เรือนไทยหลังงามบนอาคารสไตล์โคโลเนียลสีขาวนวลตั้งโดดเด่นอยู่บนเนื้อที่กว่า 1.5 ไร่ริมถนนพระยาสุเรนทร์ บรรยากาศร่มรื่น โอบล้อมด้วยทุ่งนาและบึงน้ำใส กว้างใหญ่ ให้ความรู้สึกฉ่ำชื่น ผสมกลมกลืนไปกับสวนสวยที่มีพันธุ์ไม้หายากหลากชนิด ถูกออกแบบตกแต่งได้อย่างลงตัว ภายในรั้วสีสวย ป้ายสีเหลืองทองระบุบ้านเลขที่ 333 พร้อมโคลงสี่สุภาพแสนไพเราะที่ตั้งใจเตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ประทับใจ “อรุณดารา” คือชื่อของเรือนไทยแห่งนี้
หม่อมหลวงจิรเศษฐ์ ศุขสวัสดิ์ (พี่หม่อม) พร้อมด้วยศรีภรรยา อโนมา ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา สกุลเดิม นาครทรรพ (พี่น้อง) เปิดบ้านต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และไมตรี ก่อนจะพาเดินชมตัวบ้าน เป็นเรือนสองชั้น ที่ออกแบบผสมผสานกันระหว่างเรือนไทยโบราณกับอาคารสไตล์โคโลเนียล บนผืนหญ้าเขียวขจี และความร่มรื่นของไม้ใหญ่ริมบึง
ชั้นบนของตัวบ้านถูกออกแบบจากการปรับปรุงเรือนไทยหลังเก่า 4 หลัง ตั้งวางเรียงรายในองศาตามหลักโบราณ โดยช่างจากอยุธยา และสุพรรณบุรี ฝีมือประณีต วิจิตรบรรจง ตามความประสงค์ของผู้ออกแบบที่ต้องการประยุกต์เรือนไทยเก่า ให้เข้ากับศิลปะโคโลเนียล เรียบหรู ดูทันสมัย และยังคงความเป็นไทยได้อย่างลงตัว
ซึ่งผู้ที่รังสรรค์ความงดงามของเรือนไทยหลังนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน วรุตมาศ ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว ที่ใช้ความรู้จากรั้วสถาปัตย์ จุฬาฯ มีเลือดเนื้อเชื้อไขความเป็นไทยตั้งแต่บรรพชน หล่อหลอมเติบโตเป็นคนร่วมสมัย ตั้งใจออกแบบบ้านทรงไทยที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น งดงาม และเป็นมิตร
“เราตั้งใจให้ “อรุณดารา” เป็นสถานที่จัดเลี้ยง จัดประชุม และทำกิจกรรมที่หลากหลาย เป็นหมุดหมายของท่านที่ต้องการสร้างความทรงจำที่งดงามอย่างมิรู้ลืม
หม่อมหลวงจิรเศษฐ์ หรือพี่หม่อม เปิดฉากสนทนาถึงความตั้งใจสร้างบ้านหลังงามไว้ต้อนรับผู้คน พร้อมกับย้อนถึงความเป็นมาให้ฟังว่า “อรุณดารา” เริ่มจากความฝันของเราที่อยากมีสถานที่เล็กๆ ไว้ทำกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับความสุข ความเป็นมงคล การให้ความรู้ และการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคม โดยไม่คิดว่าความฝันนั้นจะเริ่มก่อตัวเป็นความจริงขึ้น เมื่อได้มีโอกาสเป็นเจ้าของเรือนไทย 4 หลังโดยไม่คาดหมาย จึงมีความคิดว่าจะนำเรือนไทยเหล่านั้นไปปลูกสร้างไว้บนที่ดินที่ครอบครัวซื้อทิ้งไว้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน จึงได้เริ่มพัฒนาผืนดินรกร้าง จนมาเป็นที่ริมน้ำอันมีทัศนียภาพงดงามตามที่เห็นในเวลานี้
และด้วยความตั้งใจจะอนุรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมความเป็นไทย ผสมผสานกับแนวคิดแบบตะวันตกในยุครัตนโกสินทร์ แทรกด้วยความสะดวกสบายและความทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน ลูกชาย ซึ่งมีความรักในการออกแบบ จึงค่อยๆ วางแนวคิด รูปลักษณ์ และเริ่มออกแบบปรับเรือนไทยทั้ง 4 เรือนลงบนตึกสไตล์โคโลเนียล โดยปรับแต่งทั้งเรือนไทย อาคาร สวน และสภาพแวดล้อม จนกระทั่งเป็น “อรุณดารา” สวยดุจเทพสร้างในปัจจุบัน
ขณะที่ พี่น้อง อโนมา เสริมถึงที่มาของชื่อ “อรุณดารา” ว่า เราเชื่อว่าพลังงานที่ดี (POSITIVE AND POWERFUL ENERGY) ของจักรวาลจะเป็นแหล่งสร้างเสริมความสุข ความสำเร็จ และความเจริญรุ่งเรือง ดวงดาวที่ฉายแสงยามรุ่งอรุณของวันใหม่ (อรุณดารา หรือดาวประกายพรึก) จึงเป็นสัญลักษณ์ที่ตั้งใจให้เป็นชื่อของเรา เพื่อให้สถานที่นี้นำมาซึ่งความหวัง ความสว่าง และความร่มเย็นเป็นสุข
ส่วนโลโก้ของอรุณดารา ได้รับการออกแบบโดยคุณสมชาย ศุภรักษอำไพพร ศิลปินช่างสิบหมู่แห่งกรมศิลปากร โดยใช้ “อ” ซึ่งเป็นอักษรตัวหน้าของคำว่า “อรุณ” วางอยู่บน “ดาวประจำยาม” รูปดอกพุดตาน เป็นตัวแทนของคำว่า “ดารา” ตกแต่งด้วยสีคราม อันแสดงถึงท้องฟ้าอันสดใสยามรุ่งอรุณ ส่วนตัวอักษรคำว่า “อรุณดารา” ออกแบบโดย คุณเก่ง อัครชัย โอบนิธิชยากร
ย้อนความอัศจรรย์ในการกลับคืนมาของผืนดิน
พี่หม่อมเล่าย้อนถึงที่มาของผืนดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนอรุณดาราว่า เดิมเคยเป็นของพระยาสุเรนทร์ราชเสนา หลานปู่ของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์) บรรพบุรุษในสายสกุลสิงหเสนี ที่เก่าแก่กว่าร้อยปี ที่ดินผืนนี้ถูกเปลี่ยนมือซื้อขายกันมาโดยตลอด แต่ได้กลับมาเป็นของเรา ซึ่งเป็นลูกหลานสกุลเดียวกันในปัจจุบันนี้ นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายและอัศจรรย์ใจยิ่ง
เปิดสาแหรกสืบเชื้อสายกว่าจะเป็น “อรุณดารา”
ทั้งพี่หม่อมและพี่น้องต่างสืบเชื้อสายราชสกุลที่มีอายุเก่าแก่สืบค้นได้ถึง 200 ปี โดยฝั่งของพี่หม่อม นอกจากราชสกุล “ศุขสวัสดิ์” แล้ว ยังมี “ศรลัมพ์” และ “รามโกมุท” ด้วย ส่วนพี่น้องเองสืบสกุล “นาครทรรพ” จากทางคุณพ่อ “สิงหเสนี” จากทางคุณแม่ และก็เป็นที่มาของเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ เมื่อพระยาสุเรนทร์ (พึ่ง สิงหเสนี) ซึ่งเป็นบุตรพระยามุขมนตรี เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา รับราชการในแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ มีศักดินา 4,000 ไร่ ซี่งเป็นบริเวณที่สร้างอรุณดาราในปัจจุบัน ธรรมะจัดสรรให้มรดกถูกส่งต่อมาจนถึงลูกหลานตัวจริง
เมื่อครั้งที่ตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ พี่น้องเล่าว่า เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ดินอยู่ที่ไหน เพียงแต่อยากได้ที่ดินสักผืนไว้สร้างบ้านเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบหลังวัยเกษียณ พวกเราคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นที่ดินของตระกูล “สิงหเสนี” ซึ่งเป็นตระกูลของทางแม่พี่น้องเอง
เรือนไทยต่างที่มาถึงเวลาได้มาอยู่ด้วยกัน เรือนไทย 5 หลังต่างที่มา ตั้งเรียงรายบนตึก 4 หลัง มีที่มาอันยาวนานนับร้อยปี ถูกตั้งชื่อให้สอดรับกับสาแหรกของทั้งพี่หม่อม และพี่น้อง
หลังแรก คือเรือน “เกศมงกุฎ” เป็นเรือนประธานในหมู่เรือนทั้งหมด ตั้งชื่อตามพระนาม “เจ้าฟ้ามงกุฎ” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเรือนไทยโบราณสมัยรัชกาลที่ ๔ มีอายุกว่าร้อยปี การออกแบบยังคงลักษณะตัวเรือนให้คงเดิม แต่เพิ่มเติมให้มีแสงสว่างด้วยการออกแบบให้ด้านหน้ามีประตูทางเข้า 3 บาน และมีหน้าต่างโดยรอบ ด้วยเนื้อไม้มีความเก่าแก่ จึงปรากฏลายน้ำร่องลึกอย่างชัดเจน และสวยงาม ส่วนด้านหน้าจะเป็นระเบียงใหม่ มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร
หลังที่ 2 เรือน “ศุขสวัสดี” ตั้งชื่อตามพระนาม พระเจ้าวรวงศ์เธอหลวงอดิศรอุดมเดช พระองค์เจ้าศุขสวัสดี ต้นราชสกุล “ศุขสวัสดิ์” ซึ่งเป็นสาแหรกของตัวพี่หม่อม เรือนนี้เป็นเรือนกรุกระจกทั้งหลัง ด้านหลังมองเห็นบึงน้ำกว้างใหญ่ ให้ความโปร่งสบายและร่มเย็น เหมาะสำหรับการจัดพิธีสู่ขอหมั้น แต่งงาน หรือจัดเลี้ยง ส่วนด้านข้างมีส่วนกระถางบนดาดฟ้า (ROOFTOP GARDEN) แบบไทยผสมจีนอันงดงาม เหมาะเป็นที่ถ่ายภาพ นั่งเล่น และจัดเลี้ยงอาหารว่างเบาๆ ในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณนี้จะงดงามเป็นอันมาก
หลังที่ 3 เรือน “ทิพมณเฑียร” (แมลงผึ้ง นาครทรรพ) กรมวังในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นสาแหรกของพี่น้อง เรือนหลังนี้เป็นเรือนไทยโบราณที่ได้รับการดัดแปลงโดยสถาปนิกให้เป็นเรือนแบบตรีมุข โดยมีส่วนต่อออกมาคล้าย BAY WINDOW อันเป็นลักษณะเฉพาะตัว ด้านหลังของเรือนมองจากด้านล่างขึ้นไปจะเห็นมุขที่ยื่นออกมาจากตัวเรือน เป็นฉากหลังให้ระเบียงที่ดูคล้าย BALCONY ดูงดงามยิ่ง
หลังที่ 4 เรือน “สุเรนทรา” ตั้งชื่อขึ้นมาเพื่อระลึกถึง “พระสุเรนทร์ราชเสนา” (พึ่ง สิงหเสนี) หลานปู่ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ผู้เป็นเจ้าของเดิมบนที่ดินผืนนี้ กอปรกับ “อรุณดารา” ตั้งอยู่บนถนน พระยาสุเรนทร์ ซึ่งมีชื่อเรียกตามท่าน และในละแวกเดียวกันก็ยังมีวัดบึงพระยาสุเรนทร์ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ อีกด้วย
“สุเรนทรา” เป็นเรือนไทยแบบมอญเรือนเดียวในหมู่เรือนไทยทั้งหมดของอรุณดารา สังเกตได้จากลักษณะหลังคาและปั้นลมมีความแตกต่างจากเรือนอื่นๆ เรือนนี้มีการเตรียมการอย่างดีเพื่อใช้ในการส่งตัวคู่บ่าวสาวตามฤกษ์มงคล
ส่วนบริเวณด้านล่างเป็นโถงใหญ่ให้ชื่อว่าห้อง “อรุณดารา” ตกแต่งในสไตล์โคโลเนียล ถูกออกแบบอย่างตั้งใจให้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โอบรอบด้วยระเบียง สามารถมองสวนสวย ไม้ดอกนานาพรรณ และบึงกว้างใหญ่ได้ชัดเจน เหมาะสำหรับใช้เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดเลี้ยง ประชุมสัมมนา จัดนิทรรศการ บรรยายธรรม แสดงดนตรี และอื่นๆ
ถัดมาบริเวณด้านหน้าโถงใหญ่ ให้ชื่อว่า “ระเบียงบุนนาค” ถูกสร้างอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ มีต้น “บุนนาค” (ชื่อตามสายสกุลบุนนาค) ที่สูงโปร่ง อยู่ใกล้ระเบียงนั่งเล่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรือน เรือนนี้เป็นเรือนอเนกประสงค์ เหมาะสำหรับการรับแขก นั่งเล่น และพบปะพูดคุยในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ภายในตัวเรือนมีการนำเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ได้จริงมาตกแต่งให้ดูมีชีวิตชีวา ประดับประดาด้วยงานฝีมือ ซึ่งพี่หม่อมเป็นผู้ผลิต เช่น ว่าวจุฬา ม่านพระอินทร์ ฯลฯ
และตรงข้ามกับ “ระเบียงบุนนาค” คือ “บ้านบริบูรณ์” เป็นเรือนไทยประยุกต์ ตัวเรือนเป็นตึกสีขาวที่มีหลังคาเป็นทรงไทย ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ให้เป็นอาคารสำนักงานและสำนักบริการของอรุณดารา
ผูกพันไม้ใหญ่ใน “อรุณดารา” ด้วยความที่เป็นคนรักความร่มรื่นทั้งครอบครัว “อรุณดารา” จึงอุดมไปด้วยไม้ใหญ่ ไม้ดอกและไม้ใบมากมาย โดยให้ชื่อว่า “สวนเกษมศรี” ซึ่งรวมไว้ทั้งสวนบนพื้นดิน และสวนลอยฟ้า หรือที่เรียกว่า “ROOFTOP GARDEN” พี่น้อยบอกว่า เราจะเรียกไม้ใหญ่ของเราทุกต้นว่า “พี่” เพราะถือว่าเขามีอายุมากกว่า และให้ร่มเงาแก่เรา เช่น พี่ “เพิ่มพะยอม” หรือ “พูนพะยอม” ปลูกอยู่เคียงกันสองต้น ให้ดอกสีขาวหอมกรุ่นมาหลายรุ่น ทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง ดอกช่วยบำรุงหัวใจ เป็นยาแก้ไข้ ยาหอม นอกจากนี้เปลือกยังช่วยแก้โรคลำไส้อักเสบได้ดีอีกด้วย
อีกต้นคือ พี่ “ศรีมลิน” ปัจจุบันเรียกว่า กระบก หรือพูนทรัพย์ มีลำต้นตรง สูงตระหง่านอยู่กลางสวน ผลัดดอกออกใบให้ได้ชื่นชม กระบกมีสรรพคุณทางยาเช่นเดียวกัน คือใช้สมานแผลและบำรุงหัวใจ
ถัดออกไปไม่ไกลคือ พี่กิ่งก้าน และพี่ต้นตอ เป็นมะกอกสเปน หรือ OLIVE อายุเกือบ 300 ปี เป็นไม้เมอร์ดิเตอร์เรเนียน และเป็นไม้มงคลที่สามารถเติบโตได้ดีในอากาศและผืนดินของประเทศไทย ใบของมะกอกมีสรรพคุณเป็นยาและสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันได้อีกด้วย
อีกหนึ่งต้นที่เจ้าของเรือนสวยรักหนักหนา คือ พี่ชุมแสง พี่น้องเล่าว่า เมื่อแรกเห็นต้นไม้ต้นนี้ ในใจคิดถึงเด็กน้อยสองคนที่เดินอยู่ในป่า พลันเจอต้นไม้วิเศษที่เนรมิตสิ่งต่างๆ ได้ตามคำขอ กิ่งก้านที่แผ่ออกมาตั้งแต่โคนต้นทำให้เขาดูแปลกกว่าใคร ใบยาวรี โคนใบเขียว ปลายใบน้ำตาลที่เราคิดว่าทำไมจึงแห้ง แต่หาได้เป็นเช่นนั้น เพราะธรรมชาติของเขาเป็นแบบนั้นเอง จึงทำให้เราเลือกพี่ชุมแสงมาเป็นส่วนหนึ่งในสวนของเรา ยิ่งยามอาทิตย์อัสดง ไม้เล็กๆ ชูช่อดอกใบงดงาม ใครได้ไปยืนใกล้ๆ จะมีความรู้สึกเป็นมิตร อบอุ่น ร่มเย็น ไปกับแมกไม้ผู้อารี
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีไม้งามอีกหลายต้น เช่น ปีบ ลีลาวดี อินจัน จิกบก จิกน้ำ แคแสด แคทอง เสม็ดแดง ลำดวน ฯลฯ บางต้นมาอยู่กับเราภายหลัง แต่บางต้นเดินทางมาอยู่กับเราจาก “บ้านสวนไร่วนนายศุข” จ.จันทบุรี ซึ่งพี่หม่อมได้ซื้อที่ดินไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ปัจจุบันทำสวนผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด และไม้ผลอื่นๆ
หลากเรื่องราว มากมายเรื่องเล่า ผ่าน “อรุณดารา” ความงดงามที่ลงตัวของศิลปะและวัฒนธรรมแห่งยุคสมัยรอผู้มาเยือน สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 08-1635-6655 หรือแฟนเพจเฟซบุ๊ก Arundara