“บิ๊กโจ๊ก” เห็นลางแพ้ แผนผลักดันคดีทั้งหมดไปที่ ป.ป.ช.ต้องพังครืน เมื่อศาลอาญาคดีทุจริต พิพากษายกฟ้องคดีที่กลุ่มลูกน้อง นำโดย “ผกก.เปียก” ยื่นฟ้อง ผบ.ตร.-อดีต ผบ.ตร.พร้อมชุดพนักงานสอบสวน 244 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบกรณีดำเนินคดีเอี่ยวเว็บพนันมินนี่ ถึงกับต้องรีบออกมาเรียกร้องความสามัคคี
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ยกฟ้องคดีที่ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย หรือ “ผกก.เปียก” อดีต ผกก.ตม.จ.จันทบุรี คนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวก เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.กับชุดพนักงานสอบสวนรวม 244 คนรวมทั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ, ใช้พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่า ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง โดยขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,1 57, 162(4), 179, 200 พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 4, 172
สำหรับคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลางดังล่าว เป็นคำพิพากษาในชั้นตรวจฟ้องคดี โดยได้พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากศาลชี้ว่า ไม่มีพยานหลักฐานว่า การดำเนินการของพนักงานสอบสวน 200 กว่าคน ที่ดำเนินคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกเป็นการกระทำผิด แต่เป็นการกระทำตามขั้นตอนกฎหมาย โดยศาลเห็นว่า
1)ที่โจทก์อ้างว่าไม่ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิด การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมไม่ชอบ มีการปรุงแต่งเรื่องราวนำมากล่าวหาโจทก์กับพวกนั้น ล้วนแต่เป็นข้อต่อสู้ที่โจทก์ต้องนำไปพิสูจน์ว่าโจทก์กับพวกมิได้กระทำความผิด มิใช่ข้อที่จะนำมาฟ้องจำเลยกับพวกในคดีนี้
2) การวินิจฉัยสั่งคดีของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนนี้มิใช่การวินิจฉัยว่าจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) มีความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเช่นกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ทั้งเป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะเรียกบุคคลใดมาเป็นพยานหรือไม่ก็ได้ หรือจะรวบรวมหรือไม่รวบรวมพยานหลักฐานใดเข้าไว้ในสำนวนการสอบสวนก็ได้
3) การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนั้นหมายความว่า ข้อกล่าวหาเดิมยังคงอยู่มิใช่ต้องตกไปเพราะพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ตามที่โจทก์เข้าใจ
4)ส่วนที่ข้อกล่าวหาเดิมจะขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับข้อกล่าวหาใหม่หรือไม่ ก็เป็นข้อกฎหมายที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย
5)สำหรับการยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับและหมายค้นต่างศาลกันเป็นเพราะศาลที่มีอำนาจออกหมายจับคือศาลที่มีเขตอำนาจชำระคดีหรือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการจับ ส่วนศาลที่มีอำนาจออกหมายค้น คือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น
6)ส่วนการยื่นขอออกหมายจับโดยไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง ในหมายจับนั้น เห็นว่า ยศของข้าราชการตำรวจเป็นเพียงการแสดงถึงจำนวนปีที่รับราชการเท่านั้น อีกทั้งฐานความผิดที่ระบุในหมายจับก็เป็นฐานความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กับทั้งการที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะพิจารณาออกหมายจับตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของผู้ร้องที่เสนอมาตามสมควรซึ่งเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่าการระบุยศ ตำแหน่ง หรืออาชีพ ที่มิได้เกี่ยวข้องกับฐานความผิดดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น
7)ส่วนจำเลยที่ 60 ที่มี “ยศร้อยตำรวจเอก” จึงเป็นการลงชื่อในคำร้องขอออกหมายจับที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว สำหรับการนำตัวโจทก์กับพวกไปฝากขังต่อศาลในเวลาใกล้ปิดทำการ การคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และเหตุอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับคำร้องขอฝากขังนั้น เมื่อปรากฏว่า โจทก์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เหตุถึงขนาดที่จะฟังว่าจำเลยกับพวกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
8)การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อจำเลยที่ 244 (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์) เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่า จำเลยที่ 244 ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการอย่างใดในหน้าที่ อันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
9)ส่วนข้อกล่าวอ้างอื่นๆ ได้แก่ การค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นเหตุให้ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ดี การโอนคดีไปอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ก็ดี และการนำพยานหลักฐานเดิมมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ก็ดี ล้วนแต่เป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาอันนี้ถือเป็น “หมัดเด็ด” ที่ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับบรรดาพรรคพวก และลูกน้อง ที่กำลังวิ่งเต้น และขู่ฟ่อ ๆ เกี่ยวกับการดำเนินคดีเว็บพนันว่ามิชอบโดยกฎหมาย ต้องหงายเงิบ และแผนที่จะผลักดันให้คดีทุกอย่างวิ่งเข้าไปที่ ป.ป.ช.นั้นต้องพังครืนลงทั้งหมด
ในวันเดียวกันที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กยืนยัน จะไม่มีการแถลงข่าวเปิดใจใด ๆ ในวันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2567 นี้ ตามกระแสที่สะพัดออกมา โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่า สื่อมวลชนพยายามปั่นกระแส ให้เกิดความขัดแย้งอีก เพราะช่วงนี้ตัวเองยุ่งมาก โดยต้องดำเนินการทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี
“เนื่องด้วยมีสื่อบางสำนักมีการสื่อสารที่อาจจะเกิดความเข้าใจผิดว่า ผมจะแถลงข่าวเปิดใจวันที่ 1 เมษายน 2567 ผมขอยืนยันอีกครั้งนะครับว่า จะไม่มีการแถลงข่าว ผมไม่ได้ต้องการเวทีเพื่อแถลงเปิดใจใด ๆ นะครับ ขอพี่น้องสื่อมวลชนอย่าได้นำมาเป็นกระแสเพราะอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีกครับขอพี่น้องสื่อมวลชนได้โปรดนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในเนื้อหาที่นำเสนอนะครับ เรามาสร้างสังคมแห่งความสามัคคีด้วยกันนะครับ ขอบคุณครับ”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ