เปิดตัวตนอีกด้าน “บิ๊กโจ๊ก” ไบโพลาร์ โมโหร้าย ด่าทอโขกสับ ทำร้ายร่างกายลูกน้อง จนตำรวจ 17 นายทนไม่ไหว เข้าชื่อยื่นร้องเรียนพฤติกรรม ขณะเดียวกันก็บ้าสายมูเข้าเส้นเลือด เดินสายเข้าวัด อาบน้ำมันต์ ทำพิธีกรรม เพื่อเอาชนะศัตรูอยู่ตลอด แต่สุดท้ายคงไม่พ้นจุดจบปมหมกเม็ดทรัพย์สิน เมื่ออดีตผู้ว่าฯ ให้การตำรวจ ยันเคยขายพระเครื่องให้ “เซียนอั้ง เมืองชล” แค่ 1 หมื่นกว่าบาท เงิน “บิ๊กโจ๊ก” 13.7 ล้านส่อเป็นค่านายหน้าทิพย์
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงบุคลิกอีกด้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รอง ผบ.ตร.ซึ่งมีพฤติกรรมโมโหร้าย เกรี้ยดกราด จนเข้าข่ายเป็นคน 2 บุคลิก หรือไบโพลาร์
ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าราชการตำรวจที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับการทำงานสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี “บิ๊กโจ๊ก” ถูกร้องเรียนและกระทำผิดกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น กรณีร้องเรียน“เรื่องส่วยคาราโอเกะ ในพื้นที่ จ.นครพนม และภาคอีสานตอนบน” ตำรวจแทบทุกรายที่เข้าไปสืบสวนสอบสวนหรือแม้เพียงแค่มีส่วนเกี่ยวพันเพียงเล็กน้อย จะต้องถูกหมายหัวโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ต้องมีอันต้องประสบความฉิบหาย ล่มสลาย ล้มเหลวในชีวิตราชการ ชีวิตครอบครัว เพราะถูกสั่งย้ายกระเด็นกระดอน บางคนตัดสินใจลาออกก่อนเกษียณ บางคนขอหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดลมหายใจที่เหลืออยู่ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีกต่อไป
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มตำรวจชั้นผู้น้อยที่เคยรับใช้ใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อีกมากมาย ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่มาจากหลายสังกัด ได้รวมตัวเข้าร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชา โดยทำหนังสือรายงานพฤติกรรมความเกรี้ยดกราด อุปนิสัยประหลาด โมโหร้าย และความเป็นคน 2 บุคลิกในตัวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อขอความเป็นธรรมจากการถูกบิ๊กตำรวจผู้นี้กลั่นแกล้งจำนวนมาก
จากข้อมูลมีอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยรับใช้ใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จำนวน 17 ราย โดยทั้ง 17 รายที่ร้องเรียนพฤติกรรมของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นล้วนเคยทำหน้าที่เป็นตำรวจติดตามรับใช้แตกต่างระยะเวลา และหน้าที่กันไปไม่ว่าจะเป็น พลขับ คนดูแลความสะอาดในบ้านพักเป็นคนล้างรถ นำผ้าไปซัก เป็นพนักงานรับส่งเอกสารและ คอยรับคำสั่งให้ทำงานจิปาถะเกี่ยวกับภารกิจส่วนตัวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาแล้วทั้งสิ้น
ตำรวจทั้ง 17 คนที่รวมตัวกันร้องเรียนพฤติกรรม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในขณะนั้น ส่วนใหญ่ได้ร้องเรียนโดยรายงานข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดตัวเองทราบ นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมกระบวนการสอบสวนของจเรตำรวจ เพื่อขอกลับไปทำงานตำแหน่งเดิม ในช่วงที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วงปี พ.ศ.2562 จากคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ทั้งนี้ ตำรวจทั้ง 17 รายล้วนเปิดเผยถึง สภาพความน่าเบื่อหน่ายจากการที่ถูกโขกสับ ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม ทุกรายยืนยันตรงกันเคยถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำร้ายร่างกาย ด้วยการตบหน้า ทุบศีรษะ บ้องหูทั้งในที่สาธารณะและที่ลับตาผู้คน นอกจากนี้ยังมีการโดนข่มขู่ ด่าทอ ด้อยค่า ด้อยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในทุกครั้งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่สบอารมณ์
ที่สำคัญกว่านั้น บางรายเคยเห็น แม้แต่ “รองคริษฐ์” พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เคยถูกด่าทอ ทำร้ายร่างกาย เหยียดหยามเช่นเดียวกัน ไม่นับรวม กับ นายตำรวจสัญญาบัตรคนอื่นๆ ที่ติดตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ล้วนแล้วแต่เคยถูกด่าทอ ทำร้ายร่างกาย เหยียดหยามด้วยวิธีการแบบเดียวกันกับที่ตัวเองโดน แต่ยังแปลกใจอยู่ว่า บรรดานายตำรวจสัญญาบัตรที่อยู่ในอาณัติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เหล่านั้น ทนการถูกหมิ่นศักดิ์ศรีเยี่ยงนี้ได้ได้อย่างไร?
ซึ่งระหว่างที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ทั้ง 17 ชีวิต กำลังเข้ากระบวนการสอบปากคำจากจเรตำรวจ อยู่นั้น เรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายก็เกิดขึ้น เมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งการให้ “รองคริษฐ์” หรือ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ นายตำรวจคู่ใจ ซึ่งปัจจุบันเป็น 1 ใน 8 ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีเว็บพนันมินนี่ และ BNK Master พยายามเข้าแทรกแซงกระบวนการสอบสวน ด้วยการติดต่อไปหา ตำรวจชั้นประทวนผู้ร้องทุกข์ทั้ง 17 คน ใช้ทั้งวิธีพูดจาข่มขู่ ปลอบประโลมโน้มน้าว และลำเลิกให้ผู้ร้องทุกข์สำนึกในบุญคุณ ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยอุปการะกันมา
ทำให้ปัจจุบันจากผู้ร้อง 17 รายมีผู้ที่ถอนคำร้องทุกข์ออกไปแล้ว6 ราย ลาออกจากราชการไปแล้ว 1 ราย อยู่ระหว่างตัดสินใจจะเดินหน้าร้องทุกข์ต่อหรือไม่อีก 10 ราย
ทั้งนี้ สาระสำคัญที่ผู้ตัดสินใจถอนคำร้องทุกข์ ทั้ง 6 ราย ระบุเป็นสาเหตุในการถอน ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทราบในตอนนั้น เป็นเอกสารที่ทาง พ.ต.ท.คริษฐ์ ได้ร่างตระเตรียมเอาไว้ให้ โดยให้ทั้ง 6 ราย ชี้แจงเหตุผลที่ต้องถอนตัวออกจากการเป็นคู่กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เนื่องจากถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. เป็นผู้บังคับบัญชาให้เข้าร่วมกันร้องเรียน ขัดแย้ง กับเหตุผลของกลุ่มนายตำรวจที่ยังไม่ถอนเรื่องอีก 10 ราย ที่ล้วนแล้วแต่ยืนยันตรงกันว่า ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงแต่อย่างใด!
บิ๊กตำรวจสายมูต
นอกจาก “วิธีใต้ดิน” ด้วยการใช้ลูกน้องไปหว่านล้อม และข่มขู่ เหมือนกับการส่งลูกน้องไปข่มขู่คุกคามอัยการอาวุโสที่เข้าร่วมทำคดีเครือข่ายเว็บพนัน จนเป็นข่าวครึกโครมไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมาแล้ว
ยังมีวิธีการที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้สนับสนุนผู้มีอุปการะคุณ และใช้โรมรันฝ่ายตรงข้าม ซึ่งล้วนขับเคลื่อนด้วยพื้นฐานของการใช้เล่ห์กลอย่างมีนัยยะแอบแฝง นอกจากเรื่องการใช้เล่ห์กล ยังสัปดนเลยเถิดไปไม่เว้นแม้แต่เรื่อง “เวทย์มนต์คุณไสย” ที่ใช้ทั้ง “ทำเสริมให้ผู้มีพระคุณ” และ ทำใส่เพื่อ “ตัดทอนวาสนาบารมีของคู่ขัดแย้ง” อีกด้วย
ในเรื่องนี้ มีตำรวจชั้นผู้น้อยบางรายที่ยังไม่ถอนเรื่องร้องทุกข์ ได้ให้การกับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะมีอาการไบโพลาร์ เพราะเป็นคนมี 2 บุคลิก ประกอบกับต้องรับยาจากแพทย์ที่ รพ.วิชัยยุทธ มาทานเป็นประจำ โดยช่วงที่ยังรับใช้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อยู่นั้น จะต้องมีการพาไปทำบุญที่วัดเกือบทุกวัน เพราะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นบุคคลที่เชื่อเรื่องพิธีกรรม และเรื่องไสยศาสตร์อย่างมาก
จากข้อมูลของอดีตนายตำรวจติดตามระบุว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นบุคคลประเภทชอบทำบุญ ทำพิธีกรรม ไปวัดวาอารามในช่วงค่ำ ชอบไปถวายสังฆทานที่ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ย่านเขตพระนคร ใกล้ถนนข้าวสาร โดยเลือกทำสังฆทานที่วัดแห่งนี้ทุกวันพระตอนกลางคืน เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
โดยร่ำลือกันว่าตลอดชีวิตราชการที่ผ่านมา เนื่องจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สร้างศัตรูเอาไว้มาก จึงทำให้เจ้าตัวเลือกวัดชนะสงครามฯ เป็นสถานที่ถวายสังฆทาน เนื่องจากตามประวัติของวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการรบชนะทัพพม่า ในสมัยรัชกาลที่ 1 ชื่อวัดยังเป็นมงคลด้านการเอาชนะคู่ต่อสู้ยามมีปัญหาขัดแย้งกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังชื่นชอบเดินทางไปทำพิธีมหาอุตม์ที่ วัดบางยี่ขัน ย่านบางพลัด โดยที่วัดบางยี่ขันนี้ มีชาวบ้านบอกว่า มักจะมีกลุ่มนายทหาร นายตำรวจ มากราบของพร หลวงพ่อนาค พระประธานในโบสถ์อยู่เสมอ เนื่องจากเชื่อในพุทธคุณเรื่องความคุ้มครองป้องกันภัย
นอกจากนี้ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่เคยพลาด คือการไป อาบน้ำแสงจันทร์ ที่วัดหงษ์รัตนารามราชวรวิหาร ฝั่งธนบุรี โดยการทำพิธีอาบน้ำมนต์จากสระน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ตามประวัติคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะต้องเสด็จมาทรงน้ำที่สระแห่งนี้ทุกครั้ง ในยามที่ต้องออกทำศึกสงคราม
ที่สำคัญที่สุดที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่เคยขาดคือ ทุกคืนวันพุธ ต้องไปไหว้พระราหูที่ วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม โดยจะต้องไหว้กลางคืน มีการจ้างนางรำ ถวายเครื่องเซ่นบูชา และกล่าวถึงบทกลอนต่างๆ ซึ่งช่วงที่ไปแบบถี่ๆ ทุกสัปดาห์ คือ ในก่อนสถานการณ์โควิด 19 นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มักจะเตรียมบทสวดสำคัญ เป็นคำกล่าวสรรเสริญ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้อุปการะไปสวด ไปท่องด้วย ส่วนในปัจจุบันแม้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะไม่ได้เดินทางสักการะพระราหูด้วยตนเอง
แต่ก็ยังไหว้วานให้เซียนพระคนสนิทอย่าง “เฮียอั้ง เมืองชล” หรือ นายสมภพ ไทยธีระเสถียร รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เดินทางมาประกอบพิธีให้ เกือบทุกวันพุธ ตอนกลางคืน มีเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนภายในวัดให้ข้อมูลกับทีมงาน ว่า การมาทำพิธีของคณะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กับ “อั้ง เมืองชล” แต่ละครั้ง ถือว่ามโหฬารไม่ธรรมดา มีการสั่งเครื่องบวงสรวง เครื่องเซ่นพระราหูชุดใหญ่ ราคาชุดละหลายหมื่นบาทจากต่างจังหวัดมาตั้งในปะรำพิธี มีการจ้างคณะนางรำในวัด รำถวายพระราหูชุดใหญ่ นอกจากนี้ก่อนอ่านคำบวงสรวง จะมีการพากันไปสวดมนต์ที่อาคารเอนกประสงค์ พระราหูเนรมิต นานนับชั่วโมงอีกด้วย
ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ทำให้บุคคลใกล้ชิดต้องถึงกับขนลุกขนพอง ในความสัปดน ก็คือ ในช่วงที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกให้ปลดออกจากตำแหน่งในปี 2562 ไปเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วงนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งการให้ “สารวัตรนนท์” ซึ่งเชื่อว่าก็คือ พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตาม คนเดียวกับที่ผมเคยเปิดเผยว่าเคยนำทองคำแท่งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปขายที่ร้านทองหลายครั้ง คิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้านบาท นำรูปถ่ายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ไปทำพิธีกรรมบางอย่างที่ วัดเขาบังเหย ชุมพลสีมาราม จังหวัดชัยภูมิ โดยมีการนำชื่อของบุคคลที่เป็นคู่กรณีไปร่วมทำพิธีกรรมที่ในวัดต่างจังหวัดอีกหลาย ๆ แห่ง อีกด้วย
เซียนพระตัวร้าย กับนายผู้ว่าฯ
สำหรับ “อั้ง เมืองชล” หรือนายสมภพ ไทยธีระเสถียร ก็คือเซียนพระผู้ที่ออกมาช่วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.โดยได้ให้การอ้างว่า ได้ซื้อพระเก่าล้ำค่ามากมายหลายองค์จากข้าราชการหลายคนโดยเฉพาะ “อดีตผู้ว่าฯ” คนหนึ่ง ตามคำแนะนำของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พอได้พระหายากมาจึงแบ่งเป็นค่าแนะนำ หรือ ค่านายหน้า โดยจ่ายเป็นเงินสดให้แก่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อย่างงาม
เมื่อปรากฎหลักฐาน การที่ “เฮียอั้ง” แบ่งค่าแนะนำ-ค่านายหน้าการซื้อขายพระเครื่อง ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มากมายขนาดนี้ ก็ทำเอาวงการพระเครื่องงงเป็นไก่ตาแตก เพราะมีแต่คนเสียสติเท่านั้น ที่จะให้ค่านายหน้าขายพระกันมากมายมหาศาลแบบที่ “เฮียอั้ง” ทำ
นอกจากนี้ที่เป็นเรื่องผิดปกติ และน่าตลกขบขัน เพราะโดยทั่วไปแล้ว คนที่จ่ายเงินค่าแนะนำให้แก่ “นายหน้า” นั้นมักจะเป็น “คนขาย” แต่นี่ดันเป็น “คนซื้อ” จ่ายค่า “นายหน้า” ซึ่งดูยังไงก็เป็นเรื่องพิลึกกึกกือ
ทั้งนี้ เมื่อรวมทุกรายการค่านายหน้าขายพระแล้ว ในห้วงเวลาประมาณ 3 ปีเศษ ระหว่าง เดือนมกราคม 2559 จนถึง เมษายน 2562 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ค่านายหน้าซื้อพระเครื่องจากเฮียอั้ง เป็นเงินมหาศาลถึง 13.7 ล้านบาท!!!
โดย “เฮียอั้ง เมืองชล” ได้ไปเป็นพยานให้การต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว เพื่อยืนยันว่า การได้มาซึ่งทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นโปร่งใส ไม่มีปัญหาร่ำรวยผิดปกติ
แต่เบื้องหลังแท้จริง ที่ต้องมีการอุปโลกน์ละครเรื่อง “เซียนพระตัวร้าย กับนายผู้ว่าฯ” ขึ้นมา เพราะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดันแสดงทรัพย์สินเป็นปืนที่ซื้อสะสมไว้ถึง 200 กระบอก แต่ไม่มีที่มาของรายได้ ที่นำมาซื้อปืนเหล่านั้น
คนใน ป.ป.ช.ที่สนิทสนมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินให้ โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.คนนี้ เห็นว่าบัญชีแสดงทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.มีตัวเลขไม่ลงตัว จำเป็นต้องแก้ไข แต่งบัญชีกันใหม่ให้สวย ๆ
คนใน ป.ป.ช.จึงมีการประสานให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเข้ามา โดย ส่วนที่เพิ่มเติมนี่เอง คือคำกล่าวอ้างว่ามีรายได้ 13.7 ล้านบาท จากการเป็นนายหน้าซื้อพระเครื่องให้ “เฮียอั้ง เมืองชล”
“เฮียอั้ง เมืองชล” ก็เลยต้องลุยไฟ เข้าให้การกับ ป.ป.ช. แบบเป็นตุเป็นตะ ทั้งการให้ปากคำ และการให้การเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
ขณะที่ ป.ป.ช.ทำงานแบบเชื่อง ๆ เมื่อเป็นเรื่องของ “บิ๊กโจ๊ก” พูดอะไรก็มาพร้อมจะพนักหน้าหงึก ๆ เชื่อถือทุกอย่าง แต่ฝ่ายพนักงานสอบสวนตำรวจที่ทำคดีฟอกเงิน เมื่อมองเห็นความไม่สมเหตุสมผลนานัปการ เลยจัดการ “จับโป๊ะ” คำให้การของ “เฮียอั้ง เมืองชล”
ซึ่งวิธีการตรวจสอบก็ง่ายมาก แค่ไปสอบปากคำ“อดีตผู้ว่าฯ”คนที่ถูกเฮียอั้งและบิ๊กโจ๊กอ้างถึง แค่นั้นเอง ความจริงก็พรั่งพรูออกมา ผ่านคำให้การของ“อดีตผู้ว่าฯ”ซึ่งไม่ยอมตกเป็นตัวละครหนึ่งของ “อั้ง เมืองชล” กับ “สุรเชษฐ์ หักพาล”
โดย อดีตผู้ว่าฯ คนดังกล่าวได้ให้การกับตำรวจว่า ตนเองเคยขายพระเครื่องให้ “เฮียอั้ง” จริง แต่แค่ครั้งเดียว และมีราคาจิ๊บจ๊อย แค่หมื่นกว่าบาทเท่านั้น ห่างไกลจากตัวเลข 13.7 ล้านบาท ที่มีคนเอาไปอ้างอย่างหน้าด้านๆ
ตามคำให้การของอดีตผู้ว่าฯ ระบุว่า ในวันที่มีการตกลงซื้อขายพระกันนั้น “เฮียอั้ง” กับภรรยา เดินทางมาพบอดีตผู้ว่าฯ ด้วยตัวเอง และ ภรรยาเฮียอั้ง เป็นคนถ่ายรูปคู่ “เฮียอั้งกับ อดีตผู้ว่าฯ” เอาไปด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งเดียว ที่อดีตผู้ว่าฯ ได้เห็นหน้าค่าตาคนที่ชื่อ “เฮียอั้ง” นายสมภพ ไทยธีระเสถียร หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ด้วยเหตุนี้ การแอบอ้างว่ามีการขายซื้อจำนวนมหาศาล จึงเป็นคำให้การเท็จล้วนๆ จาก “เฮียอั้ง” โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองก็ไม่น้อยหน้า ถึงขนาดอ้างว่าเป็นคนกลาง ให้เกิดดีลระหว่าง “เฮียอั้ง กับ อดีตผู้ว่าฯ”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ อดีตผู้ว่าฯ คนดังกล่าว ยืนยันด้วยว่า ไม่เคยรู้จัก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือ บิ๊กโจ๊ก มาก่อนเลย แล้ว “บิ๊กโจ๊ก” จะมาเป็นคนกลางแนะนำพระในการซื้อขายพระได้อย่างไร?
พนักงานสอบสวนวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่อดีตผู้ว่าฯ ถูกล็อกเป้าให้เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องการซื้อขาย “พระเครื่องทิพย์” เพราะเคยมีรูปคู่กันกับ “เฮียอั้ง” และเหตุผลสำคัญกว่านั้น เพราะอดีตผู้ว่าฯ อยู่ในวัยแก่ชรามากแล้ว ตอนนี้อายุมากกว่า 90 ปี ทางฝ่ายที่แอบอ้างเล็งเห็นว่าอดีตผู้ว่าฯ อาจจากโลกนี้ไปในไม่ช้า แล้วจะไม่มีใครมาพิสูจน์คำโกหกได้
เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเหมือนสำนวนที่ว่า“คนคำนวณ หรือจะสู้ฟ้าลิขิต”เพราะงานนี้ คน คำนวณผิดเต็ม ๆ อดีตผู้ว่าฯ ยังไม่ไปไหน และยังแข็งแรงพอจะรับรู้เรื่องเลวๆ ที่มีคนเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา จนต้องออกมาให้การกับตำรวจ เพื่อน็อกขบวนการปั้นพยานเท็จ !!!