xs
xsm
sm
md
lg

ขยายความคดีกำนันนก ชี้พฤติการณ์สุดอึ้ง ปล่อยปละละเลย-ช่วยกันทำลายหลักฐาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ขยายความคำพิพากษาคดีกำนันนก พบพฤติกรรมสุดอึ้ง ตำรวจปล่อยปละละเลยทำหน่อง ท่าผา ลูกน้องมือยิงหลบหนี ทั้งที่ก่อเหตุซึ่งหน้า มีตั้งแต่ชิ่งกลับบ้าน ทั้งช่วยทำลายหลักฐาน เอาปืนไปฝัง เอากล้องวงจรปิดไปทิ้งน้ำ พิพากษาจำคุกตำรวจ 15 นาย ประชาชน 7 คน มีตำรวจ 1 นายยกฟ้อง เพราะเฝ้าที่โรงพยาบาล

วันนี้ (9 เม.ย.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก อดีตกำนันตำบลตาก้อง จังหวัดนครปฐม เป็นเวลา 2 ปี และพิพากษาจำคุกตำรวจ 15 นาย นำโดย พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข และประชาชนอีก 6 คน เป็นเวลา 2 ปี แต่ให้รอการลงโทษและคุมประพฤติตำรวจ 3 นาย ประชาชน 3 คน ในคดียิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว เสียชีวิตในบ้านพักของกำนันนก ที่ ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม เสียชีวิตเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 6 ก.ย. 2566 ก่อนที่นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือหน่อง ท่าผา ลูกน้องคนสนิทกำนันนกถูกวิสามัญเสียชีวิต

อ่านประกอบ : คุกระนาว 15 ตำรวจร่วมโต๊ะจีน “บ้านกำนันนก” กำนันนกโดน 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา รอดคุกเพียงคนเดียว

คดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 23 ราย ได้แก่ จำเลยที่ 1 พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข จำเลยที่ 2 ร.ต.ท.ประสาร รอดผล จำเลยที่ 3 ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล จำเลยที่ 4 ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ จำเลยที่ 5 ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์ จำเลยที่ 6 จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา จำเลยที่ 7 ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา จำเลยที่ 8 ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี จำเลยที่ 9 ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ จำเลยที 10 ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล จำเลยที่ 11 ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น จำเลยที่ 12 ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย จำเลยที่ 13 ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี จำเลยที่ 14 จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง จำเลยที่ 15 ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย จำเลยที่ 16 ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย จำเลยที่ 17 นายสนธยา สุดแน่น จำเลยที่ 18 นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์ จำเลยที่ 19 นายนิวัติชัย ปั้นดา จำเลยที่ 20 นายกฤษดา เหล่งดอนไพร จำเลยที่ 21 นายชาตรี เขียวทับ จำเลยที่ 22 นายประวีณ จันทร์คล้าย (กำนันนก) และจำเลยที่ 23 นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม

รายละเอียดคำพิพากษา โจทก์ฟ้องว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 จำเลยทั้งยี่สิบสามร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 22 (นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก) จัดงานเลี้ยงโดยเชิญเจ้าพนักงานตำรวจจากหลายหน่วยงานและประชาชนที่คุ้นเคยหลายคนมาร่วมงาน รวมทั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และจำเลยที่ 17 ถึงที่ 23 ซึ่งเป็นราษฎร ในระหว่างงานเลี้ยงดังกล่าว จำเลยที่ 22 (กำนันนก) ไม่พอใจ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรแบงค์ ผู้ตาย อย่างมากจึงสั่งให้นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือหน่อง ท่าผา ลูกน้องคนสนิท ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจำนวนหลายนัด กระสุนปืนถูกผู้ตายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล และกระสุนยังพลาดไปถูก พ.ต.ท.วศิน พันปี ได้รับบาดเจ็บ

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 พบเห็นนายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บอันเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงมีหน้าที่ต้องจับกุมตัวนายธนัญชัย แต่ไม่จับกุม กลับปล่อยให้นายธนัญชัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) ที่ 6 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา และพวก) ถึงที่ 16 (ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย) เร่งรีบออกจากที่เกิดเหตุ ไม่กระทำการยับยั้งเหตุตามความจำเป็น จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 22 (กำนันนก) และนายธนัญชัย ไม่ให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) แย่งอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุจากนายธนัญชัย ห่อด้วยผ้าคลุมเก้าอี้โต๊ะจีนและส่งมอบให้จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) เก็บไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ใช้ให้จำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) นำอาวุธปืนดังกล่าวออกไปจากที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) นำไปฝังดินที่บริเวณใกล้บ้านพักอาศัยแห่งหนึ่ง อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม จากนั้นจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ใช้ให้จำเลยที่ 19 (นายนิวัติชัย ปั้นดา) (จำเลยที่ 20 นายกฤษดา เหล่งดอนไพร) ถึงที่ 21 (นายชาตรี เขียวทับ) เก็บปลอกกระสุนปืนไปทิ้ง ล้างคราบเลือด และเก็บโต๊ะอาหารที่เกิดเหตุ

ต่อมาจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) ใช้ให้จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) ถอดเอาเครื่องบันทึกข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 22 (กำนันนก) บอกจุดที่ติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลจากกล้องวงจรปิด แล้วนำไปทิ้งลงคลองบริเวณโค้งสะพานวัดตาก้อง ตำบลตาก้อง อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ไม่ให้ต้องรับโทษ ร่วมกับจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) พาจำเลยที่ 22 (กำนันนก) หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไปยังบ้านพักของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) อีกแห่งหนึ่งโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ มีจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) นั่งโดยสารไปด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) ขี่รถจักรยานยนต์ติดตามให้การคุ้มกัน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 86, 91, 92, 157, 184, 189, 200 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4, 172

จำเลยทั้งยี่สิบสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 21 (นายชาตรี เขียวทับ) รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งยี่สิบสามคนตามทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 16 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข และพวก) เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 (16) ยังเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 อีกด้วย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 ย่อมมีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และสืบสวนคดีอาญาเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด แม้ประจำการอยู่คนละแห่งแตกต่างกัน แต่มีอำนาจและหน้าที่ทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ โดยเฉพาะความผิดซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (16), 17, 18 และมาตรา 80 ทั้งตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ตามมาตรา 6 ก็กำหนดอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจไว้สอดคล้องตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ภาค 1 ระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี และคู่มือการปฏิบัติมาตรฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ประสบเหตุ 2559 เจ้าพนักงานตำรวจประจำการอยู่คนละแห่งแตกต่างกันก็ตาม แต่ทุกคนต่างมีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีอำนาจทำการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้

การจับกุมผู้กระทำผิดและสืบสวนคดีอาญา ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดจำกัดให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในเขตท้องที่ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นประจำการอยู่เท่านั้น เจ้าพนักงานตำรวจทุกคนทุกชั้นยศ จึงมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดและสืบสวนคดีอาญาได้ทั่วราชอาณาจักร มีอำนาจและหน้าที่ทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ทั่วไป รวมทั้งในเขตท้องที่อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ที่เหตุเกิดด้วยเจ้าพนักงานตำรวจ มีอำนาจและหน้าที่ปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอน 1. ขั้นเผชิญเหตุ ต้องหาตัวผู้กระทำความผิด หากมีผู้บาดเจ็บให้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วและทำการปิดล้อมที่เกิดเหตุ 2. ขั้นประเมินค่าอันตราย กรณีคนร้ายอยู่ในที่เกิดเหตุและใช้อาวุธให้พิจารณาอาวุธที่คนร้ายใช้ว่ามีความรุนแรงมากหรือน้อย 3. ขั้นการตอบโต้เหตุการณ์หรือการบังคับใช้กฎหมาย เข้าระงับเหตุตามระดับการใช้กำลังโดยพิจารณาความเหมาะสมตามสัดส่วน สถานการณ์ พฤติการณ์ของคนร้ายและสภาพแวดล้อม หากคนร้ายใช้อาวุธที่รุนแรงและภยันตรายที่เกิดขึ้นทันที ให้ตำรวจใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้หรือระงับเหตุทันที 4. ขั้นประเมินผล เมื่อทำการระงับเหตุเสร็จสิ้นแล้วให้ทำการปิดกั้นพื้นที่เกิดเหตุและสถานที่เกิดเหตุ ป้องกันไม่ให้คนเข้าออกพื้นที่นั้น ตลอดจนรักษาสถานที่เกิดเหตุให้คงสภาพเดิมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันมิให้พยานหลักฐานสูญหายหรือถูกทำลาย รายงานผู้บังคับบัญชาหรือแก่พนักงานสอบสวนพื้นที่เกิดเหตุทราบ หรือหากไม่ใช่พื้นที่รับผิดชอบของตน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่รับผิดชอบนั้นทราบ

คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานจากเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิด ที่จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) ถอดออกและโยนทิ้งน้ำคลองวัดตาก้อง และข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยแต่ละคน ซึ่งข้อมูลจากระบบอิเล็กทรอนิกส์มีแหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากกัน สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำการกู้คืนได้ 12 ไฟล์วีดีโอ ไม่ปรากฏว่ามีการตัดต่อปรับเปลี่ยนแก้ไข เมื่อเปลี่ยนทำเป็นรูปภาพ แสดงให้เห็นการกระทำหรือพฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคนตามช่วงเวลาเป็นลำดับอย่างละเอียดนับวินาที โดยมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพบุคคล รถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรืออื่น ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก

ศาลได้ให้จำเลยแต่ละคนได้มีโอกาสตรวจสอบความถูกต้อง ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดได้โต้แย้งความไม่ถูกต้องหรือชี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น ศาลจึงรับฟังรับฟังได้เฉกเช่นพยานคนกลาง และเช่นเดียวกับพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ไม่มีส่วนได้เสีย นำเป็นพยานประกอบหลักฐานอื่นได้ และรับฟังสนับสนุนพฤติการณ์การกระทำของจำเลยแต่ละคนได้ด้วย เห็นว่า จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) รู้เห็นเหตุการณ์คำพูดและกิริยาของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) กับนายธนัญชัย ก่อนเป็นอย่างดี เห็นนายธนัญชัยยืนถือปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ การกระทำของนายธนัญชัยดังกล่าวเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) เป็นสารวัตรสืบสวนถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะตัดสินใจ รับราชการกว่า 31 ปี มีประสบการณ์มาก เมื่อจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) คว้าและนำปืนออกจากนายธนัญชัยแล้ว ไม่ปรากฏว่านายธนัญชัยมีอาวุธอย่างอื่นที่จะเป็นภยันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น เมื่อพบเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้าจะต้องควบคุมตัวหรือจับกุมนายธนัญชัยด้วยตนเองหรือจะสั่งการ หรืออาจร้องขอให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยเป็นจำนวนมากเพื่อควบคุมตัวนายธนัญชัย

ข้ออ้างว่าตกใจ สับสน ไม่มีทีมงานตนอยู่ในพื้นที่ สภาพร่างกายนายธนัญชัยสูงใหญ่แข็งแรงกว่า ไม่กล้าควบคุมตัว นายธนัญชัยเป็นลูกน้องคนสนิทของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) น่าจะมาติดต่อมอบตัวในภายหลัง เข้าใจว่ามีผู้อื่นเข้าควบคุมตัวแล้ว กับอยู่ในอาการมึนเมาสุรา ยืนลังเล และมีตำรวจอื่นพูดทำนองว่า “ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว ให้กลับบ้านไป” จึงขับรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปที่รีสอร์ตนั้น เป็นเพียงข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล พยานหลักฐานการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุพบภาพจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ขับรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปในช่วงเวลา 9.25 นาที และข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ที่รีสอร์ตที่อำเภอดอนตูม เหตุซึ่งเกิดเฉพาะหน้าในความผิดต่อชีวิตร้ายแรงที่มีการใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นจนตายและบาดเจ็บเช่นนี้ และโดยลำพังตัวของเจ้าพนักงานตำรวจแต่ละคน แม้ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ไม่ได้อยู่ในเวลาปฏิบัติราชการ และแม้ไม่มีอุปกรณ์วัตถุก็อาจใช้ตัวเองทำการหวงกั้นหรือปิดกั้นพื้นที่เกิดเหตุได้ รักษาสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ เพื่อรอส่งมอบพื้นที่ให้แก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบพื้นที่ แต่จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ไม่กระทำการดังกล่าว

ส่วนจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) แม้จะเห็นเหตุการณ์ในขณะที่นายธนัญชัยยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อได้ยินเสียงปืนตั้งแต่แรกดังขึ้นจนถึงนัดสุดท้าย โดยสัญชาตญาณบุคคลย่อมหันไปทิศทางที่มีเสียงดังเกิดขึ้น ย่อมประมวลเหตุการณ์การใช้อาวุธปืนยิงใส่บุคคลเป็นความผิดตามกฏหมาย และเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) คว้าแย่งปืนจากนายธนัญชัย ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่เผชิญเหตุ การที่จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ใช้ผ้าคลุมเก้าอี้มาห่อหุ้มอาวุธปืนเอาไว้โดยมีเจตนาเพื่อที่จะไม่ให้พยานหลักฐานจำพวกลายนิ้วมือแฝงหรือดีเอ็นเอถูกทำลาย แล้วส่งมอบอาวุธปืนให้แก่จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่อยู่ใกล้เคียงเป็นผู้เก็บรักษาไว้แทน ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามหลักยุทธวิธีตำรวจและหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรักษาของกลาง แต่ก็ยังพอถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์การตัดสินใจในเวลานั้น แต่เมื่อจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) คว้าแย่งอาวุธปืนในมือของนายธนัญชัย แล้วภยันตรายร้ายแรงเฉพาะหน้าย่อมอาจหมดไป โดยอาจจะสั่งให้นายธนัญชัยหยุดไม่ให้หลบหนี หรือร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจอื่นให้ช่วยจับกุมหรือติดตาม หรือใช้อาวุธที่ตนคว้าแย่งมาได้ให้เป็นประโยชน์ตามยุทธวิธี จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) พกพาอาวุธปืนสั้น ชนิดกึ่งออโตเมติก ขนาด 9 มม. ยี่ห้อซิกซาวเออร์ พร้อมบรรจุกระสุน 10 นัด ติดตัวอยู่ด้วย ย่อมหรือใช้อาวุธปืนดังกล่าวในการติดตามจับกุมทันทีต่อเนื่องกันไปในการที่จะระงับยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนีไปได้ โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งตามยุทธวิธีตำรวจ การอ้างว่ามีอายุมากและสุขภาพไม่ดี มึนเมาสุราไม่อาจเป็นข้ออ้างได้ เพราะการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมีอาวุธปืนอยู่กับตนย่อมมีศักยภาพที่สูงกว่าคนร้ายที่ไม่มีอาวุธปืนในขณะนั้น แต่กลับปล่อยให้นายธนัญชัยเดินไปขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีไปในขณะที่เหตุการณ์ชุลมุน

ส่วนการที่พบภาพจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) วิ่งไปที่ลานจอดรถ เข้าไปพยุงร่างของผู้ตายนำขึ้นรถยนต์ เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนับเป็นสิ่งที่เหมาะสมในสถานการณ์ขั้นเผชิญเหตุ แต่ต่อมากลับขึ้นโดยสารรถยนต์ไปพร้อมกับจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ออกจากสถานที่เกิดเหตุ ไปยังบ้านพักอีกแห่ง โดยไม่อยู่ปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) นั่งหันหลังให้โต๊ะเดี่ยววีไอพี ห่างจุดที่มีการยิงกันราว 3 เมตร การที่นายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิง 4 นัด ขณะเกิดเหตุไม่มีเสียงดนตรีและเป็นเวลากลางคืนย่อมมีเสียงดังมาก โดยสัญชาตญาณทั่วไปบุคคลย่อมที่จะหันหน้าไปยังทิศทางของต้นเสียงในทันที ย่อมเห็นเหตุการณ์ที่มีการยิงผู้ตายช่วงเวลาบางส่วน จำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) เห็นขณะที่จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) คว้าแย่งอาวุธปืนจากมือของนายธนัญชัย แต่ไม่มีผู้ใดควบคุมตัวนายธนัญชัย จนหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไปในทันทีโดยง่าย จำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) ย่อมอาจแสดงให้เห็นว่าพยายามจะติดตามจับกุม หรืออาจร้องขอในการที่ให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นช่วยกันจับกุมหรือติดตามไปในทันทีแต่ไม่กระทำ ส่วนการที่วิ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างผู้บาดเจ็บขึ้นท้ายรถกระบะ ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ขั้นเผชิญเหตุในการช่วยเหลือนำส่งผู้บาดเจ็บเป็นไปตามสภาวการณ์ได้ถูกต้องแล้ว แต่หลังจากนั้นกลับขับรถจักรยานยนต์ออกไปและติดตามไปที่บ้านพักอีกแห่งของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ไม่ปรากฏว่าขับขี่รถจักรยานยนต์ตำรวจจราจรไปช่วยอำนวยความสะดวกระหว่างทางที่มีการส่งตัวผู้ตายหรือผู้ได้รับบาดเจ็บไปที่โรงพยาบาลนครปฐม ไม่กระทำการตามหน้าที่ตามลำดับดังกล่าวข้างต้น

ส่วนจำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) ภาพจากกล้องวงจรปิด เวลา 21.26.33 นาฬิกา หลังจากมีการใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย พบจำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) นั่งอยู่ที่โต๊ะจีนหันไปมองเหตุการณ์ตรงจุดเกิดเหตุ จากนั้นเดินออกจากที่เกิดเหตุไปยังลานจอดรถยนต์ ขึ้นรถยนต์ของตนจอดติดเครื่องยนต์เปิดไฟกระพริบฉุกเฉิน จากนั้นขับรถยนต์ของตนออกที่เกิดเหตุ การที่จำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) พบเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าแต่เกรงกลัวภยันอันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะตน โดยนั่งรออยู่ในรถยนต์ส่วนตน ทั้งที่พกพาอาวุธปืนสั้น ชนิดกึ่งออโตเมติก ขนาด 9 มิลลิเมตร ยี่ห้อซิกซาวเออร์ เอพี 320 บรรจุกระสุนปืนไว้ 10 นัด ติดตัวโดยเหน็บไว้ที่บริเวณขอบกางเกงเอวด้านหน้า และสามารถใช้อาวุธปืนให้เป็นประโยชน์เพื่อป้องกันตนเองและบุคคลอื่นตามยุทธวิธีตำรวจ แต่ไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการระงับยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ ไม่พยายามที่จะเข้าทำการจับกุม ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ กลับขึ้นไปนั่งอยู่บนรถยนต์ส่วนตัวมองดูเหตุการณ์จนนายธนัญชัยหลบหนี จากนั้นขับรถออกจากที่เกิดเหตุไปในทันที ข้ออ้างนั่งอยู่ในรถรอเหตุการณ์ให้ปกติ เรื่องความสูงอายุ สุขภาพร่างกายและการเจ็บป่วย กลัวบุคคลอื่นเป็นอันตรายนั้น เป็นเพียงข้ออ้างเหตุผลส่วนตัว ผิดวิสัยของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) ฟังไม่ขึ้น

ส่วนจำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) หลังจากนายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ในเวลา 21.28.00 นาฬิกา พบภาพจำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) เดินเข้าไปในห้องเรือนกระจกที่มีจำเลยที่ 22 (กำนันนก) อยู่ก่อนแล้ว แม้จะได้อ้างว่าร้องตะโกนเร่งรัดให้คนเข้ามาช่วยนำรถยนต์เข้ารับผู้ถูกยิง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ อ้างว่าห้ามไม่ให้และเอามือปัดคนที่หยิบปลอกกระสุนปืนก็ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าได้จัดให้มีการปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ หรือรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ แต่เมื่อกลับออกมาจากเรือนกระจกก็นั่งรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปพร้อมกับจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ส่วนจำเลยที่ 6 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา) ภาพจากกล้องวงจรปิดพบกำลังเดินออกจากงานเลี้ยง ระหว่างนั้นจำเลยที่ 6 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา) ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดได้หันหน้าไปมองจุดเกิดเหตุอยู่เป็นระยะ เดินห่างออกมาจากโต๊ะวีไอพี 5 ถึง 6 เมตร มองจุดเกิดเหตุอยู่ตลอดเวลา การที่ได้ยินเสียงปืนปืน 4 นัด ติดต่อกันโดยสัญชาตญาณและวิสัยของคนปกติขณะนั้น ย่อมจะต้องมองไปยังจุดที่เป็นแหล่งต้นเสียง ปรากฏตามภาพวงจรปิดว่าแขกที่มาร่วมงานลุกขึ้นยืน มิใช่นั่งอยู่ตามที่กล่าวอ้าง มีผู้ร่วมงานจำนวนสองคนแตกตื่นวิ่งแซงขึ้นหน้าไป ย่อมเป็นข้อพิรุธว่าจำเลยที่ 6 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา) จะไม่ทราบถึงเหตุการณ์การยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ มิใช่เพียงการยิงไล่ให้กลับบ้านเพื่อความสะใจตามที่อ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้ว่ามีการใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ การยิงปืนขึ้นฟ้าหรือยิงลงพื้นดินก็เป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ และเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า จำเลยที่ 6 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา) อาจจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามขั้นตอนการเผชิญเหตุที่จะนำไปสู่การจับกุมหรือที่จะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การประเมินค่าอันตราย กรณีที่นายธนัญชัยมีอาวุธที่มีศักยภาพสูงกว่าก็อาจจะขอกำลังสนับสนุนหรือแจ้งเหตุตามลำดับการบังคับบัญชา มีอำนาจและหน้าที่ต้องปฏิบัติไปตามสมควรในสถานการณ์ แต่รีบกลับออกจากที่เกิดเหตุ ไม่ได้กระทำการใด โดยอ้างการคาดเดาตามความเข้าใจของตนที่ไม่สมเหตุผล

ส่วนจำเลยที่ 7 (ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา) พบเห็นนายธนัญชัยยืนถืออาวุธปืนอยู่ที่บริเวณโต๊ะวีไอพี แม้จะอ้างว่าอยู่ไกลจากจุดที่มีการยิง 7 เมตร จำเลยที่ 7 (ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา) แม้ไม่อาจจับกุมได้เนื่องจากอยู่ห่างออกไป แต่ก็อาจตะโกนร้องขอให้จับกุมนายธนัญชัยได้ แต่ไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการระงับยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ โดยใช้เวลาออกจากที่เกิดเหตุ 3.25 นาที ส่วนการพยายามจะช่วยเหลือขณะที่มีการหามผู้ตายไปขึ้นรถยนต์เก๋งและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บประคองหามไปส่งขึ้นท้ายรถยนต์กระบะเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาล นับว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนเมื่อมีการเผชิญเหตุการณ์ที่ถูกต้อง แต่ภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวดังกล่าวจบลงแล้ว จำเลยที่ 7 (ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา) ควรใช้รถจักรยานยนต์สายตรวจจราจรของทางราชการให้เป็นประโยชน์แก่สถานการณ์ นำทางเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่รถยนต์ที่นำส่งผู้ตายและผู้บาดเจ็บส่งรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล หรืออาจจัดให้มีการปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ แต่จำเลยที่ 7 (ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา) ขับรถจักรยานยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปในทันที มุ่งหน้ากลับบ้านพักของตน

ส่วนจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 (ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และ ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) แม้ข้อเท็จจริงขณะที่นายธนัญชัยยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของตนเอง แต่ก็เห็นขณะที่นายธนัญชัยมีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากยิงแล้ว เห็นมีผู้คว้าแย่งอาวุธปืน มีผู้เข้าช่วยเหลือผู้ตายและผู้บาดเจ็บในขณะนั้น หลังเกิดเหตุ 28 วินาที กล้องวงจรปิดพบภาพจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 (ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และ ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) ลุกจากโต๊ะจีน แต่ไม่มีพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็นว่าจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ข้ออ้างว่าเกรงจะเป็นการกีดขวางการช่วยเหลือ ไม่สมเหตุผล ข้ออ้างไม่ติดตามจับกุมเพราะเห็นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นเข้าไปควบคุมตัวแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดควบคุมตัวเลย การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงไม่อยู่บนข้อเท็จจริง จำเลยที่ 8 (ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี) รับราชการตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบันมีประสบการณ์มีวุฒิภาวะพอสมควร จะต้องมีความกล้าหาญในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ให้ประจักษ์ เป็นตัวอย่างให้แก่จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 (ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และ ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) ซึ่งเป็นพนักงานตำรวจที่จบการศึกษามาใหม่เพิ่งบรรจุเข้ารับราชการ จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 (ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และ ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) เป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมวิชาการตำรวจหรือยุทธวิธีตำรวจอย่างน้อยในระดับพื้นฐานมาแล้ว ย่อมสังเกตมองติดตามจะต้องเห็นได้ว่าไม่มีการจับกุมตัวนายธนัญชัย แต่อย่างใด แต่หาได้กระทำการเช่นนั้นไม่ กลับพากันออกจากที่เกิดเหตุ อ้างเกรงว่าจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 (ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และ ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) จะไม่ปลอดภัย จึงขึ้นไปหลบนั่งรออยู่บนรถยนต์กระบะตราโล่หลังเกิดเหตุ 4 ถึง 6 นาที เพื่อรอดูสถานการณ์ จำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 (ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และ ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) ซึ่งอำนาจและมีหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจ ต้องจัดให้มีการปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุตามสมควร มิใช่ออกจากที่เกิดเหตุไปในทันทีโดยไม่อยู่รักษาสถานที่เกิดเหตุเอาไว้

ส่วนจำเลยที่ 12 (ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย) ขณะเกิดเหตุเห็นนายธนัญชัยหยิบอาวุธปืนขึ้นมาสไลด์ลำกล้องแล้วหันปากกระบอกปืนไปยังผู้ตายแล้วยิงปืนรัวใส่ 4 นัด ยืนดูเหตุการณ์ห่างจากจุดที่ก่อเหตุอยู่ 3 เมตร หลังจากสิ้นเสียงปืน วิ่งกลับไปที่รถยนต์อ้างว่าเพื่อไปหาอาวุธปืนมาระงับเหตุ ยังไม่ทันสังเกตว่านายธนัญชัยหลบหนีไปทิศทางใด แต่ค้นหาอาวุธปืนไม่พบจึงทราบว่าไม่ได้พกพาติดรถมาด้วย ขาดความมั่นใจตัดสินใจขึ้นรถยนต์แล้วขับออกจากสถานที่เกิดเหตุไปมุ่งหน้าอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี กลับบ้านพักของตน เมื่อพบการกระทำผิดซึ่งหน้าแต่ไม่กระทำการอย่างใดระงับยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ ไม่แสดงให้เห็นว่าพยายามที่จะเข้าทำการจับกุมหรือจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่จัดให้มีการปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ไม่รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ทั้งที่สามารถกระทำได้ตามอำนาจและหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจ

ส่วนจำเลยที่ 13 (ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี) แม้จะไม่เห็นขณะนายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นได้หันไปมองเห็นว่านายธนัญชัยยืนอยู่ข้างผู้ตาย ย่อมทราบในทันใดว่าเป็นผู้ร้ายที่กระทำผิดสด ๆ จำเลยที่ 13 (ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี) พบเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า เคยรับราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าจังหวัดยะลา 3 ปี ประจำอยู่ที่จังหวัดนราธิวาสอีก 5 ปี และกลับมารับราชการงานป้องกันและปราบปราม รวมเวลา 18 ปี แสดงให้เห็นถึงประวัติการรับราชการ การฝึกอบรมว่าเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านยุทธวิธี และการใช้อาวุธปืนชนิดต่าง ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์เผชิญเหตุ จำเลยที่ 13 (ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี) ย่อมน่าจะมีวุฒิภาวะ มีตัดสินใจที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตามยุทธวิธีปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี แต่อ้างว่าหลังจากเสียงปืนทุกคนแตกตื่น ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวจากอันตรายที่ตนไม่ทราบสาเหตุ จึงรีบเดินออกจากบริเวณดังกล่าวไปขึ้นรถยนต์กระบะของตน แล้วขับขี่ออกจากที่เกิดเหตุไปยังที่พักอาศัยแฟลตตำรวจ ที่สถานีตำรวจภูธรสามควายเผือก ทั้งที่มีอาวุธปืนสั้นออโตเมติก ยี่ห้อซิกเซาเออร์ สีดำ ของทางราชการ อยู่ในลิ้นชักหน้ารถยนต์กระบะที่ขับขี่มา ย่อมหรืออาจใช้อาวุธดังกล่าวกระทำการระงับยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนี ข้ออ้างเรื่องเหตุมึนเมาสุราไม่อาจเป็นข้ออ้างตามกฎหมาย ข้ออ้างเรื่องระเบียบเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืนนอกเวลาราชการตามกฎหมายและตามประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีไม่อาจอาจจะยกมาหักล้างความชอบด้วยกฎหมายในการจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งหน้า เมื่อพบเห็นการกระทำผิดย่อมสามารถจับกุมได้ในทันใด ส่วนวิธีการปฏิบัติการตามคู่มือดังกล่าวก็เป็นไปให้เป็นไปตามกฎหมาย และเพื่อความปลอดภัยของเจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง หาใช่ว่าหากนอกเวลาราชการ ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ไม่ได้มีอุปกรณ์ดังที่อ้างแล้ว จะเป็นข้อยกเว้นที่เจ้าพนักงานตำรวจละเว้นการปฎิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 13 (ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี) ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น

ส่วนจำเลยที่ 14 (จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง) ขณะเกิดเหตุยืนพูดคุยโทรศัพท์อยู่ข้างสระน้ำ ไม่ได้พบเห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ขณะเกิดเหตุพบภาพของจำเลยที่ 14 (จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง) เดินเข้าไปลักษณะแอบหลบ แต่ต่อมาภายหลัง 19 วินาที ก็เดินไปยังบริเวณโต๊ะจีนจุดที่เกิดเหตุอยู่ 2 นาที รับโทรศัพท์จากจ่าตำรวจทศพลให้เก็บสิ่งของของผู้ตายที่อยู่บนโต๊ะจุดเกิดเหตุนำไปส่งที่โรงพยาบาล จึงเก็บสิ่งของและขับรถติดตามไปในทันที เวลา 21.49.22 นาฬิกา พบภาพรถยนต์เก๋งของจำเลยที่ 14 (จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง) ขับเลี้ยวเข้ามาในโรงพยาบาล กล้องวงจรปิดโถงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลพบเข้ามาภายในห้องโถง เมื่อพิเคราะห์เส้นทางสถานที่เกิดเหตุทางตรงที่สุดไปยังโรงพยาบาลนครปฐม ตามแอปพลิเคชัน Google Maps อยู่ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 10 นาที พิเคราะห์ประกอบกับประวัติการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าพยายามติดตามสถานการณ์จากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขับรถนำสิ่งของผู้ตายมาที่โรงพยาบาลในเวลาที่กระชั้นชิด และไปยืนเฝ้าบริเวณหน้าประตูห้องฉุกเฉินเพื่อป้องกันเหตุซ้ำซ้อนในระหว่างการรักษาผู้ตายและผู้บาดเจ็บด้วย กรณีจึงถือเป็นเหตุผลอันสมควร แม้มิได้อยู่ในที่เกิดเหตุก็ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสภาวการณ์ พฤติการณ์เช่นนี้ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าไม่อยู่ปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ หรือรักษาสถานที่เกิดเหตุเอาไว้เพื่อรอส่งมอบพื้นที่ให้แก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบพื้นที่ อันจะเป็นละเว้นในการที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 14 ฟังขึ้น

ส่วนจำเลยที่ 15 (ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย) เห็นนายธนัญชัย เดินไปที่โต๊ะวีไอพี ยิงผู้ตายคือและผู้บาดเจ็บ หลังเกิดเหตุเสียงปืนนัดแรก 2.17 นาที พบภาพจำเลยที่ 15 (ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย) เดินมาจากฝั่งเวทีมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำ เดินเข้าห้องน้ำและออกจากห้องน้ำเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าเวที ยืนพูดคุยกับเพื่อนตำรวจ หลังเกิดเหตุเสียงปืนนัดแรก 10.26 นาที พบภาพรถยนต์เก๋งของจำเลยที่ 15 (ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย) ขับผ่านกล้องวงจรปิดจุดที่พักสายตรวจตาก้อง ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยที่ 15 ระหว่างช่วงเวลาจากนั้นพบการใช้เสาสัญญาณในอำเภอกำแพงแสน ลักษณะเดินทางกลับออกจากที่เกิดเหตุแล้ว เมื่อพบเห็นเหตุการณ์สด ๆ และเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า แต่ไม่กระทำการระงับยับยั้ง ไม่พยายามที่ทำการจับกุม การช่วยโบกรถยังไม่เพียงพอ ทั้งยังขับรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปในทันที

ส่วนจำเลยที่ 16 (ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย) ขณะเกิดเหตุยืนพูดคุยโทรศัพท์อยู่ข้างสระน้ำ ได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น 4 นัด หันไปดูมีแสงไฟจากลำกล้องปืน พบเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าแล้วแต่ไม่ได้กระทำการเพื่อจับกุมหรือยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนี แต่ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปทางในลักษณะรีบเร่งมุ่งไปทางลานจอดรถ แม้จะเข้าช่วยเหลือด้วยการเปิดประตูรถยนต์ฝั่งที่มีคนอุ้มผู้ตายเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แล้วเดินกลับไปยังจุดที่ผู้บาดเจ็บล้มลง ตรวจดูบริเวณแขนขวาของผู้บาดเจ็บ เดินออกและขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้มีการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยโทรศัพท์ไปหาเจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลอื่น ๆ ประมาณ 20 ครั้ง/คน และต่อมาได้เดินทางกลับมายังที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่ที่เกิดเหตุถูกเก็บกวาดปลอกกระสุนปืน เก็บโต๊ะอาหาร เก็บผ้าปูโต๊ะที่เปื้อนคราบเลือด จึงเป็นการไม่ได้จัดให้มีการปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุ รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อรอส่งมอบพื้นที่ให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบพื้นที่ ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 จึงเป็นความผิดเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ 14 (จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง) พยานหลักฐานยังไม่พอฟังว่ามีความผิดฐานดังกล่าว

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนของจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) โดยมีการนำอาวุธปืนออกไปเสียจากที่เกิดเหตุแล้วนำไปฝัง เป็นความผิดตามของฟ้องโจทก์ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) เมื่อได้รับห่ออาวุธปืนจากจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) แล้ว แต่ส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) ที่เป็นประชาชนที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งที่ขณะนั้นมีเจ้าพนักงานตำรวจอื่นอยู่ในที่เกิดเหตุเป็นจำนวนมากที่สามารถจะเก็บรักษาไว้เพื่อดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจติดตามที่จะทวงถามเกี่ยวกับอาวุธปืนจากจำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) ขณะนั้นไม่ปรากฏว่าได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเพียงพอ อาวุธปืนเป็นวัตถุพยานและพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะพิสูจน์ความผิดของผู้กระทำผิด มิใช่จะอาศัยแต่พยานบุคคลจำนวนมากที่ร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุการณ์ก็เพียงพอตามที่อ้าง จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมายาวนานกว่า 31 ปี ย่อมรู้ว่าอาวุธปืนจะต้องนำส่งแก่พนักงานสอบสวนเพื่อนำส่งตรวจพิสูจน์ภายหน้า มิใช่มอบให้แก่ประชาชนทั่วไปซึ่งไม่ใช่บุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยภายหลังก็ไม่ใส่ใจติดตามเอาคืน ผิดวิสัยของนายตำรวจในตำแหน่งสารวัตรสืบสวน ซึ่งเป็นผู้ได้รับการศึกษาอบรมเกี่ยวกับอาวุธปืนของกลาง จนมีการนำอาวุธปืนดังกล่าวไปฝังดินซุกซ่อน

ส่วนของจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) นั้นเห็นว่า หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) โทรศัพท์ไปหาจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ได้ยินจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) บอกว่า “เอาออกจากแพล้นไปก่อน” จำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) ถามว่า “ให้เอาปืนไปไว้ไหนจะเอาไปฝังหรือไปโยนทิ้งน้ำ” จำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ตอบว่า “ให้เอาไปฝังหรือเอาไปไว้ที่บ้านเองก่อนก็ได้ ถ้าจะเอาไปฝัง ให้จำไว้ด้วยว่าฝังไว้ตรงไหน” ต่อมาโทรศัพท์ไปหาอีกครั้ง จำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ส่งโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) พูดผ่านโทรศัพท์ว่า “ให้เก็บไว้ที่เองก่อน รอให้เรื่องเงียบ เดี๋ยวจะมีคนมาเอา” ต่อมาดูข่าวในโทรทัศน์ทราบเรื่องที่นายธนัญชัยก่อเหตุยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บและถูกวิสามัญฆาตกรรม เชื่อว่าอาวุธปืนที่ได้รับจากจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) เป็นกระบอกเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุ หากไม่มีเจตนาที่จะกระทำผิดย่อมแจ้งเรื่องราวเกี่ยวกับอาวุธปืนให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่นำห่ออาวุธปืนลงในหลุมและฝังกลบ จำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) พาเจ้าพนักงานตำรวจพาไปทำการตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุน สอดคล้องกับคำรับสารภาพ จำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) รู้เห็นและทราบเหตุการณ์ว่ามีการยิงผู้ตาย ทราบตั้งแต่รับฝากแล้วว่าในห่อผ้ามีอาวุธปืนกระบอกที่ใช้ยิงผู้ตาย โดยสภาพอาวุธปืนเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับฝากหรือมีไว้ในครอบครอง มิฉะนั้นอาจมีความผิดตามกฎหมาย แต่ไม่นำส่งอาวุธปืนแก่เจ้าพนักงานตำรวจในโอกาสแรก แต่กลับนำไปขุดกลบฝังตามที่ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) โดยที่อาวุธปืนเป็นวัตถุพยานอันสำคัญ พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ทั้งมีข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ของจำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) ได้โทรศัพท์ไปหาจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) พยานหลักฐานมีความสอดคล้องกัน ทั้งจำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ต่างเป็นลูกจ้างหรือคนงานของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองซึ่งกันและกัน ขณะที่ให้การต่อพนักงานสอบสวน ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ให้การบิดเบือนผิดไปจากความจริง คำให้การชั้นสอบสวนมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคำให้การในชั้นศาล เชื่อว่าจำเลยที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) ให้การไปตามความสัตย์จริง พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) และที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 17 (นายสนธยา สุดแน่น) ที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) เป็นความผิดตามฟ้องฐานนี้

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) ที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) และที่ 22 (กำนันนก) กระทำการเกี่ยวข้องกับการถอดเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุแล้วให้นำไปทิ้งเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยมีเนื้อหาตรงกันทั้งสองครั้งว่า หลังจากจำเลยที่ 22 (กำนันนก) เดินออกจากห้องเรือนกระจก พบจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) หนึ่งในสองคนนี้พูดขึ้นว่า “กล้อง” ซึ่งหมายถึงกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ หนึ่งในสองคนนั้นมีคนพูดเสริมขึ้นว่า “เออ ๆ มีกล้องวงจรปิด” จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) ถามจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ว่า “กล้องอยู่ที่ไหน” จำเลยที่ 22 (กำนันนก) พูดว่า “อยู่ในร้านกาแฟ” พร้อมกับชี้มือไปทางห้องซึ่งเป็นร้านกาแฟอยู่ในบริเวณดังกล่าว จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) วิ่งไปที่ห้องดังกล่าว ทำการถอดตัวเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดออกแล้วเดินออกมา จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) ยืนยันว่าเหตุที่ต้องถอดเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ เนื่องจากจำเลยที่ 22 (กำนันนก) เป็นผู้มีบุญคุณกับตนมาก่อน จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) นำเจ้าพนักงานตำรวจไปที่สถานที่ตรวจยึดจุดที่ 1 ในลำคลองบริเวณโค้งสะพานวัดตาก้อง นำชี้และยืนยันจุดทิ้งด้วยความสมัครใจ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่ประดาน้ำตรงตามที่ให้การ คำให้การที่ยืนยันใกล้ชิดช่วงเวลาที่เกิดเหตุมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าคำให้การในชั้นพิจารณาอ้างจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีลักษณะที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 22 (กำนันนก) พยานเป็นผู้ร่วมกระทำผิดและต่างถูกดำเนินคดี มิใช่พยานซัดทอดให้ตนเองพ้นผิด หากจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ไม่เป็นผู้บอกและชี้มือในขณะนั้นไปทางห้องจุดติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดตามที่จำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) เป็นผู้ถาม อันเป็นการยืนยัน ย่อมทำจำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) ซึ่งตามสภาพวัยและวุฒิภาวะอาจเกิดความลังเลตัดสินใจว่าจะกระทำหรือไม่ ไม่อาจตัดสินใจโดยฉับพลันเช่นนี้ ทั้งไม่กล้ากระทำการโดยลำพังหากไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากจำเลยที่ 22 (กำนันนก) จำเลยที่ 18 (นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์) เป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำกลาง จำเลยที่ 22 (กำนันนก) มีตำแหน่งหน้าที่ทางการปกครองท้องที่เป็นกำนัน ต่างทราบว่าเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดเป็นวัตถุพยานหลักฐานอันสำคัญ ที่จะแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ขณะกระทำผิดได้เป็นอย่างดี และสามารถพิสูจน์ความผิดของนายธนัญชัย และบุคคลบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งยังทราบว่าจำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) เป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา มีหน้าที่รักษาสถานที่เกิดเหตุและพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 22 (กำนันนก) ทราบแห่งมูลคดีมาตั้งแต่แรก ถือเป็นราษฎรที่ให้การช่วยเหลือเจ้าพนักงานให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นความผิดตามฟ้อง แต่ตามทางไต่สวนจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ห้ามหรือเห็นแย้งเพียงแต่มองเหตุการณ์ แม้จะมีภาพจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) เดินเข้าไปในห้องกระจก ไม่มีพยานหลักฐานใดนอกจากนี้ที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) เป็นผู้ใช้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องให้ถอดเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดจากสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใด พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอให้รับฟังจำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) กระทำผิดฐานนี้

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำเกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการเก็บกวาดปลอกกระสุน การล้างคราบเลือด การเก็บโต๊ะวีไอพี จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) และที่ 19 ถึงที่ 21 (นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 19 (นายนิวัติชัย ปั้นดา) เป็นผู้ร่วมกระทำผิด คำให้การดังกล่าวมิใช่การซัดทอด รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ จำเลยที่ 19 (นายนิวัติชัย ปั้นดา) รู้จักกับจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) มาก่อน รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ไม่มีสาเหตุที่จะให้การปรักปรำให้เป็นผลร้ายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีสถานภาพทางสังคมที่สูงกว่า ข้ออ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจทุกคนไม่สามารถสั่งการให้ทำอะไรให้ได้เพราะทุกคนฟังคำสั่งของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) เท่านั้น เห็นว่า ในส่วนนี้คงเป็นเฉพาะในเรื่องหน้าที่การงานในทางการที่จ้างเฉพาะโดยตรง แต่ในกรณีการสั่งให้เคลียร์พื้นที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างฉับพลัน การทำให้ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดที่เกี่ยวข้องทางคดีแก่จำเลยที่ 22 (กำนันนก) ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และยอมทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) ลูกจ้างหรือคนงานเกิดความยำเกรงพร้อมที่จะเชื่อถือและปฏิบัติตามคำสั่งโดยทันที ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนได้ทำร้ายร่างกาย ขู่บังคับ ให้สัญญา หลอกลวง หรือกระทำการใดอันมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 (นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) เพื่อให้การอย่างใด การสอบสวนทุกครั้ง จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 (นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) ก็มีบุคคลที่ไว้วางใจร่วมอยู่ในการสอบสวน โดยให้การไปตามรายละเอียดข้อเท็จจริงในส่วนเฉพาะของตน มีข้อความที่สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ และไม่ตรงกันในบางส่วนที่เป็นรายละเอียดเล็กน้อย เชื่อว่าจำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 (นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) ให้การตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวน่าเชื่อถือกว่าคำให้การและทางนำสืบในชั้นศาล ซึ่งเป็นการเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในภายหลัง ปลอกกระสุนปืนทองเหลืองจำนวน 4 ปลอก ที่ตกหล่นอยู่พื้นลานบริเวณที่เกิดเหตุ บุคคลธรรมดาทั่วไปโดยวิสัยวิญญูชน ย่อมทราบว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ใช้อาวุธปืนยิงจนมีผู้ตายและได้รับบาดเจ็บ ปลอกกระสุนปืนดังกล่าวย่อมเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดีอยู่แล้ว หาจำต้องใช้ความรู้พิเศษอื่น เมื่อพิเคราะห์ถึงอายุ อาชีพ ประสบการณ์ การตัดสินใจ ของจำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 (นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) ประกอบสภาวะที่เกิดเหตุในขณะนั้น เป็นการยากที่จำเลยดังกล่าวจะตัดสินใจจัดการกับวัตถุพยานต่าง ๆ ข้างต้นเอง โดยไม่ได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจการตัดสินใจที่เหนือกว่า การที่จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 (นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) ช่วยกันเก็บปลอกกระสุนปืนไปทิ้งล้างคราบเลือดในที่เกิดเหตุ และเก็บโต๊ะจีนที่เกิดเหตุ อันเป็นการทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้น หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด จำเลยดังกล่าวย่อมรู้ว่า เป็นพยานหลักฐานในการกระทำผิด ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) เพื่อจะช่วยนายธนัญชัย ผู้กระทำผิดผู้อื่น เป็นการทำลายพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามฟ้อง

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) ที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) กระทำอันเป็นการช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้ที่พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ตามฟ้องหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงทางไต่สวนยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 22 (กำนันนก) มีการกระทำหรือพฤติการณ์ใดที่บ่งชี้ว่าเป็นผู้ใช้ หรือผู้สั่ง หรือมีส่วนในการที่นายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ แม้จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) จะได้เข้าไปในห้องกระจกร่วมกัน แต่ไม่พยานหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการพากันหลบหนีไปที่แห่งอื่นหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ตามทางไต่สวนยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) รู้ว่าจำเลยที่ 22 (กำนันนก) มีส่วนเป็นผู้สั่งหรือผู้ใช้ให้นายธนัญชัยกระทำผิด การร่วมนั่งรถยนต์ไปยังบ้านพักอีกแห่งหนึ่ง จึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่ากระทำความผิดฐานนี้ จำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) รู้เห็นเหตุการณ์ตลอด หากประมวลกริยาท่าทางอาการโกรธ พูดจาเสียงดัง ย่อมต้องรับทราบโดยวิสัยและอาชีพว่ามีสาเหตุความโกรธเคืองระหว่างจำเลยที่ 22 (กำนันนก) กับผู้ตาย ทั้งจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ได้พยักหน้าให้แก่นายธนัญชัยในถ้อยคำ ซึ่งย่อมต้องรู้หรือควรจะรู้ว่าใช้คำพูดดังกล่าวเพื่อต้องการสื่อความหมายให้ทราบเพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง คำพูดดังกล่าวจึงน่าจะเป็นการที่จำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) ควรจะรู้หรือเข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นต้นเหตุหรืออาจจะเป็นใช้ในการที่นายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิง แต่จำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) มิได้ทำการสืบสวนเบื้องต้นตามหน้าที่ แต่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตำรวจสายตรวจติดตามรถของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ตามไปส่งถึงบ้านพักอีกแห่ง จึงเป็นความผิดฐานดังกล่าว

จำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) แม้จะหันหลังให้กับโต๊ะวีไอพี เพียง 2 ถึง 3 เมตร ระหว่างที่มีการท้าทายดื่มสุราส่งเสียงเชียร์ย่อมได้ยินเสียงและทราบมูลเหตุ คำพูดว่า “เอามันเลยไหม” เป็นคำพูดที่นายธนัญชัยถามเพื่อต้องการยืนยันว่าให้ใช้อาวุธปืนยิง เมื่อจำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 22 (กำนันนก) น่าจะเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดในความผิดต่อชีวิตและร่างกายอันมิใช่ความผิดลหุโทษ และนั่งรถยนต์ไปพร้อมกันไปบ้านพักอีกแห่ง จึงเป็นความผิดฐานนี้ และส่วนจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) พยานหลักฐานของโจทก์ตามทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าได้รู้เห็นในขณะที่จำเลยที่ 22 (กำนันนก) เข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดของนายธนัญชัยหรือไม่ เพียงใด มีแต่แต่เพียงภาพของจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ที่เข้าไปในห้องกระจก และไปที่รถยนต์ขับรับจำเลยที่ 22 (กำนันนก) กลับไปบ้านแล้วขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านของตน จำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) เป็นเพียงพนักงานขับรถ การขับรถยนต์พาไปส่งที่บ้านอีกแห่งหนึ่ง อาจเป็นเพียงการทำตามหน้าที่พลขับของตนตามปกติระยะเวลาใกล้ชิดการเกิดเหตุเท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้รับได้ว่าจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) มีความผิดฐานดังกล่าวนี้

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข) และที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 84, และมาตรา 200 จำเลยที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, มาตรา 189 ประกอบมาตรา 83, และมาตรา 200 จำเลยที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 84, มาตรา 189 ประกอบมาตรา 83, และมาตรา 200 จำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) และที่ 6 ถึงที่ 16 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย และ ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำเลยที่ 17 ถึงที่ 21 (นายสนธยา สุดแน่น นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์ นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร และนายชาตรี เขียวทับ) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 83

จำเลยที่ 22 (กำนันนก) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 84 และจำเลยที่ 17 ถึงที่ 23 (นายสนธยา สุดแน่น นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์ นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร นายชาตรี เขียวทับ กำนันนก และนายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) มีความผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข ร.ต.ท.ประสาร รอดผล ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) ดังกล่าวจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวคือเพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษ และเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 จึงเป็นกรรมเดียว

ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 ถึงที่ 23 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งมีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 และที่ 15 และที่ 16 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และลงโทษจำเลยที่ 17 ถึงที่ 23 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

เมื่อพิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยแต่ละคนแล้ว เห็นสมควรกำหนดโทษรายบุคคลให้เหมาะสมแห่งการกระทำ คือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข ร.ต.ท.ประสาร รอดผล ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 4 (ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ) ที่ 6 ถึงที่ 13 (จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี) ที่ 15 ถึงที่ 23 (ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย นายสนธยา สุดแน่น นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์ นายนิวัติชัย ปั้นดา นายกฤษดา เหล่งดอนไพร นายชาตรี เขียวทับ กำนันนก และนายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) จำคุกคนละ 2 ปี และเฉพาะจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 (ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) ที่ 19 (นายนิวัติชัย ปั้นดา) ที่ 20 (นายกฤษดา เหล่งดอนไพร) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) ให้ปรับคนละ 60,000 บาท ด้วย เพิ่มโทษจำเลยที่ 21 (นายชาตรี เขียวทับ) หนึ่งในสามตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน

จำเลยที่ 2 (ร.ต.ท.ประสาร รอดผล) ที่ 3 (ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) ที่ 7 (ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา) ที่ 15 (ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย) และที่ 16 (ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย) เข้าช่วยเหลือผู้ตาย และ/หรือผู้บาดเจ็บ ตามแต่กรณี และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 (ตำรวจ) ปฏิบัติราชการมีผลงานและคุณความดีมาก่อน ทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 17 ถึงที่ 21 และที่ 23 (ประชาชน) ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงมีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 จำเลยที่ 15 ถึงที่ 21 และที่ 23 คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ส่วนจำเลยที่ 22 (กำนันนก) ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีตลอดมาจึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 (พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข ร.ต.ท.ประสาร รอดผล ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล) และที่ 5 (ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์) คนละ 2 ปี คงจำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 13 ที่ 15 ถึงที่ 20 และที่ 23 คนละ 1 ปี 4 เดือน และเฉพาะส่วนจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 (ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล และส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) ที่ 19 (นายนิวัติชัย ปั้นดา) ที่ 20 (นายกฤษดา เหล่งดอนไพร) และที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) คงให้ปรับคนละ 40,000 บาท ด้วย จำเลยที่ 21 (นายชาตรี เขียวทับ) คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วัน

ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อศาลคำนึงถึงอายุขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 9 (ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ) อายุ 27 ปี จำเลยที่ 10 (ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล) เพียงอายุ 21 ปี จำเลยที่ 11 (ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น) อายุเพียง 23 ปี จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ประวัติเพิ่งเข้ารับราชการตำรวจเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ตำแหน่งพลสำรองสังกัดศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 7 จังหวัดนครปฐม การเรียนฝึกอบรมศึกษาในช่วงสถานการณ์ระบาดโรคโควิด-19 ผ่านระบบออนไลน์ไม่เต็มตามระบบ หลังจากจบการอบรมได้รับบรรจุแต่งตั้งมียศเป็นสิบตำรวจตรี ตำแหน่งผู้บังคับหมู่กองร้อยควบคุมฝูงชน กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ก่อนเกิดเหตุประมาณสองเดือน ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจจราจร ไม่เคยทำงานด้านงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเลย

ส่วนจำเลยที่ 19 (นายนิวัติชัย ปั้นดา) และที่ 20 (นายกฤษดา เหล่งดอนไพร) เป็นเพียงคนงานหรือลูกจ้างทำความสะอาด และส่วนจำเลยที่ 23 (นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม) เป็นเพียงคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 22 (กำนันนก) กระทำผิดเป็นครั้งแรก เมื่อคำนึงถึงการศึกษาอบรม อาชีพ สิ่งแวดล้อมและสภาพการกระทำความผิดภายใต้สภาวการณ์ ทั้งไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ไว้ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ไว้ภายในกำหนด 2 ปี ให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ทำงานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรและจำเลยยินยอมเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาคุมประพฤติดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และมาตรา 30 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 14 (จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง) และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก


สรุปโทษจำคุก

จำเลยที่ 1 พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข จำคุก 3 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี

จำเลยที่ 2 ร.ต.ท.ประสาร รอดผล จำคุก 3 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี

จำเลยที่ 3 ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล จำคุก 3 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี

จำเลยที่ 4 ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 5 ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์ จำคุก 3 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี

จำเลยที่ 6 จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 7 ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 8 ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 9 ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษโดยคุมประพฤติ 2 ปี ทำงานบริการสังคมฯ 30 ชั่วโมง

จำเลยที 10 ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษโดยคุมประพฤติ 2 ปี ทำงานบริการสังคมฯ 30 ชั่วโมง

จำเลยที่ 11 ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษโดยคุมประพฤติ 2 ปี ทำงานบริการสังคมฯ 30 ชั่วโมง

จำเลยที่ 12 ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 13 ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 14 จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง พิพากษายกฟ้อง

จำเลยที่ 15 ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 16 ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 17 นายสนธยา สุดแน่น จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 18 นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์ จำคุก 2 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 19 นายนิวัติชัย ปั้นดา จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษโดยคุมประพฤติ 2 ปี ทำงานบริการสังคมฯ 30 ชั่วโมง

จำเลยที่ 20 นายกฤษดา เหล่งดอนไพร จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษโดยคุมประพฤติ 2 ปี ทำงานบริการสังคมฯ 30 ชั่วโมง

จำเลยที่ 21 นายชาตรี เขียวทับ จำคุก 2 ปี 8 เดือน แต่ศาลลดโทษ จำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วัน

จำเลยที่ 22 นายประวีณ จันทร์คล้าย (กำนันนก) จำคุก 2 ปี

จำเลยที่ 23 นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท แต่ศาลลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษโดยคุมประพฤติ 2 ปี ทำงานบริการสังคมฯ 30 ชั่วโมง

กำลังโหลดความคิดเห็น