให้เชื่อว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุ พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า เอาตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. เวลา 18.27 น. ตำรวจไปถึง มีการยิง 3 นัดเกิดขึ้น ตำรวจยิงตอบโต้ไป พอเคลียร์สถานที่ ไปดูที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ามีหลักฐานเครื่องมือในการใช้ลักทรัพย์ และมีทรัพย์ที่ลักสำเร็จแล้วกองอยู่ตรงนั้น ข้างทางเป็นป่า อยู่ด้านหลังโรงงาน นายทินถามว่าตำรวจไปกี่นาย พ.ต.อ.พศินตอบว่า 3 นาย และ รปภ. 6 คน มีการประเมินว่าน่าจะมาเก็บของที่ขโมยและเครื่องมือ ถามกลับนายสมพงษ์ว่ามาครั้งแรกใช่ไหม บอกว่าไม่เคยมาแถวนี้ แต่มี รปภ.ชี้ตัวได้ และมีการชักปืนข่มขู่ รปภ.ด้วย นายทินถามว่าคนที่ชี้ตัวคือใคร พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า ไม่ขอตอบ
ต่อมาวันที่ 10 เม.ย. ตำรวจคาดว่ากลุ่มคนร้ายน่าจะมาเก็บของ ก็เลยมา 4 นาย เมื่อถึงแล้วปรากฏว่าเห็นรถกระบะมิตซูบิชิ สตราดา สีเขียว ตรงกับข้อมูลว่าก่อเหตุประจำ เพราะ รปภ.เห็นและยืนยันว่ามาประจำ คาดว่าน่าจะมีอาวุธปืนเพราะก่อเหตุต่อเนื่อง ตำรวจจึงถอยระยะห่างประมาณ 50 เมตร เมื่อเห็นรถแล้วตำรวจชะโงกหน้าตะโกนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจค้น จึงเกิดเสียงปืน ตำรวจลงจากรถแล้วหลบหนีซ้ายขวา ไม่คิดว่าจะมีการยิงเกิดขึ้น เมื่อนายทินถามว่าไม่ตรงตามหลักยุทธวิธี พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า อย่าพูดถึงยุทธวิธีเพราะก้าวล่วงเกินไป ถามว่าคนร้ายอยู่ตรงไหน พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า อยู่ด้านขวารถ 2 คน และเห็นคนวิ่งออกไปตามรางระบายน้ำด้วย พร้อมให้ข้อมูลว่าหลักฐานทั้งหมด ทั้งหมอนรองกระสุนปืนเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จุดตายตนไปดูกับนายแพทย์เวรและอัยการ ป.วิอาญาครบองค์ แพทย์เช็กกระสุนเข้าด้านหน้าลงจากคอหอยประมาณ 6 นิ้ว ทะลุซี่โครงด้านหลังทางซ้ายเล็กน้อย เลยสะดือประมาณ 6 นิ้ว ที่เกิดเหตุไม่พบปืนแต่กองพิสูจน์หลักฐานเก็บหลักฐานทั้งหมด ทั้งฝ่ายตำรวจและฝ่ายคนร้าย เก็บทุกอย่าง ระหว่างชันสูตรพลิกศพอัยการขอญาติมา 1 คน เพื่อชันสูตรศพ ญาติยืนอยู่ 7-8 เมตร
ที่น่าสนใจคือ นายธนกฤตถามในตอนหนึ่งว่า วันที่ 9 เม.ย.มีการบันทึกบอดี้แคมไว้ แต่วันที่ 10 เม.ย.ไม่ขอตอบเพราะอะไร พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า วันที่ 9 เม.ย. เป็นสายตรวจ สภ.เขาหินซ้อนโดยตรง แต่ตำรวจที่วิสามัญไม่ใช่ สภ.เขาหินซ้อน แต่เป็น นปพ. (หน่วยปฏิบัติการพิเศษ) จังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะมีอำนาจและอยู่ในพื้นที่ ส่วนนายเอกภพถามว่าไม่ใช่ตำรวจที่เขาหินซ้อนใช่ไหม พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า ไม่ใช่ตำรวจที่สังกัด สภ.เขาหินซ้อน นายเอกภพ ถามว่า ผู้กำกับฯ ไม่ได้อยู่ในที่้เกิดเหตุใช่ไหม พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในที่้เกิดเหตุ นายเอกภพถามว่า ทำไมถึงให้สัมภาษณ์นักข่าวว่ามั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่ายิงไม่ถูกตัวเพราะอะไร พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า พยานหลักฐานแวดล้อมกรณีทุกอย่าง ไม่ว่าการกระทำซ้ำ การชี้ตัว และหลายๆ เรื่อง ตอนแรกตนไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย เขาหาตัวมานานแล้วเพราะการกระทำซ้ำมานานมาก
นายเอกภพถามว่า เผื่อใจบ้างไหมว่าถ้าคนร้ายใช้รถยนต์ในลักษณะเดียวกันกับผู้ตายจะทำยังไง พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า ไม่เผื่อหรอก เพราะหลักฐานชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานหลายอย่าง คนกระทำซ้ำขนาดปากซอยรู้ว่ามาประจำ นายเอกภพถามว่า ตำรวจเขาหินซ้อนไม่ได้วิสามัญ ตำรวจที่อื่นเป็นคนวิสามัญ ประชาชนญาติผู้ตายเล่าตรงกันข้ามกับตำรวจ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนไม่ควรให้ความเห็น แต่ถ้าประชาชนเอาหลักฐานมาพร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย การให้สัมภาษณ์แบบนั้น ทำให้ญาติไม่กล้าไปเขาหินซ้อน พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ตนให้สัมภาษณ์ นักข่าวบอกว่าช่วยให้ข้อมูลหน่อย ไม่รู้หรอกว่าเขาแอบอัดเสียงตน แล้วถามกลับว่า ไม่ใช่พวกโจรนะ
นายเอกภพถามกลับว่า ยิงไม่ผิดตัวถูกไหมครับ พ.ต.อ.พศินกล่าวว่า ครับ ก่อนทิ้งท้ายว่า ถ้าอยากมา พามอบตัวได้เลย วันเกิดเหตุเสร็จแล้วตำรวจไปหาที่บ้านไม่เจอ ไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ ไปที่ปราจีนบุรี ไปหาบ้านเมีย (ภรรยานายสมพงษ์) กล่อมเมียบอกว่ามอบตัวเถอะ ไม่มีอะไร อย่างมากก็ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ไปตามกระบวนการเถอะ เดี๋ยวให้ประกันตัว ภรรยากล่าวว่า เดี๋ยวทำใจแป๊บหนึ่ง ตนสงสัยว่าทำใจ ขอไปตั้งหลักได้ไหม ทางตำรวจก็รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อน จะพยายามออกหมายจับ ในชั้นนี้ยังไม่ให้รายละเอียดเพราะยังต้องสอบสวนกระบวนความกันเยอะ
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 13 เม.ย. เวลา 14.30 น. นายเอกภพพานายสมพงษ์เข้ามอบตัวต่อตำรวจ สภ.เขาหินซ้อน หลังจากนายเอกภพได้รับวิดีโอคลิปจากกล้องวงจรปิดของโรงงาน พบว่ารถกระบะของนายสมพงษ์กำลังบรรทุกท่อที่ถูกขโมยออกไป ทำให้นายสมพงษ์ยอมรับว่าเป็นรถยนต์ของตนที่ได้ไปลักทรัพย์โรงงานดังกล่าวจริง เพียงแต่ยังตั้งสติไม่ได้และสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาวุธปืนที่ใช้ต่อสู้เจ้าพนักงานก็ไม่ใช่ของตน นายเอกภพจึงกล่าวกับนายสมพงษ์ด้วยความไม่พอใจว่า ให้เอาเรื่องจริงมาคุยที่โรงพัก ถ้าขโมยจริงก็ยอมรับ วันเกิดเหตุถ้าไม่ได้ยิงก็บอกว่าไม่ได้ยิง ให้อธิบายเรื่องนี้ เพราะโรงพักไม่เกี่ยวกับการวิสามัญ ส่วนการวิสามัญก็อธิบายไปว่าเกิดอะไรขึ้น นายสมพงษ์กล่าวขอโทษตำรวจ ยินดีว่าไปตามกระบวนการ ขณะที่นักข่าวกล่าวว่า การพูดวกไปวนมาทำให้ทุกคนเหนื่อยต้องหากล้องวงจรปิดหมดเลย
ส่วนเพจ "Survive - สายไหมต้องรอด" โพสต์คลิปนายสมพงษ์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว พร้อมระบุแคปชันว่า "นำส่งตัวสมพงษ์ไปดำเนินคดีที่โรงพักเขาหินซ้อน หลังจากญาติพามาร้องขอความเป็นธรรมอ้างถูกตำรวจวิสามัญผิดตัว หลังรับเรื่อง ทีมสายไหมต้องรอด และผู้สื่อข่าวลงพื้นที่แกะรอยตามกล้องวงจรปิด พบว่าสมพงษ์พาพี่ชายซึ่งเป็นผู้ตายผ่านไปในพื้นที่เกิดเหตุหลายครั้ง จึงเค้นสอบถาม ล่าสุดนายสมพงษ์ให้การรับสารภาพแล้วว่าโกหกญาติทั้งหมดและรับเคยไปขโมยของจริง แต่ยังปฏิเสธว่าไม่มีปืน ทีมสายไหมต้องรอดจึงนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย ถ้าคุณถูกเราก็ช่วย ถ้าคุณผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี" ทำให้มีชาวเน็ตถามนายเอกภพว่า แล้วทางเพจรับผิดชอบอะไรไหมที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดด่าเจ้าหน้าที่ชุดที่ทำหน้าที่ และถามว่า แล้วทางเพจจะรับผิดชอบยังไงต่อ ก่อนออกสื่อพิจารณาให้ดีก่อน ทำสังคมเข้าใจผิด และขอโทษผู้กำกับด้วย
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ทราบข่าวไม่พอใจกับการกระทำของนายเอกภพที่ไปอุ้มผู้กระทำความผิดดังกล่าว เฉกเช่นเฟซบุ๊ก "พระจันทร์ ลายกระต่าย V2" กระบอกเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อย กล่าวว่า "#สายไหมไม่รอด ถูกโจรแหกตาอ้างตำรวจ สภ.เขาหินซ้อน วิสามัญผิดตัวพาแห่ออกสื่อหลายสำนัก สุดท้ายโอละพ่อจนมุมกล้องวงจรปิดชี้โจรเต็มร้อย" "สนับสนุน ผกก.เขาหินซ้อน เเละตำรวจชุดวิสามัญ ฟ้องเจ้าของเพจสายไหมไม่รอดให้เป็นตัวอย่าง เพื่อเรียกศักดิ์ศรีของตำรวจกลับมา" "เป็นกำลังใจให้ ผกก.เขาหินซ้อน เเละตำรวจชุดวิสามัญโจรเเบบไม่ผิดตัวครับ" และ "เคสเขาหินซ้อน กล่าวหาตำรวจเเบบเอาเป็นเอาตาย #เจ้าของเพจสายไหมไม่รอด จะรับผิดชอบยังไงครับ"