รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อ.จากจุฬาฯ โพสต์ข้อความอธิบายประเด็นดรามาฟุตบอลจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ระบุครั้งนี้ไม่ใช่ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ทำรูปแบบต่างๆ เปลี่ยนไป หวังลดความร้อนระอุของกระแสดรามาอัญเชิญพระเกี้ยว
จากกรณีเทศกาลงานกีฬาฟุตบอลสานสัมพันธ์ "จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์" CU-TU Unity Football Match 2024 ที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 ณ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ โดยทั้งสองสถาบันจัดเต็มขบวนพาเหรดสะท้อนสังคมที่เป็นเอกลักษณ์ของงานฟุตบอล รวมถึงการแปรอักษร แต่สิ่งที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดของงานบอลครั้งนี้ นั่นคือการที่ “จุฬาฯ” ใช้รถกอล์ฟในการอัญเชิญพระเกี้ยว ซึ่งกลายเป็นที่ถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายในโลกออนไลน์ ต่อมาชมรมเชียร์และแปรอักษร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกประกาศงานบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ 2024 ทางชมรมฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แม้กระทั่งการแปรอักษรในงาน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 เม.ย.เฟซบุ๊ก “Jessada Denduangboripant” หรือ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาโพสต์ข้อความอธิบายงานบอลที่เพิ่งจัดไป ไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
"เห็นเป็นประเด็นดรามากันมาหลายวันแล้ว เกี่ยวกับงานฟุตบอลที่จัดแข่งกันไประหว่างนิสิตจุฬาฯ และศึกษาธรรมศาสตร์ ... แต่ถ้าผมจะอธิบายให้เข้าใจชัดว่า "มันเป็นคนละงานกัน" กับฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่ผ่านๆ มา ไม่รู้ว่าจะช่วยลดดรามาให้น้อยลงได้หรือเปล่านะครับ
#สรุป (เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว) พูดง่ายๆคือสมาคมศิษย์เก่าของทั้ง 2 สถาบันไม่จัดงานบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์สักที .. เด็กๆ นิสิตนักศึกษาก็เลยจัดงานเตะบอลสานสัมพันธ์กันเอง .. งานมันก็เลยออกมาสเกลเล็กๆ แค่นี้แหละครับ คือมีหลายคนที่ออกมาบ่น เชิงตำหนิ ว่างานฟุตบอลจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ปีนี้ดูด้อยลงกว่าเดิมมาก เพราะไม่ค่อยมีข่าวประชาสัมพันธ์เท่าไหร่ คนมาร่วมงานน้อยลง ขบวนพาเหรดก็เล็ก แปรอักษรก็ใช้จอ LED ช่วยแทนคน ขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวและธรรมจักรก็ไม่ใช้เสลี่ยงเหมือนก่อน แต่ใช้รถไฟฟ้า-รถเข็นอัญเชิญแทน ฯลฯ คือจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณีที่จัดกันมากว่า 90 ปีแล้ว (ซึ่งครั้งล่าสุด คือครั้งที่ 74 เมื่อปี พ.ศ. 2563) แต่มันมีชื่อว่า "งานฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 1" ต่างหากครับ
งานฟุตบอลประเพณีที่ผ่านมาดำเนินการจัดโดย "สมาคมศิษย์เก่า" ของทั้งจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพมาตลอด .. ขณะที่งานฟุตบอลสานสัมพันธ์ ที่เพิ่งริเริ่มจัดในปีนี้นั้น จัดโดยองค์การบริหารสโมสรของนิสิตจุฬาฯ และของนักศึกษาธรรมศาสตร์ สาเหตุที่เกิดงานนี้ก็คือ การที่งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 75 (ซึ่งควรจะได้จัดไปเมื่อปี 2564) ทางด้านของสมาคมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ที่เป็นเจ้าภาพนั้นได้เลื่อนจัดมาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เกิดวิกฤตโควิดขึ้น จนมาถึงปีนี้ก็ยังหากำหนดวันที่เหมาะสมร่วมกันกับทางสมาคมศิษย์เก่าจุฬาฯ ไม่ได้ แล้วต้องทำให้เลื่อนไปอีกปีหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ทางองค์การบริหารสโมสรของทั้ง 2 สถาบันจึงได้ขอจัดงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ขึ้นเอง แม้ว่าเวลาจะกระชั้นชิดมาก และมีงบประมาณน้อยมากก็ตาม โดยจัดในแบบที่กระชับขึ้น เรียบง่ายขึ้น งบน้อยลง ใช้กำลังคนให้น้อยลง .. และที่สำคัญคือ มีรูปแบบงานในแบบที่นิสิตนักศึกษาอยากจัดกัน (ไม่ได้จำเป็นอยู่ในกรอบแนวทางของที่สมาคมศิษย์เก่าของทั้งสองสถาบันเคยวางแนวไว้)
ตัวอย่างเช่น การแปรอักษรด้วยป้าย LED ก็เป็นการแก้ปัญหาเรื่องการระดมหาคนขึ้นสแตนด์ในช่วงเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้ .. หรือแม้แต่การอัญเชิญธรรมจักรและพระเกี้ยว ที่เรียบง่ายขึ้น ใช้กำลังคนน้อยลงเช่นนี้ ก็เป็นการแก้ปัญหาได้ดีเช่นเดียวกัน .. ซึ่งถ้ามองถึงผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจกันไว้ (แม้ว่าจะไม่อลังการเท่าเดิม ทั้ง stand แปรอักษร และขบวนอัญเชิญ)
อย่างไรก็ตาม การจัดงานบอลสานสัมพันธ์ครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่นิสิตนักศึกษาที่จัดกันเอง แต่ผู้บริหารของทั้งสองมหาวิทยาลัยก็เข้ามาช่วยสนับสนุนเช่นกัน .. ดังนั้น รูปแบบวิธีการที่เปลี่ยนไปนี้ จึงถือว่าผ่านความเห็นชอบจากผู้หลักผู้ใหญ่ของมหาวิทยาลัยทั้งสองแล้วนะครับ
ดังนั้น ผู้ที่กังวลว่างานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จะดูด้อยลง ลดความสวยงามอลังการลงจากเดิม ก็คงจะต้องรอดูในปีหน้าๆ ถัดไป ว่างานฟุตบอลประเพณีครั้งที่ 75 นั้นจะจัดออกมาในรูปแบบไหน? จะสวยงามยิ่งใหญ่เท่าสมัยปี 2563 หรือเปล่า?
หรือจะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ไปตามสมัยนิยม ที่ลดเรื่องพิธีรีตอง และเน้นคุณค่าของตัวงานตามวัตถุประสงค์มากขึ้น .. ซึ่งก็ต้องรอฟังทางสมาคมศิษย์เก่าของสองสถาบันนำเสนอชี้แจงกันต่อไป
แต่ไม่ใช่มาดู "งานบอลสานสัมพันธ์ของนิสิตนักศึกษา" ปีนี้ แล้วจะมารีบด่วนตัดสินว่า หลายๆ อย่าง (เช่น เสลี่ยงอัญเชิญพระเกี้ยว) ถูกยกเลิกไปแล้วอย่างที่ข่าวไปกระพือกันนะครับ ... เน้นย้ำ ให้มองว่า มันเป็นคนละงานกันครับ!
ส่วนใครปวารณาตัว อยากจะมาช่วยยกเสลี่ยงอัญเชิญพระเกี้ยวให้ในปีหน้าๆ ต่อไป ก็เป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ รีบมาสมัครล่วงหน้าได้เลย"