xs
xsm
sm
md
lg

“Quadlips” เกิร์ลกรุ๊ปรวมวงแรกจากสมาชิกวงน้องสาว 48 กรุ๊ป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อมีการประกาศยูนิตวงของทาง 48 กรุ๊ป หลายๆ คนที่เป็นแฟนเพลงไอดอลย่อมที่จะตื่นเต้นเสมอ เพราะเชื่อว่าจะมีความแตกต่างจากที่ติดตามผลงานมา ซึ่งการรวมตัวเป็นวงในครั้งนี้นั้น นอกจากจะตอบโจทย์ที่ว่ามาแล้ว ยังเป็นความแตกต่างขึ้นไปอีก เพราะนี่คือสมาชิกที่มาจาก 4 วงน้องสาว ที่มาจาก 4 ประเทศของ 48 กรุ๊ปอีกด้วย

และกว่า 6 เดือนที่พวกเธอได้รวมตัวและทำงานในโปรเจกต์ ในที่สุดวง Quadlips ที่มีสมาชิกได้แก่ เฟนี JKT48 – เฟนี ฟิตริยานติ, ฮินะ SKE48 – อาโอมิ ฮินาโนะ, โคล MNL48 – แอชลีย์ นิโคล โซมีร่า และ เฟม BNK48 - นันทภัค กิตติรัตนวิวัฒน์ ที่ปล่อยซิงเกิลแรกอย่าง ‘Catch me Kiss me’ ให้เหล่าแฟนคลับและนักฟังเพลง ได้ทำความรู้จักพวกเธอทั้ง 4 และวงอย่างเป็นทางการเรียบร้อย


ที่มาที่ไปของโปรเจกต์นี้ มันเริ่มมาจากอะไรครับ

เฟนี : โปรเจกต์นี้ เริ่มมาจาก บริษัทซุปเปอร์บอล ที่เขาตั้งใจจะทำ โปรเจกต์ยูนิตย่อยของ 48 กรุ๊ป ซึ่งรวบรวมสมาชิกจากวงต่างๆ มารวมตัวกันเป็นสมาชิก

เฟม : ผ่านจากบริษัทของแต่ละวง ซึ่งเหมือนกับว่าได้มีการประชุมกัน แล้วก็เลือกสมาชิกของแต่ละวงมารวมตัวกันค่ะ ซึ่งเหมือนกับว่าแต่ละวงก็ไปถามสมาชิกในวงว่าอยากที่จะร่วมงานโปรเจคนี้หรือเปล่า เพราะว่ามีโปรเจกต์ตรงนี้ ซึ่งในที่สุดก็ได้เป็นพวกเรา 4 คนนี้ล่ะค่ะ

แล้วแต่ละคนมีผ่านการคัดเลือกยังไงครับ

เฟม : อารมณ์เหมือนกับว่าเข้ามาถามมากกว่าค่ะ บวกกับดูตามคาแรคเตอร์ และไลฟ์สไตล์ของพวกเรา อย่างอย่างทั้งสามคนก็มาเล่าให้หนูฟังว่า มันมีโปรเจคลักษณะอย่างนี้นะ เธอสนใจไหมอย่างที่บอก ซึ่งโดยส่วนตัวหนูก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกดี ก็เลยตัดสินใจว่าโอเคตกลงที่จะทำโปรเจกต์นี้มาร่วมกัน

เฟนี : คือทางบริษัท SuperBall เขาก็ดูตามคาแรกเตอร์อย่างที่เฟมบอก เพราะทางเขาตั้งใจที่จะทำเกิร์ลกรุ๊ปในเชิง Extreme Sport เขาก็ดูคาแรคเตอร์ของสมาชิกแต่ละคน ก็เลยทำการเชิญชวนในแต่ละวงว่าใครสนใจบ้าง

แล้วหลักการในการคัดเลือกแตกต่างจากยูนิตที่ผ่านมาของ 48 กรุ๊ป ยังไงบ้าง

เฟนี : อย่างยูนิตย่อยของแต่ละวงก่อนหน้านี้ก็จะมีการคัดเลือกเหมือนกัน แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ก็คือ เป็นยูนิตแรกที่ในวงกว้างระดับ Global รวมสมาชิกจากแต่ละประเทศแต่ละเมืองเข้ามา มันเลยทำให้เป็นการรวมกันจากแต่ละประเทศและแต่ละวัฒนธรรม

เฟม : คือโดยปกติแล้วยูนิตย่อยมันจะเป็นโปรเจกต์เฉพาะของแต่ละวงค่ะ อย่างของ BNK48 ก็จะมี เช่น Qrra ที่ทางผู้บริหารเขาจะทำการคุยกันเอง แต่วงนี้จะเป็นแบบ Global ซึ่งเป็นวงแรกด้วย มันก็เลยเกิดความแตกต่างตรงนี้ค่ะ เหมือนกับทางบริษัทของแต่ละคนในวงก็จะรู้ว่า แต่ละคนจะมีคาแรคเตอร์แบบนี้นะ แล้วเขาก็จะเข้าไปคุยเลยว่าอย่างนี้ๆ นะ สนใจไหม ประมาณนี้


เหมือนรู้สึกว่า จะเป็นการกึ่งๆ กระชับสัมพันธ์ของ 48 กรุ๊ป เลยนะ

เฟนี : อย่างก่อนหน้านี้มันก็จะมีงานอย่าง AKB48 Festival ซึ่งงานนั้นก็จะมีการรวมหลายๆวงเหมือนกัน แต่ว่างานนั้นก็จะเป็นงานระหว่าง AKB48 กับวงน้องสาวต่างๆ แต่โปรเจกต์นี้จะเป็นการรวมวงจากสมาชิกวงน้องสาววงต่างๆ ซึ่งก็รวมถึงวงน้องสาวของญี่ปุ่นอย่าง SKE48 ด้วย ซึ่งก็จะเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันที่วงน้องสาวจากญี่ปุ่นมาร่วมโปรเจกต์นี้ด้วย


แล้วแต่ละคน เคยได้ยินหรือรู้จักชื่อเสียงของกันและกันมาก่อนมั้ยครับ

เฟนี : ก่อนหน้านี้เราก็รู้จักชื่อของสมาชิกจากนั้นก็ทำการค้นหาข้อมูลต่อค่ะ

โคล : ส่วนหนูก็เห็นโปรไฟล์ของเพื่อนๆบ้าง แต่ก่อนหน้านั้นก็เคยเจอเฟนีมาก่อน

ฮินะ : ส่วนหนูก็ยังไม่เคยเจอสมาชิกคนอื่นมาก่อนเลย เพราะว่ามาที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกปุ๊บก็มีความตื่นเต้นมากๆ คือยังไม่รู้จักใครมาก่อน แต่ก่อนหน้านั้นก็อาจจะเคยเจอกันมาบ้าง ในช่วงที่ก่อนที่จะมาเมืองไทย อีกทั้งหนูก็ยังพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ค่อยดีนัก ยังไม่ได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษเลย แต่ก็มีเพื่อนๆเมมเบอร์ช่วย ตอนนี้ก็เลยเหมือนกับว่าเก่งขึ้นมากแล้ว เลยมีความรู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากขึ้นเพราะว่าได้คุยกับเพื่อนสมาชิกได้

เฟม : ส่วนหนูคือตอนแรกก็ยังไม่รู้จักใครเลย แค่เพียงรู้ว่ามีวงอะไรบ้าง เพราะเราเข้ามาเป็นสมาชิก BNK48 ด้วยชุดข้อมูลเป็นศูนย์ แต่พอพี่จ๊อบ (ณัฐพล บวรวัฒนะ) ได้เปิดโปรไฟล์ของสมาชิกแต่ละวง แกก็พูดว่า ‘เฟมเอาไปดู นี่แหละเพื่อนของเฟมในอนาคต’ ก็เลยเห็นแค่ 2 คนก่อนคือพี่เฟนีกับโคล โดยเฉพาะพี่เฟนี หนูก็จะดีใจเป็นพิเศษเพราะว่าชื่อเล่นในภาษาอังกฤษมีตัวเอฟเหมือนกัน เพราะใน BNK48 มีคนชื่อเอฟน้อย ส่วนโคล ก็จะเป็นในเชิงว่าอายุใกล้เคียงกัน ก็เลยมีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันได้

เฟนี : ส่วนหนูกับฮินะ ก็เคยเจอกันตามอีเว้นท์ต่างๆ เช่น งาน Tokyo Idol Festival แต่ว่าตอนนั้นก็ไม่ได้คุยกันเลย จะเป็นแบบการเห็นหน้าซึ่งกันและกัน และ แบบอ๋อคนนี้ชื่อนี้นี่เอง

เฟม : ส่วนพี่ฮินะ หนูจะเจอเขาเป็นคนสุดท้าย แต่จะเป็นในแบบข้อมูลว่างเปล่า ไม่มีรูปอะไรเลย ซึ่งในตอนแรกถือว่าเป็นความยากนะคะเพราะว่าตอนหาข้อมูลวงจะมีรูปเมมเบอร์คนอื่นพร้อมข้อมูล แต่พอเกิดเหตุตามที่บอกเราก็จะมีความงงว่าตกลงคนไหนกันแน่นะ


ทราบมาว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการร่วมงานระหว่างวงมาก่อน การทำงานในตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง

เฟนี : คือจริงๆแล้ว JKT48 เคยร่วมงานกับทาง SKE48 มาก่อน แต่ว่ายังไม่ได้ร่วมงานกับฮินะ แต่ส่วนของ JKT48 กับ MNL48 โดยวงหลังเป็นแขกรับเชิญไปร่วมแสดงที่อินโด ไปออกรายการร่วมกัน

โคล : ซึ่งทาง JKT48 ก็น่ารักมากๆนะคะ มีของขวัญให้กับทาง MNL48 ด้วย เลยได้เป็นเพื่อนกัน โลกออนไลน์ก็มีแอบคุยกันหลังจากนั้น

เฟนี : จริงๆทาง JKT48 ก็เคยร่วมงานกับ BNK48 มาก่อนนะคะ รวมถึง MNL48 ด้วยก็คืองาน 48 Festival แต่การร่วมงานในครั้งนั้นก็อาจจะยังไม่ถึงรุ่น 3 ของ BNK48 ซึ่งหนูก็เคยร่วมงานกับทุกวงที่ว่ามาหมดแล้วนะ เพราะว่าเราเป็นไอดอลมา 10 ปีแล้ว ก็เลยผ่านกิจกรรมที่ว่านี้มาทั้งหมดเลย (หัวเราะ)

เฟม : จะเป็น BNK48 รุ่น 1 ส่วนถ้าเป็นตอนที่หนูเริ่มเข้าวงมาก็จะเป็นงาน Circle Jam ซึ่งมีทุกวงแต่ไม่มี SKE48 แต่มี AKB48 มาแทน


ด้วยความที่ไม่เคยมียูนิตข้ามประเทศ ใน 48 กรุ๊ปกันมาก่อน การทำงานของแต่ละคนในครั้งนี้ มันมีความยากและท้าทายยังไง

เฟม : อย่างของหนูก็จะเป็นเรื่องของ พี่ๆ เขามีประสบการณ์ในตรงนี้มาก่อนเรา แล้วเราก็โดนปลูกฝังมาว่าต้องมีความเคารพและทำงานกับเขาให้ได้นะ สำหรับหนูความยากก็คือต้องเป็นเด็กดีค่ะ คือโดยส่วนตัวปกตินั้น หนูก็มาซ้อมและทำงานปกติอยู่แล้ว แต่พอเป็นการทำงานในครั้งนี้เราก็มีความรู้สึกว่าต้องเป็นที่มากๆ กว่าปกติที่ทำอยู่แล้ว เลยมีความรู้สึกเครียดว่าจะทำไหวไหม

แต่พอได้มาทำจริงๆแล้วมันก็รู้สึกว่าไหว แบบเดี๋ยวมันก็มาเอง ส่วนเรื่องประสบการณ์ในการทำงาน เราก็กังวลในเรื่องว่าต้องวางตัวยังไง ต้องมีการเพิ่มหรือลดตรงไหน เลยทำให้เป็นความกดดันของเราเองมากกว่า มันเป็นเรื่องของการเพิ่มทักษะให้เท่ากับพี่ๆเขา เป็นในลักษณะนี้มากกว่าค่ะ

โคล : เรื่องที่ยากสำหรับหนูเหรอคะ อย่างแรกก็น่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร เพราะก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาในเรื่องนี้บ้าง แต่ในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว อาจจะด้วยเรื่องของความสนใจ วัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ หรือว่าการทำงานของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันเลย มันก็จะมีเรื่องความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่โดยส่วนตัวเราถือว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้ทั้งกับเพื่อนและเรื่องวัฒนธรรมอื่นๆ ที่มีความแตกต่างจากเรา ทำให้เราได้เรียนรู้จากตรงนั้นมาเรื่อยๆ ทำความเข้าใจและปรับตัวเข้าหาเข้าเรื่อยๆ จนตอนนี้ประมาณว่า ไม่ต้องพูดออกมาแค่ใช้ภาษากายก็เข้าใจกันแล้ว

ฮินะ : ส่วนหนูก็น่าจะเป็นเรื่องของกำแพงภาษาเหมือนกัน เพราะว่าตอนที่อยู่ญี่ปุ่นก็แทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย อย่างตอนสมัยเรียนก็จะมีการเรียนภาษาอังกฤษบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางการเขียนมากกว่าการพูด ซึ่งอย่างหลังอาจจะมีแค่นิดหน่อย อีกทั้งภาษาญี่ปุ่นตอนออกเสียง ไม่เหมือนกับภาษาอังกฤษ อย่างเช่นคำว่า English ภาษาญี่ปุ่นจะออกเสียงว่า อิงลิชชึ มันเลยทำให้มีความทั้งพูดยากและฟังยาก แต่ในตอนนี้ก็ค่อยๆ เรียนดีขึ้นแล้ว บวกกับมีเพื่อนๆในวงที่เข้าใจ โดยรวมคือภาษาอังกฤษอาจจะยังไม่ดีมาก จะค่อยๆพูดเป็นศัพท์ทีละคำไป แต่เพื่อนๆก็ยังเข้าใจ หนูก็จะพยายามต่อไปค่ะ (ยิ้ม)

เฟนี : ส่วนเราด้วยความที่เป็นตำแหน่งผู้นำของวง เลยรู้สึกว่ามีความกดดัน เพราะว่าอยากจะให้ทุกคนมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำงานร่วมกันได้ ซึ่งความรู้สึกที่ว่านี้มันก็เกิดขึ้นในช่วงแรกของการทำงานกับ เนื่องจากเมมเบอร์เวลามีปัญหาอะไรก็จะมาปรึกษาเรา ซึ่งเราก็พยายามที่จะช่วยแก้ปัญหาตรงนั้น เราก็เลยค่อนข้างที่จะคุยกับทีมงานเยอะมากๆ เพื่อที่จะให้ทางวงดียิ่งๆขึ้นไป โดยเฉพาะกับฮินะ เราก็มีความเป็นห่วงเพราะด้วยที่เราก็สื่อสารภาษาญี่ปุ่นไม่เก่งเช่นกัน เลยอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการสื่อสารบ้านนิดหน่อย แต่พอมา ณ ตอนนี้ ก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันค่อนข้างที่จะค่อยๆลงตัวและดีขึ้น


อย่างเฟนีเอง ในฐานะที่เป็นผู้นำวง การทำงานตรงนี้ มันแตกต่างจากตอนเป็น JKT48 มากน้อยแค่ไหน

เฟนี : ถ้าถามเรื่องความยาก โดยส่วนตัวเราคิดว่าการเป็นผู้นำวงมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ซึ่งแตกต่างจากตอนอยู่ JKT48 ที่ต้องดูแลสมาชิกในวงถึง 7 รุ่น และเป็นจำนวนมาก แล้วถ้าเพิ่มมาอีก 3 คน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ แต่ความยากก็น่าจะเป็นเรื่องของภาษาว่าเราจะสื่อสารยังไง อีกทางเราก็อยากให้เพื่อนในวงรู้สึกว่ามีความมั่นใจในตัวเอง

โคล : อย่างพี่เฟนี เขาก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจเพื่อนในวงอยู่ตลอดเวลา เพราะเขามีอายุและประสบการณ์มากที่สุดในวง เขาจะคอยสอนและบอกเพื่อนในวงตลอดค่ะ เราก็ขอขอบคุณพี่เฟนีสำหรับตรงนี้ด้วย แม้ว่าบางครั้งเขาอาจจะดูน่ากลัว (หัวเราะ) แต่ก็มีคนสำคัญกับวงค่ะ


แล้วการเป็นน้องเล็กในวงของเฟม เมื่อเทียบการอยู่ BNK48

เฟม : จริงๆ หนูก็เพิ่งรู้จากพี่เฟนีเหมือนกันว่า การที่อยู่กับคนห่างแต่ละช่วงวัยก็จะมีในเรื่องของการวางตัวที่ไม่เหมือนกัน อีกทั้งด้วยความที่หนูเป็นทั้งการเป็นน้องเล็กในบ้านและตระกูลด้วย นิสัยของเราก็จะออกไปในทางเด็กน้อย คือไม่ใช่ขี้เกียจนะคะแต่ก็จะมีความงุ้งงิ้ง ขี้อ้อน ซึ่งความต่างก็คือ เรารู้สึกว่าได้เป็นตัวเองมากขึ้น เพราะทั้ง 3 คนด้วยความที่โตกว่าเรา และคอยสนับสนุนเราตลอดเวลา

ซึ่งอาจจะมีความต่างเล็กน้อยกับตอนอยู่ BNK48 แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนับสนุนนะคะ แต่จะเป็นเรื่องของกลุ่มเพื่อนสนิทในวง ที่กว่าจะวนได้มาทำงานร่วมกันมันยาก อย่างเจ้าเข็ม (ชนิกานต์ บุษดี) ที่อยู่ด้วยกันมา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปี ถึงจะได้มีเพลงด้วยกันครั้งแรก ซึ่งถ้าไม่ใช่แฟนคลับทำให้ หนูก็คิดว่าคงไม่น่าวนมาเจอและทำงานด้วยกัน เพราะโอกาสนี้มันยากมากๆ ซึ่งเราก็รอช่วงเวลาอย่างที่บอกไป เราก็รู้สึกว่ามันยากที่จะจูนให้ติดกับทุกคน

คือใน BNK48 ก็มีการสนับสนุนกันตลอดนะคะ แต่ว่าด้วยความที่การทำงานในแต่ละครั้งมันก็จะมีการวนไปวนมา ซึ่งโดยส่วนตัวเราในบางครั้งก็หลุดไปอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาอาจจะคุยกับเราคนละเรื่องกัน ซึ่งแม้ว่าแต่ละกลุ่มพร้อมต้อนรับเราเสมออยู่นะ แต่ก็จะมีความเกร็งๆ กันอยู่ ซึ่งแม้ว่าแต่ละคนจะมีความชอบที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความพยายามที่มาจูนกันอยู่ประมาณนั้น


อยากให้เล่าถึงตอนที่พบเจอกันครั้งแรกสุดของแต่ละคนว่าเป็นยังไงบ้าง

เฟนี : แต่ละคนพอมาเจอกันครั้งแรก แล้วอยู่ด้วยกันปุ๊บก็ค่อยๆ ที่จะสนิทกัน แล้วไม่มีการเวิร์กช็อปให้มาทำความรู้จักกันก่อนเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ว่าเคมีตรงกัน คือเจอหน้ากันปุ๊บก็สนิทกันเร็วและเป็นธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องพยายามเยอะ

เฟม : คือจะมีความเฟรนลี่และกล้าพูด ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่เมมเบอร์วงบางคน เขาอาจจะมีความขี้อาย แล้วเขาจะไม่พูดออกมาและเก็บความรู้สึกไป แต่พวกเราทั้ง 4 คนก็มีความกล้าที่จะพูดความรู้สึกออกไปในแต่ละครั้ง อย่างเวลาช่วงตรงนั้นมีความรู้สึกยังไงเช่น กำลังท้อ กำลังเศร้า ก็จะมีการพูดตรงๆ แล้วก็มีการรับฟังในแต่ละครั้ง อีกทั้ง แต่ละคนในวงก็จะอยู่ในแต่ละวง ก็อาจจะเจอเมมเบอร์บางคนที่เขาเก็บอารมณ์ แล้วไม่พูดและนิ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดและเป็นอะไร ซึ่งพอเป็นเพื่อนๆ ในวงนี้ก็จะเป็นเขาก็จะพูดเลย

เฟนี : คือถึงแม้ว่าเพิ่งจะอยู่ด้วยกันแค่ 6 เดือน แต่พวกเราก็มีความเข้าใจกัน เข้าใจในนิสัยแต่ละคน อย่างเช่นว่า ถ้าอารมณ์ของคนหนึ่งไม่โอเคในช่วงเวลาตรงนั้น เราก็จะทำการให้เวลาเขาและพื้นที่ส่วนตัวหน่อย เขาก็จะเข้าใจว่าช่วงเวลาตรงนั้นให้เขาอยู่คนเดียวก่อนไหม และก็จะไม่มีความลับต่อกันด้วย เลยทำให้สามารถที่จะคุยกันได้ทุกเรื่องทั้งหมด


ซึ่งพอเฟมมาพบกับลักษณะอย่างนี้ โดยส่วนตัวถือว่าเป็นข้อดีด้วยมั้ย

เฟม : หนูว่ามันดีมากๆ เลยค่ะ จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา หนูรู้สึกว่าการที่ไม่พูดนั้นมันน่ากลัวนะ เพราะปฏิกิริยาอย่างนั้นมันอาจจะทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าคิดไปเอง และคิดแทนเขาซึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกไปเองว่า หรือว่าเราทำตัวไม่ดีหรือเปล่า หรืออะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เกิดการเลยเถิดได้ จนอาจจะมีความสัมพันธ์ที่แตกไปจนไม่อาจสนิทกันได้ ซึ่งพอเรามาเจอลักษณะอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ


พูดถึงซิงเกิลแรกของวง “Catch me Kiss me” หน่อยครับ

ฮินะ : เพลงนี้ค่อนข้างที่จะมี energy ซึ่งในสไตล์เพลงนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเพลงของก่อนหน้านี้ที่มาจาก 48 กรุ๊ปมากๆ คือไม่ใช่แค่เพลงอย่างเดียว รวมไปถึงมิวสิควีดีโอและคอสตูม เรียกได้ว่ามีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เราเลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจและชอบ ซึ่งคิดว่าแฟนๆก็น่าจะชอบในลักษณะนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าเพลงของ 48 กรุ๊ป จะเป็นในลักษณะที่น่ารัก สดใส แต่อาจจะมีการผสมแนวฮิปฮอปอยู่บ้าง ทั้งในของ SKE48 และ JKT48 แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะออกไปทางน่ารักอย่างที่บอก แต่พอเป็นซิงเกิลนี้ปุ๊บ ก็เลยทำให้มีความแตกต่างกันมาก

โคล : สำหรับหนูคิดว่าเพลงนี้ ให้เห็นความน่าตื่นเต้นในการเล่นสเก็ตบอร์ด คิดว่าน่าจะโชว์ในส่วนตรงนี้ ให้เห็นความน่าตื่นเต้นและสนุกกับการเล่นสเก็ตบอร์ด อาจจะ บิลอัพอารมณ์ให้คนดูตื่นเต้นตาม

เฟนี : หนูเห็นด้วยกับโคลนะ ในเรื่องสเก็ตบอร์ด แล้วก็คอนเซปต์วง ก็เป็นทีมแบบว่าจะส่งเสริมในกีฬา Extreme อยู่แล้ว ซึ่งในซิงเกิลถัดๆไป ก็ต้องลุ้นดูว่า จะนำกีฬา Extreme ใดมาทำเป็นเพลงถัดไปของวงหรือเปล่า ก็ต้องดูกันต่อไปเพราะว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ (ยิ้ม)

เฟม : ซิงเกิลนี้จะเป็นแนวฮิปฮอป ซึ่งจะแสดงให้ถึงความมั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังให้ความรู้สึกว่าต้องต่อสู้กับการต่อต้าน ซึ่งถ้าเอาเนื้อเพลงมาเปิดกางดู แล้วเจาะไปทีละท่อน อย่างท่อนที่หนูได้ก็จะร้องว่า Can't hear your nonsense My watch is tick tacking ประมาณว่า จะมาฟังเรื่องแบบนี้ทำไมในช่วงที่เวลากำลังเดินอยู่ ฉันกับเพื่อนของฉันก็จะไปแล้วนะ ไปปาร์ตี้กัน ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันค่อนข้างแรง มันเหมือนกับกำลังต่อสู้กับคนที่เขาพร้อมที่จะเหยียบย่ำเรา แต่เราก็จะเป็นแบบว่า อ๋อไม่มีเวลาฟังหรอกค่ะ

ส่วนท่อนพี่เฟนี ก็จะประมาณว่าหยุดแอ็คอาร์ตเหมือนกับในโปสเตอร์ได้แล้ว โดยรวมในแต่ละท่อนในเพลงมันค่อนข้างมีความหมาย คือไม่ได้มีการคัด member ร้องจากความหมายนะคะ แต่จะคัดแบบว่าใครร้องท่อนไหนแล้วมันเข้า ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันเป็นความลงตัวและเท่มากๆ


ซึ่งมันก็กึ่งๆ สะท้อนตัวตนของตัวเองนิดๆ ด้วย

เฟม : ใช่ค่ะ คือหนูจะค่อนข้างกดดันและดูถูกตัวเอง ประมาณว่า เราคงไม่เก่งหรอกมั้ง เพราะว่า BNK48 จะมีการแบ่งการทำงานกันระหว่างคนอยู่ทีมกับคนที่ยังเป็นเด็กฝึก ซึ่งเราเคยสอบไม่ผ่านในการสอบฝึกมาประมาณ 4-5 ครั้ง ซึ่งตรงนั้นมันทำให้รู้สึกครั้งแรกว่ามันเหมือนมีกำแพงประมาณนี้ (ทำท่าประกอบ) ขวางอยู่ ก็เลยเกิดความรู้สึกเศร้าว่า มันอยู่แค่นี้เอง ทำไมทำไม่ได้สักทีนะ แต่พอได้ติดทีมในวง เราเหมือนรู้สึกว่าเป็นการปลดล็อคตรงนี้ได้ แล้วหนูก็เคยออดิชั่น Qrra ด้วย แล้วก็ไม่ได้ ซึ่งเป้าหมายของเราในการอยู่วง ก็คืออยากจะติดสักยูนิตนึง แล้วพอมาร่วมยูนิตนี้ มันเหมือนกับเป็นเป้าหมายสูงสุดแล้ว แต่พอมาอยู่ใน จุดๆ นี้แล้ว เราจะทำยังไงให้มันได้ไปไกลกว่านี้


อีกด้านหนึ่ง จากประสบการณ์ที่เจอกันมาของแต่ละคนในวง 48 กรุ๊ปต่างๆ คิดว่ามีส่วนไหนที่มีความคล้าย ความต่าง และแต่ละคนมีการปรับเข้าหายังไงบ้างครับ

เฟนี : จริงๆ มันเยอะมาก อย่างของ JKT48 เขาก็จะอิงกฎตาม AKB48 ซะเยอะ ซึ่งเราก็นำมาใช้กับการทำงานในวงนี้ร่วมกัน ถึงแม้ว่าในแต่ละวงจะมีกฎที่ไม่เหมือนกัน แต่เราก็จะเป็นคนที่คอยบอกและแนะนำว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ และควรมีกฎแบบนี้ๆ ประมาณนั้น

เฟม : ส่วนทาง BNK48 ก็อิงตามกฎ AKB48 เหมือนกันค่ะ แต่ก็จะมีบางอย่างที่แตกต่างบ้าง เพราะอาจจะด้วยเรื่องของวัฒนธรรม เช่นเรื่องรสนิยมของคนไทยกับคนญี่ปุ่นที่ต่างกัน ก็อาจจะทำให้แตกต่างบ้างในแต่ละกรณี

แต่ก็มีข้อจำกัดบ้าง คือเรื่องการเรียน ที่สมาชิกวง BNK48 ที่ปัจจุบันนี้มีการเรียนทั้งระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย ทำให้เราต้องมีการแบ่งเวลาและกิจกรรมในวงที่ไม่เหมือนกัน เพราะว่าคนไทยต้องให้ความสำคัญกับการเรียนก่อน หนูเลยรู้สึกว่าข้อนี้คือข้อแตกต่าง ซึ่งพอเกิดอาการล้าจากการเรียนในแต่ละวัน อาจจะทำให้การซ้อมกับวงมีความเหลาะแหละบ้าง แต่จะมีคุณครูและทีมงานของวง คอยกระตุ้นและให้กำลังใจบ้าง ประมาณว่า คือถ้าเธออยู่ตรงนี้แล้วไม่เต็มที่ ไม่เป็นไร แต่ต้องทำการบ้านมานะ แล้ววันถัดมาต้องเต้นให้ได้ แล้วเวลาไปทำงานก็ต้องทำให้ได้ มันจะเป็นในลักษณะนี้มากกว่า แต่พี่ๆ เขาจะมีการเต็มที่กับการซ้อม แบบชั่วโมงนี้ใช่มั้ย ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้จะเหนื่อยมายังไง แต่ ณ การซ้อมยังไงต้องเต็มที่ เธอต้องเต็มทีด้วยครับ ในมุมนึงเราก็รู้สึกว่าทำให้เราแข็งแรงขึ้นด้วย หมายถึงว่าพี่ๆเขาแข็งแรง เราก็ต้องแข็งแรงตาม (หัวเราะเบาๆ)

เฟนี : สำหรับเราบางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศนะ อย่างประเทศไทยมันก็จะมีปัญหาเรื่องรถติด ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของประเทศนั้นๆ เลยอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องเวลาที่มีความเหลื่อมๆ ซึ่งส่วนตัวเราถือว่าเป็นคนที่รักษาเวลา นัดแล้วยังไงก็ต้องมา อาจจะมาตรงหรือก่อนเวลาที่นัดหมาย

ฮินะ : ส่วนของเราต้องมาก่อนเวลานัดอย่างน้อย 10 นาที ซึ่งพอมาทำงานในประเทศไทยมันก็เลยทำให้เกิดการส่ายบ้าง เราก็อาจจะมีการแปลกใจบ้างว่าทำไมเรามาถึงก่อนคนเดียว (หัวเราะ)

โคล : ส่วนเรา ก็มีทั้งข้อที่เหมือนกันและข้อที่แตกต่างกัน อย่างข้อที่แตกต่างกัน คือตอนอยู่ MNL48 ก็จะมีรุ่นพี่ที่เป็นเซ็นไป ซึ่งตอนที่เราอยู่ในวง ณ ตอนนั้นก็เป็นรุ่นพี่ ก็จะมีรุ่นน้องที่คอยทำตามเรา แต่พอมาอยู่ในวงนี้ อาจจะมีความแตกต่าง หรืออย่างที่เวลาให้โจทย์ว่าต้องทำงานอะไรยังไง ก็อาจจะมีการทำงานที่แตกต่างกันบ้างนิดหน่อย ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะทำให้ไม่เข้าใจบ้าง โดยสอดคล้องกับเรื่องภาษาอย่างที่บอกไป ส่วนข้อที่เหมือนกัน เราก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองที่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ กับทั้ง 2 วง


ถ้าให้สมาชิกแต่ละคน นึกถึงจุดเด่นหลักของสมาชิกอีกคน แต่ละคนจะนึกถึงเรื่องอะไรครับ

เฟนี : ถ้าพูดถึงเฟม ก็จะนึกถึงคำว่า ‘น้องสาว’ เป็นน้องเล็กขี้อ้อนค่ะ เรารู้สึกเอ็นดูและดีใจที่เฟมเป็นตัวของตัวเอง

ส่วนโคล เราก็รู้สึกว่าเป็น “น้องสาว” อีกคนเหมือนกัน เพราะเวลาที่ต่างคนต่างกลับประเทศตัวเอง และห่างกัน จะคอยนึกถึงเป็นห่วงว่า กินข้าวหรือยัง อยู่ดีไหม นอนหลับหรือเปล่า มีการคอยนึกถึงอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวจะเป็นยังไงไหม ไปที่ไหนจะคุยกับคนอื่นได้ไหม

ด้านฮินะ ก็จะเป็นในเรื่องของการแชร์ความคิดที่เหมือนๆกัน คุยในเรื่องเดียวกันได้ เพราะอายุห่างกันไม่มาก ซึ่งต่างจาก 2 คนที่จะอายุห่างกันหน่อย ฮืนะก็จะเป็นคนที่คุยด้วยได้และมี mindset ที่ใกล้เคียงกัน

เฟม : พี่ฮินะ ต้องเป็นคำว่า “ครูสอนเต้น” ก็เลยนึกถึงคำนี้ เพราะเวลาที่สอนหนูเต้น เขาจะเข้มงวด ถ้าไม่โอเค เขาจะไม่ปล่อยเลย แล้วก็เรื่องกินที่ใกล้เคียงกัน เป็นประเภทเดียวกันคือไม่ค่อยกินจุกจิกแต่กินมื้อใหญ่เลย ก็เลยอยู่ด้วยกันได้

ส่วนโคลจะเป็น “คู่หู” และ “เพื่อนบอย” ไปหาของกินค่ะ เพราะว่าเราชอบกินอาหารประเภทใกล้เคียงกัน เช่น พาสต้า หรือ พิซซ่า ส่วนคำนิยามหลัง ประมาณว่า เพราะว่าโคลเขามีนิสัยลุยๆเหมือนกับหนู ไปไหนไปกันได้ ซึ่งบางครั้งเขาก็ดูเท่ แต่ก็เป็นสาวเซ็กซี่ได้เหมือนกัน ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันมีความคล้ายๆกัน ก็เลยมีการคุยที่ถูกคอ อาจจะไม่หวานจ๋าแต่ก็ไม่ได้ไปแบบสวยสุด มีความอยู่ระหว่างคำว่าสวยกับคำว่าหล่อ ก็เลยมีความนิสัยใกล้เคียงกัน

และ พี่เฟนี จะเป็น “แม่” ค่ะ เพราะพี่เขาจะเป็นคนที่เทคแคร์ซึ่งความรู้สึกนี้มันใกล้เคียงกับคำนิยามที่หนูให้ คอยให้กำลังใจเวลาที่เราทำได้ไม่ค่อยดีว่าไม่เป็นไรนะทำใหม่ อย่างในเรื่องหนูมีปัญหาเรื่องสีหน้าและการแสดงออก เขาก็บอกเราว่า มานี่เดี๋ยวสอนให้ แล้วพี่เขาก็สอนได้หมดเลย เหมือน all arounder อีกทั้งก็จะช่วยในเรื่องของการแต่งตัวให้ด้วยค่ะ


ฮินะ : เฟมก็จะมีลักษณะประมาณว่า “เบบี๋เด็กน้อย” เพราะว่ามีลักษณะขี้อ้อน บางครั้งก็ติด skinship ชอบไปเกาะแกะคนนู้นคนนี้ เราเลยรู้สึกว่ามีความน่ารักแบบเบบี๋เด็กน้อย แล้วก็บางครั้งก็จะดูแบบบอยๆ น้องชายคนเล็ก แล้วก็เป็นเพื่อนที่ไปกินข้าวด้วยกัน

ด้านเฟนี เขาก็จะมีความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยประมาณหนึ่ง เช่นรู้จักเรื่องอาหาร หรือว่าสถานที่ เขาก็จะคอยบอกและพาไป อีกทั้งเป็นเพื่อนที่ชอบไปช้อปปิ้งด้วยกันทั้งคู่

ส่วนโคล เขาจะมีความชอบเรื่องหนังอเมริกัน เพราะว่าตอนเราอยู่ญี่ปุ่นก็ชอบดูหนังอยู่บ่อยๆ พอมาเจอโคลก็รู้สึกว่าเขามีแอคติ้งเหมือนในหนังอเมริกันเลย เวลาแสดงออกอะไรก็แสดงออกแบบ Over acting ชัดเจน เราเลยรู้สึกว่าโคลเป็นคนที่ตลกและน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นคนที่แบบพูดไปเรื่อยและเยอะ ซึ่งขัดกับบุคลิกภายนอกที่ดูโต แต่ก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ แต่ทั้ง 3 คนเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันหมดนะคะ

โคล : สำหรับเฟม ด้วยความที่ส่วนตัวครอบครัวเราจะมีน้องๆ เราเลยมีความรู้สึกว่าเป็นเขาน้องสาวของเราอีกคนหนึ่ง และอายุใกล้เคียงกันด้วย แล้วมันรู้สึกว่ามีการผ่านอะไรมาคล้ายๆกันก็จะเข้าใจกันได้

ส่วนพี่ฮินะ ก็เป็นพี่สาวที่เรารู้สึกว่าไม่เคยมีมาก่อน เพราะโดยส่วนตัวเราเป็นพี่สาวคนโต เราเลยรู้สึกว่าเขาเป็นพี่สาวเราอีกที แล้วเขาจะคอยช่วยสอนเรื่องเต้นและเรื่องการใช้ชีวิต เขาจะเป็นคนที่คอยเตือนว่าต้องทำอย่างนี้อย่าทำอย่างนี้นะ แพงนะไม่ควรซื้อนะ เขาจะช่วยให้คำแนะนำต่างๆในชีวิต

ด้านพี่เฟนี จะมองได้ 2 แบบ คือในเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิตปกติทั่วไป ในส่วนแรกเรื่องการทำงาน เขาจะเป็นคนเข้มงวดมากๆ เพราะเขาก็อยากที่จะให้งานออกมาดี เนื่องจากส่วนตัวเราอาจจะติดขัดในเรื่องการซ้อมและการแสดงออก เฟนีก็จะมาช่วยในเรื่องตรงนี้ เราเลยรู้สึกว่ากลัวจัง (หัวเราะเบาๆ) ส่วนอีกด้าน เขาก็จะเป็นคนที่สามารถคุยได้ทุกเรื่อง ต่อให้เราอยู่ในอารมณ์ยังไง ก็สามารถคุยกับเขาแบบตรงๆได้ แต่โดยรวมของทุกคนเราก็ถือว่าพวกเขาก็เป็นคนที่น่านับถือนะ และมีเสน่ห์ในตัวเอง


อยากให้ทั้ง 4 คน แนะนำจุดเด่นของแต่ละชาติ ที่คิดว่าทั้ง 3 คนที่เหลือ ไม่รู้จักแน่ๆ มาซักอย่างครับ

เฟม : ก็คงต้องเป็นเรื่องสายมูเตลูค่ะ เพราะว่าบ้านเราจะมีลักษณะชอบทำบุญ และก็มีของศักดิ์สิทธิ์เยอะ หนูคิดว่าของดีของบ้านเราก็น่าจะเป็นเรื่องความเชื่อมากกว่า ซึ่งเราคิดว่าพี่ๆก็น่าจะไม่รู้กันเพราะว่าอาจจะด้วยนับถือคนละศาสนาด้วย แล้วด้วยความที่คนไทยชอบสายมูใช่ไหมคะ มันเลยมีสถานที่หลายที่ที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ หนูเลยคิดว่าพี่ๆเขาน่าจะไม่รู้เพราะเขาน่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินที่เป็นปัจจัยแรกมากกว่า

เฟนี : คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในอินโดนีเซียค่ะ โดยเฉพาะชายหาดที่นี่จะมีเยอะมากๆ เราว่าเพื่อนๆในวงก็น่าจะยังไม่รู้จัก ก็อยากจะพาเพื่อนไปดูวิวและชายหาดสวยๆ เพราะว่ามีที่สวยๆ เยอะมากเลย

โคล : เราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของ “คน” นะ เพราะคนฟิลิปปินส์จะเป็นคนที่คอยดูแลใส่ใจมาก ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งเขาอาจจะไม่ตอบแบบตรงๆแต่ก็จะพยายามสื่อสารออกมายังไงก็ได้ให้คนที่เข้ามาถาม สามารถไปได้แบบถูกทาง หรืออย่างกรณีที่เชิญแขกมาที่บ้าน ก็จะดูแลอย่างดีที่สุด

ฮินะ : ส่วนที่ญี่ปุ่นก็จะเป็นเรื่องของคนที่มีความใจดีกับนักท่องเที่ยวมากๆ เวลาไปที่สถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนก็จะมีของฝากน่ารักๆ เต็มไปหมด อีกทั้งสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก็จะมีครอบคลุมทุกฤดู ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาวหรือฤดูร้อน ทั้งหิมะหรือไปแช่ออนเซ็น ที่สามารถตอบโจทย์ให้กับนักท่องเที่ยวของแต่ละคนได้


คิดยังไงกับเพลงป็อปในปัจจุบันครับ

โคล : เรารู้สึกว่าคนที่ฟังเพลงในปัจจุบันนี้ ก็มีการฟังเพลงที่หลากหลายในคนที่อยู่ด้วยแล้วเติบโตมา แต่โดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าเพลงป๊อปในปัจจุบันนี้ มันก็มีการหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่ในประเภทเดียว ในบางครั้งเพลงป๊อปก็มีการผสมผสานแนวดนตรีอื่นเข้าไป เช่นแนว Country แนว r&b แนว Rock หรือ Rock หรือแนวฮิปฮอป เลยทำให้มีความรู้สึกว่ามีการเปิดกว้างหลากหลายมากๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราสามารถฟังเพลงได้หลากหลายแนวได้ในเพลงๆ เดียว

เฟม : สำหรับหนูนะคะ สลับหนูถ้าเป็นในเมืองไทยนะคะ มันเหมือนกับเดินทางไปข้างหน้า แต่พอช่วง 2017 มา ก็เกิดเพลงแนวใหม่มาเรื่อยๆ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง มันก็จะย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้ง จะเป็นคล้ายๆแนวเพลงของ Kamikaze ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ที่ทำให้กลับมาดังอีกครั้ง แล้วเกิดการวนกลับมาดังอีกรอบ แบบหลายเพลงมากๆ หนูเลยรู้สึกว่าเพลงป๊อปในช่วงนั้นมันแทบจะกลับมาหมดเลยทุกเพลง จากก่อนหน้านี้ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจแต่พอกลับมาฟังอีกทีในตอนนี้ มันรู้สึกว่าตลกและสนุก เลยเข้าใจแล้วว่า ลำไย ไหทองคำเป็นอย่างนี้นี่เอง (หัวเราะ)


อยากแนะนำตัวหรือแนะนำจุดแข็งของวงในเรื่องใด สำหรับคนที่ไม่ได้ตามวง 48 Group หรือรู้ปูมหลังแต่ละคนมาก่อน

เฟนี : ก็ขอยินดีต้อนรับสู่วงนะคะ เราอยากจะบอกว่าวงของเราจะมีเพลงที่หลากหลายในอนาคต ก็คิดว่าน่าจะถูกใจทั้งตัวเพลงและสมาชิกวงหลายๆคนได้ รวมถึงอาจจะถูกใจกีฬา Extreme เพลงของเราก็อาจจะเป็นเพื่อนของคุณได้ และเราก็หวังว่าเพลงของเราจะเป็นกำลังใจให้มีพลังและสดใสขึ้นได้ และหวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนฟังได้ค่ะ

ฮินะ : ก็อยากจะให้คนที่มาติดตาม มาคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เยอะๆ เพราะเราก็อยากจะสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันเยอะๆ เราก็จะพยายามที่จะได้ไปแสดงในหลายๆ ที่ หลายๆ งาน ก็อยากจะสร้างความทรงจำร่วมกันอย่างที่บอกค่ะ


ความคาดหวังของแต่ละคน ต่อความเป็น T-Pop J-Pop I-Pop และ Pinoy Pop ครับ

เฟม : ความคาดหวังของหนู ก็คือ อยากจะให้เพลงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในแอปพลิเคชั่น Tik-Tok ค่ะ อยากจะให้คนเอาไว้เล่น ตัดต่อ และมีความสุขกับเพลงของวงเรา เพราะเทรนใน App นี้มันยังคงแรงอยู่เสมอสำหรับบ้านเรา ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นก็อาจจะมีการแบบแลกเปลี่ยนสนทนาหรือแซวกัน ประมาณว่าเหมือนพวกเขานึกถึงวงเราตลอดเวลา

คือถ้าปาฏิหาริย์มีจริง (หัวเราะเบาๆ) ก็อยากจะให้เพลงดังในตรงนี้ก่อน เพราะหนูรู้สึกว่ามันดังง่าย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะดัง คือถ้าเราได้รับโอกาสตรงนี้มา หรือปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพวกเรา เราเชื่อว่าพวกเราทำได้เต็มที่และสามารถเต็มที่กับแฟนๆ หรือทำให้คนได้เข้ามารู้จักเราเพิ่มขึ้น หนูเชื่อว่าเราน่าจะรับกับกระแสตรงนี้ได้ และพร้อมที่จะได้รับโอกาสตรงนี้ เพราะเราก็เต็มที่กับเพลงของพวกเรามาก หวังว่าจะมีสักวันที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะหนูรู้สึกว่ากระแส tiktok มันมาไวไปไวมาก ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นแค่กลุ่มเดียว แต่หนูก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

โคล : คือกันฟังเพลงของชาวฟิลิปปินส์จะมีความหลากหลายอยู่แล้ว อาจจะมีทั้ง P-Pop และ เพลงสากล ซึ่งมีการผสมผสานกัน ทั้งแนวต่างประเทศและแนวในประเทศเขาเอาเข้ามารวมกัน เรามองว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องยากมากที่คนน่าจะมาเปิดใจให้กับเพลงของเรา เพราะอาจจะมีการผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมกับ แนวเพลงต่างประเทศทั้งแบบ j-pop หรือ k-pop มาผสมบ้าง โดยส่วนตัวเราหวังว่าน่าจะมีการสนับสนุนและมีคนฟังค่ะ

เฟนี : อย่าง อินโดป็อป เอง ตลาดเพลงที่นั่นค่อนข้างที่จะใหญ่มาก เพราะฉะนั้นใครสักคนที่จะโด่งดังขึ้นมา ก็อาจจะเป็นคนที่ถือว่าโชคดีและยากหน่อย เราก็หวังว่าคนที่จะมาทำงานเพลงสามารถทำผลงานที่สื่อถึงความเป็นตัวของตัวเองได้ และมีคนสั่งได้มากขึ้นกว่านีิ้ อีกอย่างเรารู้สึกว่าเพลงของวงเราก็ถือว่าเป็นผลงานที่ดีชิ้นหนึ่ง ก็อยากจะให้คนมาเปิดใจรับฟัง และชอบในวงของเรา รวมถึงอยากที่จะแนะนำศิลปินแนว r&b ของที่นั่น ก็คือ Niki Zefanya ให้ได้ฟังเช่นเดียวกัน

ฮินะ : อย่างตลาดเพลงญี่ปุ่นก็ถือว่ามีความหลากหลายแนวอยู่เหมือนกัน เช่น เพลงช้า เพลงเร็ว หรือว่าเพลงไอดอล ซึ่งเพลงเจป็อปก็ถือว่าไปตีตลาดในประเทศต่างๆอยู่บ้าง ซึ่งประเทศไทยก็จะมีศิลปินจากญี่ปุ่นมาแสดงอยู่บ่อยๆ เราก็อยากจะให้เพลงของวงเราได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น (ยิ้ม)

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
แปล : ไอระ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ


กำลังโหลดความคิดเห็น