ลูกน้อง “โจ๊ก” เผยพฤติกรรมด้านมืดของเจ้านาย โมโหร้าย ตบ ต่อย ศอก เข่า มีครบ แค่ถือเสื้อโดนรถ ยังเดินมาตบ ใช้งานลูกน้องเหมือนทาส เรียกเป็น “ขี้ข้า” บอก “มึงเป็นแค่ขี้ตีนกู กูจะเขี่ยมึงไปไหนก็ได้ วันหนึ่งกูไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง แต่กูมีเงิน กูรวย” เผยมีเงินกองในบ้าน 300-500 ล้าน พร้อมทองคำ ให้ลูกน้องนอนเฝ้า แฉสายมูเข้าเส้น เลือกเฉพาะคนที่มีดวงตรงกับตัวเองทำงานใกล้ชิด
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงเบื้องหลังตัวตนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อเรื่องการทำบุญ การสะเดาะเคราะห์ และไสยศาสตร์ ต่าง ๆ โดยข้อมูลเหล่านี้ส่วนหนึ่งนั้นถูกเปิดเผยมาจากอดีตนายตำรวจติดตามรับใช้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ในเวลาต่อมาทนไม่ไหวกับ อารมณ์ฉุนเฉียว ปรวนแปร จนถึงอาจจะเรียกได้ว่าขั้นไบโพลาร์ รวมไปถึงการลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา
ทั้งนี้ มีอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยรับใช้ใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จำนวน 17 ราย ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้บัคับบัญชาเกี่ยวกับพฤติกรรมของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยทั้ง 17 รายเคยทำหน้าที่เป็นตำรวจติดตามรับใช้แตกต่างระยะเวลา และหน้าที่กันไปไม่ว่าจะเป็น พลขับ คนดูแลความสะอาดในบ้านพักเป็นคนล้างรถ นำผ้าไปซัก เป็นพนักงานรับส่งเอกสาร และ คอยรับคำสั่งให้ทำงานจิปาถะเกี่ยวกับภารกิจส่วนตัวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาแล้วทั้งสิ้น
หลังจากพ้นจากหน้าที่ติดตาม พฤติกรรม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตำรวจทั้ง 17 คนก็รวมตัวกันร้องเรียนพฤติกรรมอดีตเจ้านาย โดยส่วนใหญ่ได้ร้องเรียนโดยรายงานข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดตัวเองทราบ นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมกระบวนการสอบสวนของจเรตำรวจ เพื่อขอกลับไปทำงานตำแหน่งเดิม ในช่วงที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2562 จากคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จากปี 2562 มาถึงปีนี้ 2567 มีตำรวจบางส่วนที่ขอถอนเรื่อง หรือลาออกไป เพราะโดนคนใกล้ชิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คือ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อดีต ผกก.สภ.สำดรงเหนือ เกลี้ยกล่อมและกดดัน อ้างบุญคุณที่เคยดูแลกันมา เหลือ 7 นายที่ไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้งหรือถูกอิทธิพลของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าคุกคามข่มขู่ จึงยังไม่ได้ถอนเรื่อง
ในจำนวน 7 นายนี้มีตำรวจชั้นประทวน 3 นายได้เข้าให้ข้อมูลและเปิดใจกับทีมงาน Sondhi X ถึงรายละเอียด พร้อมกับให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และตำรวจรอบ ๆ ตัว ซึ่งเมื่อมีการเผยแพร่คลิปการให้สัมภาษณ์ออกไปเมื่อ วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา (ล้วงขุมทรัพย์ในบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ซุกทองคำ-เงินสด 500 ล้าน ให้ลูกน้องนอนเฝ้า) ก็ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปจำนวนมาก เพราะเป็นข้อมูลข้อเท็จจริงเชิงลึกเกี่ยวกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือ บิ๊กโจ๊ก ที่ไม่มีใครเคยรับรู้และรับทราบมาก่อน
โดยเนื้อหาจากการให้สัมภาษณ์ของตำรวจชั้นประทวนทั้ง 3 นาย สรุปย่อ ๆ ได้ดังนี้
โมโหร้าย ตบต่อยลูกน้อง
ถาม :เรื่องอื้อฉาวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นอกจากจะมีเรื่องมีส่วนพัวพันรับประโยชน์จากบัญชีม้าของเว็บการพนันออนไลน์แล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือสุรเชษฐ์ มักจะรังแกทำร้ายตำรวจที่อยู่ด้วย หรือตำรวจรับใช้ส่วนตัว มีคดีที่ตำรวจที่ถูกทำร้ายร่างกาย ไปร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 17 รายด้วยกัน ขณะนี้มาอยู่กับเรา 3 ราย เคยโดนอะไรบ้าง
หนึ่งในตำรวจชั้นประทวนที่ยอมออกมาเปิดเผยบอกว่า
“โดนตบ โดนต่อย โดนศอก โดนเข่า โดนตีใส่หน้าก็มี ... โดยไม่ได้ทำแบบล้อเล่น (แต่จงใจ) ครั้งที่ผมโดน ผมจะดูที่เจตนา ถ้าเขาเจตนาทำให้ผมเจ็บ หรือทำเพราะแค้นผม อันนี้ผมจะรู้สึกเสียใจ”
อีกคนหนึ่งบอกว่า
“เพื่อน ๆ เขาบอกมาว่าอย่าให้โดนตบครั้งแรก ผมประคองตัวมาอาทิตย์ สองอาทิตย์ จนได้โดนตบครั้งแรก แล้วก็โดนมาตลอด โดนมาเรื่อยๆ”
“สาเหตุครั้งแรก โดนเพราะถือเสื้อตำรวจ ตอนที่เขาไปส่งวีไอพีที่สนามบินแล้วก็กลับมาตีเทนนิสที่ ตชด. แกก็ถอดเครื่องแบบ ผมก็ถือเสื้อแล้วลมแรง แค่ขอบชายเสื้อปลิวไปโดนรถ ก็เดินมาตบผม นั่นครั้งแรกเลย บอกว่า “ของกู ถือให้มันดี ๆ” แล้วก็โดนมาเรื่อย ๆ อย่างเช่น ตีเทนนิส ตอนแรกก็ตีชนะคู่ต่อสู้ที่มาเล่นด้วย พอหลัง ๆ เริ่มหมดแรง ตีติดเน็ต ก็เริ่มหวดลูกใส่ลูกน้องบ้าง ถ้าหวดลูกไม่โดนก็เรียกตัวลูกน้องเข้ามาแล้วเอาไม้เทนนิสฟาด”
เมื่อถามต่อว่า ที่ร่ำลือกันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้ลูกน้องเหมือนทาส ไม่เหมือนเป็นตำรวจ ตำรวจรับใช้บอกว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดชัดว่าลูกน้องเป็น“ขี้ข้า”เพราะเป็นแค่นายตำรวจชั้นประทวน
“ผมเคยนั่งกับเขา เขาเรียกผมมานั่งที่พื้น เขานั่งบนเก้าอี้ บอกว่ามึงเป็นแค่ประทวน มึงเป็นขี้ข้ากู เป็นแค่ขี้ตีนกู กูจะเขี่ยมึงไปไหนก็ได้ มึงรู้ไหมว่าวันนึงกูไม่มียศ กูไม่มีตำแหน่ง รู้ไหมว่ากูมีอะไร กูมีเงิน กูรวย”
เรื่องเงินในบ้าน
เมื่อถามถึงเงินสดในบ้าน หนึ่งในตำรวจชั้นประทวนที่มาให้สัมภาษณ์บอกว่า ตนเองเป็นคนนอนเฝ้าเงินให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เอง โดยวิธีเก็บเงินมี 2 อย่างคือ กองกับพื้น และ ใส่กระเป๋าเดินทางที่เซฟเฮาส์ ซึ่งถ้าประเมินต่ำๆ ก็อย่างน้อย 300-500 ล้านบาท นอกจากนี้ ทองคำอีกก็หนักพอสมควร หนักจนกระเป๋าเดินทางใบแพง ๆ ถึงกับรับน้ำหนักไม่ไหว ล้อหัก
ส่วนคนที่จะไปในเรื่องการเงิน ทั้งเบิกเงินจากตู้หรือธนาคารที่บัญชีม้าโอนเข้ามาจะเป็น “รองคริษฐ์” พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุอดีต รอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ ลูกน้องคนสนิท พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จัดสรรว่าจะใช้ใครไปดำเนินการ
หนึ่งในผู้มาให้ข้อมูลบอกว่า
“ส่วนสิบตำรวจเอกณัฐวุฒิ (หวัดแวว) หนึ่งในตำรวจที่ถูกแจ้งข้อหา จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวเรื่องเงิน แต่สภาวะจำยอมเพราะณัฐวุฒิ เป็นลูกน้องรองคริษฐ์ ที่วิ่งงานด้านนอก ส่งของ วิ่งซื้อของ ให้ที่บ้าน ไม่ได้เกี่ยวกับสำนักงาน ... แต่ที่ได้คุยกัน เขา (ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ) ก็เครียดที่อยู่ตรงนั้น ทำงานหนัก นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง ใช้แต่เขา เขาป่วยติดโควิด ก็หาว่าเขาเล่นเกมนอนดึก หาว่าเขาไปเที่ยวเองอะไรเองทั้ง ๆ ที่เขาทำงานให้คุณ กลับก็ดึก ตื่นก็ตี 5 ตื่นเช้าทำงานเช้า ที่ในข่าวบอกดูแลดี ถ้าอย่างนั้นณัฐวุฒิจะมาร้องไห้ระบายกับผมอะไรขนาดนั้น แต่เรื่องพัวพันบัญชีม้าเป็นเรื่องของเขาที่เขาไม่พูดให้เราฟัง”
“โจ๊ก” ตำรวจสายมู
การคัดเลือกนายตำรวจชั้นประทวนเข้ามารับใช้ใกล้ชิด อยู่ในบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีหลักเกณฑ์อย่างไร? หนึ่งในนายตำรวจที่เข้ามาให้ข้อมูลระบุว่า “การเข้ามาในบ้านคือ ให้เข้ามาก่อน ยุคต้น ๆ มีไม่กี่คน เพราะงั้นยุคแรก 6-7 คนแรกจะได้เข้าถึงตัว เพราะเขายังเพิ่งเป็นผู้การใหม่ ๆ แต่ชุดใหม่ที่เข้ามาประมาณสัก 10 กว่าคนจะได้อยู่ข้างนอก แต่หลังจากนั้นค่อยมาดูชื่อว่า ใครที่มีดวงตรงกับตัวเอง”
นายสนธิ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอื่นๆ เช่น ภาพถ่ายที่ยืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง เช่น เงินที่กองเอาไว้ แต่จะนำมาเปิดเผยในสัปดาห์ถัดไปหลังสงกรานต์ ทั้งนี้ตำรวจที่มาให้สัมภาษณ์พร้อมที่จะให้การในทุกสถานที่ไม่ว่าจะขึ้นศาลหรือไม่