xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-13 เม.ย.2567

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."เศรษฐา" เปิดเงื่อนไขเงินดิจิทัล 1 หมื่น ให้สิทธิ 50 ล้านคน วงเงิน 5 แสนล้านแบบไม่กู้ ผู้มีสิทธิได้ อายุ 16 ปีขึ้น รายได้ไม่เกิน 8.4 แสนต่อปี มีเงินฝากไม่เกิน 5 แสน!

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงข่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต พร้อมกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลยินดีที่จะประกาศให้ประชาชนทราบว่านโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว โดยรัฐบาลได้ใช้ความพยายามอย่างสูงสุดฟันฝ่าอุปสรรคและข้อจำกัดทั้งหลาย จนวันนี้ได้มาถึงวันที่รัฐบาลได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน เพื่อพลิกชีวิตให้กับประชาชน และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ รวมทั้งอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประชาชนและร้านค้าจะได้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนได้ในไตรมาส 3 และเงินจะส่งตรงถึงประชาชนในไตรมาส 4 ของปีนี้ ยืนยันว่านโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและกระจายไปยังทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ ที่จะเกิดการลงทุนขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงานสร้างอาชีพและเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะได้รับผลการตอบแทนคืนมาในรูปแบบภาษี เป็นการเตรียมความพร้อมประเทศให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง ในการพึ่งพาตัวเอง และยังก่อให้เกิดเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม

โดยจะให้สิทธิ์ประชาชนจำนวน 50 ล้านคนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด เพื่อเป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 1.2 ถึงร้อยละ 1.6

นายเศรษฐา ยืนยันด้วยว่า รัฐบาลจะดำเนินโครงการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการต่างๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซื่อสัตย์สุจริต รอบคอบ และระมัดระวัง รวมถึงรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแหล่งเงินกู้เงิน 500,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า สามารถบริหารจัดการผ่านกระบวนการงบประมาณได้ทั้งหมด โดยเป็นการจัดการงบประมาณในปี 2567 และ 2568 ควบคู่กันไป แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนที่ 1 เป็นเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท โดยได้ขยายกรอบวงเงินในปี 2568 เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ 2 จะมาจากการเติมเงินผ่านโครงการหน่วยงานของรัฐจำนวน 172,300 ล้านบาท ซึ่งจะใช้มาตรา 28 โดยจะให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกรจำนวน 17 ล้านคนเศษผ่านกลไกงบประมาณของปี 2568 และส่วนที่ 3 จะมาจากการจัดสรรงบประมาณของปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะพิจารณาว่า งบรายจ่ายสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยอาจจะมีการพิจารณางบกลางมาใช้ร่วมด้วย ถ้าวงเงินไม่เพียงพอ โดยวงเงินทั้ง 3 ส่วน เมื่อรวมกันจะครบทั้ง 5 แสนล้านบาทพอดี

ทั้งนี้ ยืนยันว่า การดำเนินการเรื่องแหล่งเงินเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมายวินัยการเงินการคลัง หรือกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยให้ข้อกังวล โดยวันที่เริ่มโครงการจะมีเงินงบประมาณเต็มจำนวน 500,000 ล้านบาทอยู่ทั้งก้อน ไม่ได้มีเงินสกุลอื่นหรือใช้มาตรการอื่นแทนเงิน

ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คณะกรรมการได้วางแนวทางและรายละเอียดของโครงการไว้ดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย ประชาชนประมาณ 50 ล้านคน โดยจะมีเกณฑ์ ได้แก่ อายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท

เงื่อนไขการใช้จ่าย ได้แก่ ใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอ (878 อำเภอ) โดยกำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น ประเภทสินค้า สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการฯ ได้ ยกเว้น สินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ การจัดทำระบบ จะเป็นการพัฒนาต่อยอดของรัฐบาลดิจิทัลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายให้เป็น Super App ของรัฐบาล โดยการใช้งานจะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่นๆ ในลักษณะ open loop ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดทำของภาครัฐ รัฐบาลจะดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ส่วนคุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี

สำหรับช่วงเวลาการดำเนินโครงการ ประชาชนและร้านค้าจะสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และจะมีการเริ่มใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567

วันต่อมา (11 เม.ย.) นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่า นำเงินของเกษตรกรจาก ธกส. มาใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ว่า มั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้อง เดี๋ยวจะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฎหมายตามที่ตนเรียน

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านจะขอดูแผนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกฯ กล่าวว่า ก็ว่าไปตามกฎหมาย ตนแถลงไปครบแล้ว เมื่อถามต่อว่า กรณีเงื่อนไขผู้มีเงินฝาก 5 แสนบาท นับตั้งแต่เดือนไหน นายกฯ กล่าวว่า ก็นับวันที่ลงทะเบียน เมื่อถามอีกว่าเรื่อง Super App จะมีการเพิ่มงบในการทำหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวเขาพัฒนามาแล้วจะแจ้งให้ทราบ ทุกอย่างต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ เมื่อถามย้ำว่า Super App จะเชื่อมโยงกับแอพเป๋าตังใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกแอปก็เป็นโอเพ่นแอปฯ โอเพ่นลูป ส่วนกรณีที่ประชาชนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแอปฯ จะมีช่องทางอื่นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็จะรับไปพิจารณาต่อ

2.พระมหาหนุ่มเสพเมถุนแม่บุญธรรม อดีตผู้สมัคร สส.ปชป. ย่องเงียบสึกแล้ว ขณะที่ผลสอบ ปชป.พบมีมูลความจริง เจ้าตัวชิงยื่นลาออกสมาชิกแล้ว!


เมื่อวันที่ 10 เม.ย.เฟซบุ๊กเพจ "อีซ้อขยี้ข่าว" ได้เผยแพร่วีดีโอคลิปขณะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง โดยที่ภายในบ้านได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งพบว่ามีจีวรและสบงวางอยู่หน้าห้องนอน ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะเปิดประตูแล้วกล่าวว่า "มีความสุขกันดีใช่ไหม" จากนั้นหญิงที่ระบุว่าเป็นภรรยา กับชายชู้ที่เป็นพระวิ่งเปลือยกายลุกออกจากเตียงพยายามแย่งโทรศัพท์มือถือ ซึ่งคลิปดังกล่าวได้มีการแชร์และวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

โดยเฟซบุ๊กเพจ "อีซ้อขยี้ข่าว" ระบุข้อความว่า "พระมหาหนุ่มวัย 24 ปี เสพเมถุนกับแม่บุญธรรมวัย 45 ปี ด้านสามีเกิดระแคะระคายแอบขับรถจากกรุงเทพฯ กลับมาที่บ้านที่ต่างจังหวัดและได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะถูกทั้ง 2 คนวิ่งเปลือยลุกจากเตียง เข้ามาทำร้ายร่างกายพยายามเข้ามายื้อแย่งโทรศัพท์เอาไว้"

นอกจากนี้ เฟซบุ๊กเพจ "อีซ้อขยี้ข่าว" ยังระบุไทม์ไลน์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ด้วยว่า ย้อนไป 2-3 ปีก่อน พระมหา ห. เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดที่แห่งหนึ่ง รู้จักกับนาง ป. แต่ห่างหายกันไปนาน เดือน ม.ค.2567 มีหมอดู ทำนายทายทักให้นาง ป. ตามพระมหา ห. กลับมา สืบหาจบพบว่าเป็นพระลูกวัดอยู่ที่วัดไร่อ้อย จ.อุตรดิตถ์ จึงได้มีการติดต่อกัน

2 ก.พ.2567 พระมหา ห. มานั่งทำพิธีกรรม นั่งสมาธิ ที่บ้านนาง ป. มีการทำนายทายทักกัน โดยมีลูกศิษย์ 3 คนมาด้วย และมีสามีนาง ป. อยู่ด้วย 10 ก.พ.2567 มีพราหมณ์มาทำพิธี กับพระมหา ห. เพื่อทำพิธีบวงสรวง ที่บ้านนาง ป. 11 ก.พ.2567 พระมหา ห. กับนาง ป. ไปงานสืบชะตา ที่วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จ.อุตรดิตถ์ 17-19 ก.พ.2567 พระมหา ห. กับนาง ป. ไป จ.เชียงใหม่ โดยมีสามีนาง ป. ไปด้วย

17 ก.พ.2567 ไปวัดศรีสุพรรณ ไปสนทนาธรรมกับครูบาฯ ให้ท่านดูเรื่องดูอดีตชาติให้นาง ป. 18 ก.พ.2567 ไปพบแม่บุญธรรมของครูบาฯ ที่วัดพระธาตุดอยสะเก็ด โดยแม่บุญธรรมก็ทักเรื่องอดีตชาติของนาง ป. สามีนาง ป. ได้รับพระมหา ห. เป็นลูกบุญธรรมต่อหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่วัดแห่งนี้ ช่วงบ่ายเดินทางไปสถานปฏิบัติธรรมหลายที่ ค้างคืนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง พระมหา ห. นอนอยู่ข้างบน นาง ป. นอนอยู่ข้างล่าง พระมหา ห. เดินลงมาเคาะกระจกข้างล่าง มีคนเห็นว่ากอดกันอยู่นอกห้องตอนกลางดึก

19 ก.พ.2567 ช่วงเช้าเดินทางเข้าจังหวัดเชียงใหม่ พระมหา ห. ไปทำเอกสารที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงบ่ายแวะวัดพระนางจามเทวีที่ จ.ลำพูน ทำขอขมากรรมและกราบพระที่วัด จากนั้นเดินทางกลับพระมหานอนค้างที่บ้านนาง ป. ที่ห้องลูกสาว โดยมีสามีอยู่ด้วย 21 ก.พ. ถึง 2 มี.ค.2567 สามีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำงาน ระหว่างนั้นได้มีการติดต่อโทรหานาง ป. รับสายบ้างไม่รับสายบ้าง ติดต่อยาก แต่ทราบมาว่าได้ไปหาพระมหา ห. ที่วัดบ่อยครั้งในตอนกลางคืน

3 มี.ค.2567 สามีขับรถกลับมาที่บ้านต่างจังหวัด นาง ป. กลับจากประชุมหอการค้าที่จังหวัดพิษณูโลก กลับมาถึงบ้านตอนตี 3 ก่อนหน้านั้นติดต่อไม่ได้ โทรศัพท์ตัดสายทิ้งตลอด 4 มี.ค.2567 นาง ป. ออกไปวัดกับเพื่อน ส่วนสามีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงเย็น 4 มี.ค. ถึง 15 มี.ค.2567 ทางสามีอยู่กรุงเทพ ระหว่างนี้ได้ทราบมาว่า นาง ป. ได้ขับไปหาพระมหา ห. ที่อยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลากลางคืน

9 มี.ค.2567 นาง ป. เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมางานแสดงละครลูก และได้อยู่ค้างคืนกับสามี 10 มี.ค. ถึง 12 มี.ค.2567 นาง ป. กลับบ้านในต่างจังหวัดและได้ไปหาอาจารย์ ทำพิธีรดน้ำมนต์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน ในช่วงบ่าย เย็น โดยในวันที่ 12 มี.ค. พระมหา ห. ได้ไปด้วย โดยนาง ป. ไปรับถึงที่วัด ระหว่างที่สามีไม่อยู่ได้ทราบมาว่านาง ป. ได้มีการติดต่อพระมหา ห. อยู่ตลอดเวลาและมีการไปมาหาสู่ในเวลากลางคืน

15 มี.ค.2567 สามีกลับมาที่ต่างจังหวัด มานอนค้างที่บ้าน 1 คืน ซึ่งคืนนั้นนาง ป. กลับมาถึงบ้านตอนตี 4 ไม่รู้ว่าไปไหนมา ซึ่งสามีก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในห้องนอนว่ามีคนมาใช้ห้องนอนร่วมกับนาง ป. 16 มี.ค.2567 นาง ป. ไล่พระมหา ห. กลับ ก่อนที่สามีจะกลับมาจากกรุงเทพฯ

17 มี.ค.2567 นาง ป. กับเพื่อนไปปฏิบัติธรรมที่สถานปฏิบัติธรรมใน อ.เถิน จ.ลำปาง ตกกลางคืน ระหว่างเดินทางกลับได้มาแวะไปหาเจ้าอาวาสที่วัดโบสถ์ เมืองบางขลัง จ.สุโขทัย และได้มีคนขับรถพาพระมหา ห. มาที่วัดแห่งนี้ แล้วทั้งหมดก็เดินทางกลับจังหวัดสุโขทัยด้วยกัน 3 คน และมีพระมหา ห. ไปนอนค้างคืนบ้านนาง ป. โดยที่สามีกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว

21 มี.ค.2567 สามีนาง ป. ได้รับทราบจากคนสนิทว่า พระมหา ห. มาค้างอยู่ที่บ้านนาง ป. โดยนอนอยู่ในห้องนอนนาง ป. 22 มี.ค.2567 สามีจึงขับรถมาที่บ้านต่างจังหวัด ได้เดินขึ้นไปบนบ้าน พบเห็นเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงในห้องนอนโดยหน้าห้องได้มีการถอดสบง จีวร และสายรัดประคดทิ้งไว้ ทางสามีจึงได้บันทึกวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งทั้งสองคนวิ่งเปลือยกาย พยายามเข้ามาเพื่อที่จะแย่งโทรศัพท์ที่บันทึกภาพดังกล่าวไว้ จนนาง ป. ได้ลงมาพูดคุยกับสามีหลังจากที่เกิดเหตุ ซึ่งพระมหา ห. ยังอยู่ข้างบน ทางนาง ป. ได้อ้างกับสามีว่า ไม่ได้มีอะไรกับพระมหา ห. อย่างที่คิด ทางพระมหา ห. แค่มาอาบน้ำที่ห้องน้ำในห้องตนเท่านั้น


พระมหา ห. ได้โทรไปเล่าให้กับสีกาคนหนึ่งที่เคยคบหาดูแลกันว่า เคยมีอะไรกับโยม ป. แล้ว หลายครั้ง และมีคลิปเสียง ซึ่งล่าสุด เพจดังกล่าวระบุว่า พระมหาหนุ่มดังกล่าวได้ลาสิกขาและหนีออกจากวัดที่จังหวัดอุตรดิตถ์ไปแล้ว

หลังมีข่าวพระมหา ห.กับนาง ป. สื่อหลายสำนักและกระแสในโซเชียลได้เผยแพร่ประวัติของมาดาม ป.หรือมาดามเปิ้ล โดยระบุว่า มาดามเปิ้ล หรือประภาภรณ์ เชยวัดเกาะ หญิงเก่งแห่งจังหวัดสุโขทัย โดยมาดามเปิ้ล อายุ 45 ปี ชื่อเสียงโด่งดังจากที่เคยเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหมายเลข 9 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดสุโขทัย เขต 1 ปัจจุบันเป็นภรรยาของนักการเมืองดัง ทั้งยังดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าจังหวัดสุโขทัยอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเคยเป็นรองประธานหอการค้าจังหวัดสุโขทัย และเลขาธิการหอการค้าจังหวัดสุโขทัย รวมทั้งยังเคยเป็นผู้จัดซีรี่ย์ "Be My Boy รักแล้วไงหยุดไม่ได้แล้วล่ะ" จากนวนิยายวัยรุ่น สุดฮิตมาเป็นซีรี่ย์ ออกอากาศสถานีวิทยุกองทัพบกช่อง 5 ออกอากาศเมื่อปี 2561

ทั้งนี้ วันต่อมา (11 เม.ย.) รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ได้พูดคุยกับสามีของนักการเมืองหญิงรายนี้ โดย สามีระบุว่า เอาตรงๆ ว่าผมจะไปโทษภรรยาแบบ 100% มันก็ไม่ได้ “ผมมั่นใจว่า แฟนของผมคนนี้ คู่หมั้นผมคนนี้ไปเชื่อเรื่องราวของวงเวียนกรรม เชื่อเรื่องหมอดู เชื่อเรื่องครูบา เชื่อเรื่องของอดีตชาติ เลยทำให้แฟนของผมคนนี้ไปติดกับพระ ซึ่งพระน่าจะใช้กลอุบายต่างๆ นานา ไปหลอกลวงแฟนของผม จนแฟนของผมหลงเชื่อ และไปมีสัมพันธ์กัน เพราะแฟนผมเชื่อเรื่องราวเหล่านี้แบบขีดสุด”

สามีฯ ยังระบุด้วยว่า ที่เสียใจที่สุดคือ พระรูปนี้ ไม่ควรจะสึกเอง เพราะพระรูปนี้ควรจะปาราชิก โดนจับสึก และเป็นสมี ไม่ควรจะกลับมาบวชได้อีก อยากจะร้องเรียน สำนักพุทธว่าจะไปจัดการเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงหมอดู สำนักสงฆ์ต่างๆ นานา ที่พยายามไปพูดให้เมียผมติดกับ จนกระทั่งไปประเคนกายแบบนี้

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีนาง ป.อดีตผู้สมัคร สส.ของพรรคมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพระภิกษุ ซึ่งล่าสุด (13 เม.ย.) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เผยงผลสอบว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า มีมูลความจริง ซึ่งรายละเอียดคณะกรรมการไม่ขอชี้แจงลงลึกไปในรายละเอียด คณะกรรมการมีความเห็นต่อไปว่า สมาชิกพรรคคนดังกล่าวได้กระทำผิดข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ ข้อ 18 ประกอบ ข้อที่ 26 ที่ได้กำหนดให้สมาชิกพรรคมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค รักษาชื่อเสียงของพรรคโดยไม่ปฏิบัติไปในทางที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค โดยเฉพาะมาตรฐานทางจริยธรรมที่ข้อบังคับพรรคได้ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตนของสมาชิกพรรคที่ต้องอยู่ในกรอบของจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม

คณะกรรมการมีความเห็นต่อไปว่า ข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ข้อที่ 124 กรณีที่สมาชิกพรรคได้กระทำการฝ่าฝืนจรรยาบรรณของพรรคควรลงโทษสมาชิกพรรคโดยให้พ้นจากสมาชิกพรรค ที่กล่าวมาเป็นสรุปสาระสำคัญผลการสอบในขั้นตอนเบื้องต้น เพื่อนำเสนอในการพิจารณาขั้นตอนต่อไปตามข้อบังคับ

อย่างไรก็ตาม นายราเมศ กล่าวว่า สมาชิกพรรคคนดังกล่าวได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรค ซึ่งทราบว่าทางพรรคได้ลงรับเข้าสู่ระบบแล้วในวันนี้ (13 เม.ย.) ซึ่งทางคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจะได้นำรายละเอียดการสอบสวนทั้งหมดประกอบใบลาออกจากสมาชิกพรรค รายงานนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารพรรคต่อไป

3. ศาลพิพากษาจำคุก "กำนันนก" คดีให้ลูกน้องยิง "สารวัตรศิว" ขณะที่ 15 ตำรวจโดนด้วย ละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ช่วยมือปืนหลบหนี!



เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้อ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข อดีต สว.สส.สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร กับพวกตำรวจและพลเรือน ที่มีนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก ร่วมด้วย รวมจำเลยทั้งหมด 23 คน จำเลยที่ 1-16 เป็นตำรวจ จำเลยที่ 17-23 เป็นพลเรือน ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เอาไปเสีย ทำลายพยานหลักฐานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้รับโทษ, พาผู้กระทำผิดให้พ้นการจับกุม, เป็นเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้รับโทษตาม ป.อาญา ม.157 ม.184 ม.189 ม.200 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยกระทำร่วมกันหรือกระทำในลักษณะสนับสนุนช่วยเหลือเจ้าพนักงาน

คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.66 นายประวีณ หรือกำนันนก ได้จัดงานเลี้ยงที่บ้านพักใน ต.ตาก้อง อ.เมืองนครปฐม มีการเชิญนายตำรวจทั้งในและนอกพื้นที่นับสิบคน มาสังสรรค์และดื่มสุรา ก่อนกำนันนกมีเรื่องบาดหมางกับ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว อดีต สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เรื่องโยกย้ายตำรวจชั้นประทวนที่จะมารับใช้กำนันนก ระหว่างนั้นถูกสารวัตรศิว ทำให้เสียหน้า จึงส่งสัญญาณให้นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือหน่อง ท่าผา ลูกน้องยิงสารวัตรศิวภายในงานเลี้ยงจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งจำเลยทั้งหมดมีพฤติการณ์เป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เอาไปเสีย ทำลายพยานหลักฐานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้รับโทษ, พาผู้กระทำผิดให้พ้นการจับกุม, เป็นเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้รับโทษ, พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยกระทำร่วมกันหรือกระทำการสนับสนุนช่วยเหลือเจ้าพนักงาน คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธและถูกขังตามหมาย

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตาม ป.วิ.อาญา มีหน้าที่ตามกฎหมาย วันเกิดเหตุ กำนันนกบาดหมางกับผู้ตาย พยักหน้าให้นายธนัญชัย หรือหน่อง ท่าผา ยิงผู้ตาย จากนั้น พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข สั่งการให้จำเลยอื่นเก็บปลอกกระสุน ผ้าปูโต้ะ ปกปิดคราบเลือด ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล อดีตรอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม จำเลยที่ 3 เห็น ร.ต.ท.ประสาร รอดผล อดีตรอง สว. (ป.) ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล.จำเลยที่ 2 แย่งปืนจากมือของนายธนัญชัยไป ไม่มีผู้ใดควบคุมตัวนายธนัญชัย ทำให้หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไปโดยง่าย

การกระทำของ ร.ต.ท.นิมิตร ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไม่พยายามจะติดตามจับกุมหรือร้องขอให้ตำรวจนายอื่นช่วยกันจับกุมหรือติดตามไปในทันที ส่วนการที่วิ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างผู้บาดเจ็บขึ้นท้ายรถกระบะ ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ขั้นเผชิญเหตุในการช่วยเหลือนำส่งผู้บาดเจ็บ เป็นไปตามสภาวการณ์ที่ถูกต้องแล้ว หลังจากนั้นกลับขับรถจักรยานยนต์ออกไปและติดตามไปที่บ้านพักอีกแห่งของกำนันนก จำเลยที่ 22 ไม่ปรากฏว่าขับรถจักรยานยนต์ของทางราชการไปช่วยอำนวยความสะดวกระหว่างทางที่มีการส่งตัวผู้ตายหรือผู้ได้รับบาดเจ็บไป รพ.นครปฐม ส่วนจำเลยที่เหลือทั้งหมดยกเว้น จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง อดีต ผบ.หมู่ กก.5 บก.ปคม. จำเลยที่ 14 มีพฤติการณ์ตามที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง

พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-3, 5 คนละ 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 4, 6-13, 15-20, 23 คนละ 1 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 21 รวม 1 ปี 9 เดือน 21 วัน จำคุกกำนันนก จำเลยที่ 22 รวม 2 ปี ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 9-11, 19, 20, 23 กำหนด 2 ปี (บางรายมีโทษปรับระหว่าง 4-6 หมื่นบาทด้วย) ส่วนจำเลยที่ 14 ศาลรับฟังไม่ได้ว่ากระทำผิด ให้ยกฟ้อง

มีรายงานว่า สำหรับคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกำนันนกในคดีจ้างวานนายธนัญชัย หมั่นมาก หรือหน่อง ท่าผา ให้ฆ่าสารวัตรศิวต่อศาลอาญา ในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทําความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นฯ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 นั้น ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น กำนันนกแถลงให้การปฏิเสธทุกข้อหา ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 22 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า หลังศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 22 คนและยกฟ้อง 1 คนนั้น ในส่วนจำเลยที่ศาลจำคุกไม่รอลงอาญา 16 คนนั้น มีจำเลย 15 คนยกเว้นกำนันนกยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ทำให้จำเลยที่มาศาลต่างแยกย้ายกันกลับ บางส่วนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำได้รับหมายปล่อยตัวในที่สุด

4. พบกากแคดเมียมซุกโรงงานย่านบางซื่อ 150 ตัน ด้าน กทม. ประกาศเป็นพื้นที่อันตราย ด้าน "ชัชชาติ" ยืนยัน ยังไม่มีผลกระทบ วอน ปชช.อย่ากังวล!



เมื่อวันที่ 10 เม.ย. น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ได้ลงพื้นที่ร่วมกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงาน เพื่อตรวจสอบบริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล จำกัด ตั้งอยู่ 1532/1 ซ.เรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์ แขวงและเขตบางซื่อ กทม. หลังตำรวจ บก.ปทส. สืบสวนแกะรอยจนทราบว่า ที่โรงงานดังกล่าวมีการซุกซ่อนกากแคดเมียมไว้ จากการตรวจสอบพบว่า แคดเมียมที่ตรวจพบมีจำนวน 150 ตัน บรรจุในถุงบิ๊กแบ๊กจำนวน 98 ถุง โดยขณะนี้ได้ยึดอายัดไว้แล้ว โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย และได้สั่งการข้าราชการให้ตรวจสอบโรงหล่อ โรงหลอมทั่วกรุงเทพมหานคร

ดังนั้นจึงได้สั่งการให้นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบ และค้นหากากแคดเมียมที่เหลือในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และขยายผลไปยังต้นตอเครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง

น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวด้วยว่า “ดิฉันได้กำชับกับทางปลัดว่าให้เอ็กซ์เรย์ทุกพื้นที่ เพื่อค้นหากากแคดเมียมที่ยังหลงเหลือให้หมดภายในเดือนเมษายน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และดำเนินการส่งกากแคดเมียมและกากสังกะสีกลับไปยังหลุมฝังกลบที่จังหวัดตาก และจะต้องขนส่งอย่างปลอดภัยด้วย ส่วนบ่อที่ตากนั้นพบว่ายังคงมีสภาพดีพร้อมนำเข้าสู่การฝังกลบดังเดิม”

ทั้งนี้ หลังมีการตรวจพบว่า โรงงานของบริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล จำกัด ย่านบางซื่อ มีการซุกซ่อนกากแคดเมียม 150 ตัน บรรจุในถุงบิ๊กแบค 98 ถุง โดยยึดอายัดไว้แล้ว ปรากฏว่า ล่าสุด สำนักงานเขตบางซื่อ ได้ออกประกาศให้บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่อันตราย ห้ามอยู่อาศัยหรือดำเนินกิจการในพื้นที่ที่กำหนด เนื่องจากกากแคดเมียมเป็นกากแร่อุตสาหกรรมอันตราย มีลักษณะที่ใกล้จะเกิดสาธารณภัยอันเนื่องมาจากสารเคมีและวัตถุอันตรายขึ้นในพื้นที่ และการอยู่อาศัยหรือดำเนินกิจการใดๆ ในพื้นที่นั้นจะเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตและร่างกายของประชาชน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 37 ประกอบกับมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ผู้อำนวยการเขตบางชื่อ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร จึงห้ามเข้าไปอยู่อาศัยหรือดำเนินกิจการใดในพื้นที่ บริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล จำกัด

วันต่อมา (11 เม.ย.) นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยหลังประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ว่า การพบกากแคดเมียมกระจายไปหลายจังหวัด ตั้งแต่ จ.ตาก สมุทรสาคร ชลบุรี ล่าสุด กทม. ยังมีที่ตามไม่พบอีกจำนวนหนึ่ง ปลัด สธ.จึงสั่งการให้เปิดศูนย์ดังกล่าวที่ส่วนกลาง พร้อมให้ทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเปิดศูนย์ PHEOC ทันที เพื่อประสานการดูแลผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นระบบ

ด้าน นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการตรวจสอบโรงงานย่านบางซื่อที่พบกากแคดเมียม พบได้รับใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข แต่มีการลักลอบนำกากแคดเมียมมาเก็บไว้ในพื้นที่ของโรงงาน ดังนั้น หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น จึงต้องมีการควบคุม กำกับ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เนื่องจากกากแคดเมียมดังกล่าวเป็นสารก่อมะเร็ง หากมีการจัดเก็บที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงหรือบริเวณโดยรอบโรงงานได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยได้ ทั้งนี้ จากการประเมินความเสี่ยงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน พบว่า น้ำทิ้งจากโรงงานดังกล่าวถูกปล่อยเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียของ กทม.ทำให้ไม่มีการปนเปื้อนของสารแคดเมียมในแหล่งน้ำสาธารณะ แต่เพื่อความปลอดภัยทีม SEhRT ของสถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง กรมอนามัย จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำใช้ของประชาชนโดยรอบโรงงาน และภายในโรงงาน ผลยืนยันว่า ไม่พบสารแคดเมียมในน้ำอุปโภค บริโภค

"ขอแจ้งให้ประชาชนมั่นใจในการใช้น้ำได้อย่างปลอดภัย ไม่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียม และได้มีการสื่อสารประชาชนให้มีความรู้เรื่องอันตรายจากการรับสัมผัสสารแคดเมียม และเข้าใจต่อสถานการณ์ พร้อมแจ้งให้ประชาชนดูแลตนเองและครอบครัวสามารถป้องกันตนเองจากความเสี่ยงสุขภาพ หากพบความผิดปกติทั้งสิ่งแวดล้อมโดยรอบและผลทางสุขภาพให้รับแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที"


ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) เผยความคืบหน้ากรณีนัดหมายให้นายเจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย กรรมการ บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด มาให้ปากคำที่ บก.ปทส.ว่า หลังจากอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ บริษัท เจ แอนด์ บีฯ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เจ้าหน้าที่จึงรอการสอบสวนก่อนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหากับนายเจษฎา และนัดหมายให้เข้ามาให้ปากคำในวันที่ 11 เม.ย. แต่นายเจษฎาขอเลื่อนไปวันที่ 18 เม.ย. เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัด ต้องรอเอกสารเพื่อดูเหตุผลของการขอเลื่อนอีกครั้ง

ส่วนเหตุผลที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาเหมือนกับรายอื่นๆ ที่เข้าไปตรวจค้นทั้งชลบุรีและสมุทรสาคร พล.ต.ต.วัชรินทร์ กล่าวว่า เพราะบริษัท เจ แอนด์ บีฯ ได้รับอนุญาตให้เป็นปลายทางที่ลงของกากแคดเมียม ดังนั้น การดำเนินการเรื่องครอบครองวัตถุอันตรายจึงต้องดูเจตนาก่อน เท่ากับว่าตอนนี้จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้แค่ผิด พ.ร.บ.โรงงานเท่านั้น รวมถึงรอเจ้าหน้าที่มาให้การเพิ่มเติมหลังจากพบแคดเมียมเพิ่มที่บริษัท เจ แอนด์ บีฯ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ด้วย พล.ต.ต.วัชรินทร์ ย้ำว่า อย่างไรนายเจษฎาก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่รอการสอบสวนก่อน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม พร้อมยืนยัน ไม่มีคนใหญ่คนโต หรือเจ้าตัวก็ไม่ได้เป็นคนใหญ่โตตามที่มีกระแสข่าว เป็นแค่คนธรรมดาที่ไปกู้ยืมเงินมาซื้อสินค้าล็อตนี้โดยเฉพาะ

ส่วนการดำเนินคดีกับนางวรรณา เจ้าของโรงงานที่ถูกตรวจพบ จำนวน 150 ตัน ในเขตบางซื่อ และนางวรรณา ภรรยาของนายเจษฎา จากการสอบปากคำนางวรรณาอ้างว่า ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกในการนำแคดเมียมมา และมีการทะเลาะกับสามี และน่าจะหาที่เก็บยังไม่ได้ จึงเก็บไว้ที่โรงงานย่านบางซื่อ มีการนำเข้ามาฝากไว้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2566 และเป็นแคดเมียมที่เป็นของกลางล็อตต้นๆ เคลื่อนย้ายมาจาก จ.ตาก หลังจากนี้เจ้าของโรงงานจะถูกดำเนินคดีในฐานเข้าข่ายความผิดมากกว่า 1 ข้อหา คือ ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต, พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร, พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.แร่

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เผยถึงการพบกากแคดเมียมที่โรงงานของบริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล บางซื่อ ว่า โรงงานแห่งนี้พบกากแคดเมียม 98 ถุง น้ำหนักประมาณ 150 ตัน ยังไม่ได้มีผลกระทบ อันตรายรอบข้าง ไม่มีการแพร่กระจายทางอากาศ เพราะได้นำเครื่องมือไปตรวจเก็บตัวอย่างแหล่งน้ำ เก็บดิน ยังไม่พบการปนเปื้อนสารแคดเมียม ไม่ใช่สารกัมมันตภาพรังสี ผู้อำนวยการเขตบางซื่อจึงประกาศพื้นที่อันตรายเฉพาะพื้นที่โรงงานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 รวมถึงได้แจ้งความเอาผิดในข้อหาเก็บวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายชัชชาติ กล่าวถึงอันตรายของกากแคดเมียมด้วยว่า “ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล ไม่ได้มีอันตรายกับคนรอบข้าง ได้สั่งการทุกเขตสำรวจโรงงานในลักษณะเดียวกัน โรงงานรีไซเคิล 639 แห่ง น่าจะใช้เวลา 2-3 วัน หากประชาชนพบถุงบิ๊กแบ๊กสีขาวมีตัวอักษร P เบอร์โทรศัพท์ วันที่ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วน อย่าไปสัมผัส”

ด้าน นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มอบหมายให้ นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่เฝ้าระวังสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากกากแคดเมียม กรณีตรวจพบกากแคดเมียมในโรงงานแห่งหนึ่งย่านบางซื่อ โดยมีคนงานทำงานในโรงงาน 22 คน ซึ่งอาจจะสัมผัสใกล้ชิด

ขณะที่ นพ.สุรวิทย์ ศักดานุภาพ เผยผลการบำบัดรักษาคนงานของบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ที่เข้ารับการดูแลรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสมุทรสาครตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ว่า มีคนงานที่เข้ามาทั้งหมดรวม 21 คน แต่ละคนมีอาการปกติดีทุกอย่าง ขณะนี้ยังคงเหลืออีก 7 คนเท่านั้น ที่มีความเข้มข้นของสารแคดเมียมในเลือดสูง ต้องได้รับการดูแลรักษาต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับต้องใช้สารขับโลหะหนัก ส่วนที่เหลือ 14 คน สามารถจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลเพื่อให้กลับไปยังที่พักอาศัยได้

5. ศาลสั่งยึดทรัพย์ "ฉัตรณรงค์" 52 ล้าน หลัง ป.ป.ช.พบพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บบส.!



เมื่อวันที่ 9 เม.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าวเกี่ยวกับคดีตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีนายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่ง ป.ป.ช. ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินรวมมูลค่า 52,491,368.33 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

คดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดกรณีกล่าวหานายฉัตรณรงค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยที่ประชุมมีมติให้ส่งรายงานสำนวน การไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน

ต่อมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2566 ระหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง กับนายฉัตรณรงค์ และนางทิพวัลย์ ฉัตรภูติ ผู้คัดค้าน ได้ความว่า ศาลพิพากษาให้ทรัพย์สินในชื่อผู้ถูกกล่าวหา พร้อมดอกผลรวมเป็นเงิน 44,858,877.33 บาท กับทรัพย์สินในชื่อผู้คัดค้านพร้อมดอกผลรวมเป็นเงิน 7,632,491 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

ทั้งนี้ ให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้าน ส่งมอบเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินและทรัพย์สินที่มีคำพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดิน หรือเอกสารที่เกี่ยวกับการรับช่วงทรัพย์ของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว พร้อมกับให้โอนกรรมสิทธิ์หรือชำระเงิน พร้อมดอกผลของทรัพย์สินที่มีคำพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินข้างต้นแก่แผ่นดิน หากไม่โอน ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา

หากผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านไม่สามารถโอนทรัพย์สินให้แก่แผ่นดินได้ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้เงินแทนทรัพย์สินที่มีคำพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินข้างต้น หรือให้โอนทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาตามสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินที่ขาดอยู่แก่แผ่นดินแทนจนครบถ้วน และหากไม่โอน ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว

สำหรับทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จำนวน 3 รายการ รวมมูลค่า 52,491,368.33 บาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวที่ศาลมีคำพิพากษา ตรงกับที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทุกรายการ ซึ่งทรัพย์สินในชื่อนายฉัตรณรงค์ ประกอบด้วย เงินชำระค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตบริษัท อเมริกันเอ็กซ์เพลส (ไทย) จำกัด ช่วงวันที่ 20 ส.ค.2545 ถึงวันที่ 1 พ.ค.2549 รวมเป็นเงิน 34,518,129.57 บาท เงินค่าเช่าซื้อรถยนต์เบนซ์ 2 คัน รวม 10,340,747.76 บาท ทรัพย์สินในชื่อนางทิพวัลย์ คือ เงินฝากในธนาคาร ช่วงวันที่ 20 ส.ค.2545 ถึงวันที่ 1 พ.ค.2549 จำนวน 7,632,491 บาท


กำลังโหลดความคิดเห็น