เพื่อนสนิทแจง “วิษณุ วรัญญู” ว่าที่ประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้สนิทก๊วนสามนิ้ว ไปเป็นประธานงานแต่ง “ปิยบุตร” เพราะได้รับเชิญในฐานะอดีตอาจารย์ธรรมศาสตร์ที่เคยช่วยเหลือเรื่องการเรียนต่อและสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ฝรั่งเศส ส่วนที่โพสต์แขวะเรื่องรื้อบ้านสี่เสาเทเวศร์ ต้องการเสียดสีพวกล้อมบ้านป๋าเปรมมากกว่า ยอมรับภรรยาเคยทำงานร้านอาหารที่ฝรั่งเศส แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ และไม่เคยไปอยู่ถึง 4 เดือน ย้ำมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงการคัดเลือกประธานศาลปกครองสูงสุดคนใหม่เพื่อดำรงตำแหน่งแทนนายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ประธานศาลปกครองสูงสุด ที่จะมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์และต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ ซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ ก.ศป. ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2566 เป็นเอกฉันท์เลือกนายวิษณุ วรัญญู รองประธานศาลปกครองสูงสุด อาวุโสอันดับหนึ่ง ให้ดำรงตำแหน่งต่อจากนายวรพจน์ โดยขั้นตอนขณะนี้ อยู่ระหว่างการที่วุฒิสภาดำเนินการตรวจสอบประวัติของนายวิษณุ เพื่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติว่าจะรับรองนายวิษณุหรือไม่ ก่อนปิดสมัยประชุมในวันที่ 9 เมษายน 2567
โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ได้เปิดเผยข้อมูลที่มีผู้ส่งให้คณะอนุกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบประวัติของนายวิษณุ ในลักษณะบัตรสนเท่ห์ เกี่ยวกับข้อสงสัยในตัวนายวิษณุ วรัญญู 6 ข้อ ทั้งในเรื่องความสัมพันธ์กับกลุ่มนักเคลื่อนไหวเครือข่ายสามนิ้ว เพราะไปเป็นประธานในงานแต่งงานของนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกให้ภรรยาของนายปิยบุตร โพสต์ข้อความเหน็บแนมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เป็นต้น
นายสนธิ กล่าวว่า หลังจากนำเรื่องดังกล่าวมาพูดในรายการแล้ว ก็มีอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นรองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนายวิษณุ วรัญญู ติดต่อเข้ามาให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งตัวนายวิษณุเองไม่มีโอกาสที่จะมาชี้แจง เนื่องจากเป็นตุลาการ เกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าผิดจริยธรรม อย่างไรก็ตามเพื่อความเป็นธรรมจึงขอเอาข้อมูลดังกล่าวมาเปิดเผยในรายการวันนี้
ประเด็นแรก ที่คนกังวลมากที่สุด ก็คือนายวิษณุ วรัญญู ดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งเป็นคนที่อยู่กับพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้า เป็นพวกสามนิ้ว เมื่อนายวิษณุไปเป็นประธานกล่าวในงานแต่งงานของนายปิยบุตร ก็มีคนพวกกลุ่มเสื้อแดงไปกันจำนวนมาก ตลอดจนรวมถึงมีการไลฟ์สดจากต่างประเทศ เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข หรือหลายๆ คนที่โดนคดี ม. 112 ที่ออกไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้มีคนสงสัยว่านายวิษณุ วรัญญู เป็นนักวิชาการสายนิยมฝรั่งเศสที่เอนเอียงไปทางกลุ่มแนวคิดล้มเจ้า มีความสนิทสนมกับพรรคก้าวไกล มิหนำซ้ำยังเป็นอาจารย์ของนายปิยบุตรและที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ให้ภรรยาของนายปิยบุตรด้วย
อดีตอาจารย์คนดังกล่าวนืนยันว่า นายวิษณุ วรัญญู ไม่ได้สนิทสนมกับคุณปิยบุตร เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วย แต่จะรู้จักกันในฐานะที่เป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ นายปิยบุตรนั้น ครอบครัวมีฐานะยากจน เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรีที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งก็คือฝรั่งเศส จริงๆ แล้ว นายปิยบุตร ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายนัก ถึงแม้จะได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ความรู้ทางกฎหมายยังสู้นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ไม่ได้ แต่นายวิษณุเห็นว่าเนื่องจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีข้อตกลงกับรัฐบาลฝรั่งเศส โดยรัฐบาลฝรั่งเศสจะให้ทุนนักศึกษาที่เรียนจบทางกฎหมายไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส จึงช่วยติดต่อให้ นายปิยบุตรจึงได้ทุนไปเรียนต่อ
เมื่อไปเรียนต่อจนจบคอร์สเวิร์กแล้ว เหลือช่วงทำวิทยานิพนธ์ ปรากฏว่านายปิยบุตร เงินหมด จึงกลับมาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมาย แล้วมาเขียนวิทยานิพนธ์ต่อที่ธรรมศาสตร์จนกระทั่งเขียนเสร็จ
เมื่อนายปิยบุตรเขียนเสร็จต้องมีการสอบปกป้องเค้าโครงวิทยานิพนธ์(defense thesis) คือการตอบข้อสงสัยของคณะกรรมการ ซึ่งก็ไม่รู้จะไป defense thesis ที่มหาวิทยาลัยแห่งไหน นายวิษณุจึงติดต่อมหาวิทยาลัยตูลูส นี่คือที่มาที่ทำให้นายปิยบุตร มีประวัติว่าจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยตูลูส ซึ่งจริงๆ แล้วนายปิยบุตรเรียนคอร์สเวิร์กที่มหาวิทยาลัยอื่น แล้วได้รับการติตด่อจากนายวิษณุ ให้ไป defense thesis ปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยตูลูส จนกระทั่งผ่าน แล้วกลับมาสอนหนังสือต่อ โดยในช่วงที่อยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น นายปิยบุตรก็ได้รู้จักภรรยาคนปัจจุบันซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส
อาจารย์อาวุโสคนดังกล่าวเล่าให้ฟังอีกว่า สมัยที่นายปิยบุตร เรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์นั้น เน้นเป้าไปที่กฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ดูแล้วไม่น่าจะไหว ก็เลยแนะนำให้เรียนมาทางกฎหมายมหาชน
เมื่อดูทิศทางแล้ว นายปิยบุตรคงจะไปได้ดีเหมือนนายวรเจตน์ถึงขั้นเป็นรองศาสตราจารย์ หรือเป็นศาสตราจารย์ ไม่ได้ ในที่สุด ก็เลยตัดสินใจลาออกจากอาจารย์แล้วเข้ามาเล่นการเมือง เพราะนายปิยบุตรต้องการมีชื่อเสียงโด่งดัง
ในงานแต่งงานของนายปิยบุตรนั้น นายปิยบุตร ได้เชิญอาจารย์หลายไปร่วมงานหลายคน นอกจากนายวิษณุแล้ว ยังมีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ประธานศาลปกครองสูงสุด ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กมลชัย รัตนสกาววงศ์ กรรมการกฤษฎีกา เป็นต้น ซึ่งนายปิยบุตรเชิญไปในฐานะอาจารย์ที่เคารพ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง เพราะตอนนั้นนายปิยบุตร มีตำแหน่งเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังไม่ได้เข้าสู่การเมือง หลังจากนายปิยบุตรเข้ามาสู่การเมืองแล้ว นายวิษณุก็ไม่ได้เจออีก และไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า นายวิษณุ ไปเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของ น.ส.เออเชนี เมรีโอ (Eugenie Merieau) ภรรยาของนายปิยบุตรนั้น วิทยานิพนธ์ของภรรยานายปิยบุตร เป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก เสนอที่สถาบัน Inalco ในฝรั่งเศส เป็นเรื่องการศึกษาเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบบรัฐธรรมนูญไทย ภรรยาของนายปิยบุตร มาทำงานวิจัย ศึกษากับอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ตอนนั้นนายวิษณุ วรัญญู ในฐานะที่เป็นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ รวมถึงคณาจารย์ท่านอื่น ตั้งข้อสังเกตกับภรรยาของนายปิยบุตร ไว้ว่า ถ้าจะมาตีความสถาบันกษัตริย์ไทยโดยใช้กรอบความคิดตะวันตกนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะว่าประเทศไทยมีบริบทเรื่องพระพุทธศาสนา ธรรมะ ประวัติศาสตร์ การเมือง อะไรต่างๆ มาเกี่ยวข้อง ไม่เหมือนกัน จะไปตีความแบบตะวันตกนั้นผิด
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าภรรยานายวิษณุมีร้านอาหารอยู่ที่ฝรั่งเศส ต้องไปอยู่ปีละ 4 เดือนนั้น จริงๆ แล้วร้านนั้นเป็นร้านของคนไทยที่อยู่ที่ฝรั่งเศส ภรรยาของนายวิษณุ ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่เคยทำงานเป็นแคชเชียร์ที่นั่น ไม่ได้เป็นเจ้าของร้าน และไม่เคยไปอยู่นานถึง 4 เดือน อย่างที่ถูกกล่าวหา หลังแต่งงานแล้วก็ย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทย
ประเด็นที่สอง เรื่องที่ถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊กเรื่องบ้านสี่เสาเทเวศร์ แสดงว่านายวิษณุ มีความเห็นในเชิงลบต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี นายวิษณุ ได้เล่าให้อาจารย์คนดังกล่าวฟังว่า จริงๆ แล้วโพสต์ดังกล่าวนายวิษณุ ได้รับแชร์มาจากที่อื่น แต่ก็ลบออกไป เพราะเจตนาต้องการจะเสียดสีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไปล้อมบ้านสี่เสาฯ มากกว่า
อาจารย์อาวุโสท่านนั้นยังให้ข้อมูลอีกว่า เมื่อครั้งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมต่อต้านนายทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้ ASTV ถ่ายทอดสดการชุมนุม โดยส่งสัญญาณทางสายโทรศัพท์ไปยังเกาะฮ่องกงก่อนขึ้นยิงดาวเทียมที่ฮ่องกง แล้วส่งสัญญาณมายังจานรับในประเทศไทย และถูกตำรวจตัดสัญญาณนั้น พันธมิตรฯ ได้ไปฟ้องศาลปกครองร้องขอการคุ้มครองชั่วคราว แล้วคนที่ตัดสินให้ ASTV ไม่ถูกปิดกั้น ก็คือนายวิษณุ วรัญญู ในการไต่สวนฉุกเฉิน โดยบอกว่านายทักษิณจะไปปิดกั้นการรับรู้ของประชาชนไม่ได้ เพราะฉะนั้นนายวิษณุไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างแน่นอน
อาจารย์ท่านนี้ชี้แจงอีกว่า นายวิษณุ ไม่ได้มีอะไรที่เป็นแง่ลบต่อสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังจงรักภักดี ในงานแต่งงาน นายวิษณุได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพฯ เป็นการส่วนตัวเพื่อที่จะขอรับพระราชทานเจิมหน้าผาก ทั้งภรรยาและตัวนายวิษณุได้ถวายงานให้กับราชวงศ์หลายๆ ท่านในเรื่องของข้อคิดทางกฎหมาย
“นี่คือข้อมูลจากอีกฝั่งหนึ่งที่ผมได้รับมา และต้องเอามาเสนอให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ทุกฝ่าย ท่านวิษณุ บอกว่า เรื่องหลักการในเรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น พวกที่อยู่ในศาลปกครอง อยู่ในระดับผู้ใหญ่ รู้อยู่แล้ว เป็นหลักเลยว่า หลักต้องยืนอยู่ที่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่เผอิญศาลปกครองนั้นไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับจะต้องให้ตีความในเรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ทำไมข้อมูลในเชิงลบของนายวิษณุส่งเข้าไปในคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาคุณสมบัติ มีข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้หลายประการ คือมี สว.คนหนึ่งซึ่งอดีตเคยอยู่ศาลปกครอง แล้วต้องออกจากศาลปกครองพร้อมกับประธานศาลปกครองสูงสุด นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ตอนนั้นเป็นประธานศาลปกครองสูงสุด สาเหตุเพราะว่ามีการส่งแฟกซ์ เขียนด้วยลายมือ ไปที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว และ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เพื่อฝากตำรวจให้ไปเป็นผู้กำกับการตำรวจ แล้วก็อ้างว่าตำรวจคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของหลานชายของนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองในขณะนั้น ตำรวจก็เลยดัดหลังด้วยการเอาแฟกซ์นั้นออกไปกระจายข่าวให้กับสื่อมวลชนทราบ ก็เลยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา แล้วนายวิษณุ ก็เป็นหนึ่งในกรรมการ ในที่สุดแล้ว คนที่เขียนด้วยลายมือก็ตัดสินใจลาออก รวมทั้งนายหัสวุฒิ ซึ่งเป็นประธานศาลปกครองสูงสุดด้วย
อีกรายหนึ่งซึ่งเป็น สว. เหมือนกัน ชื่อย่อคือ นาย ม. คนนี้เคยชนะคดีทางศาลปกครองคดีหนึ่ง ศาลปกครองชั้นต้นสั่งให้จ่ายเงินชดเชยให้ แต่ตัวเลขน้อยเกินกว่าที่เจ้าตัวตั้งเป้าไว้ จึงมาวิ่งเต้นกับนายวิษณุ ให้จ่ายมากขึ้น แต่นายวิษณุ ไม่รับวิ่งเต้น ก็เลยเกิดอาการแค้นเคืองกัน
“ทั้งหมดนี้ก็คือเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ด้านของอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์อาวุโสที่สนิทสนมกับท่านวิษณุ รู้ดีทุกๆ เรื่อง มาเปิดเผยเล่าให้ผมฟัง แล้วก็บอกว่า ขอให้รับทราบข้อเท็จจริงไว้ ไม่ต้องเผยแพร่ก็ได้ แต่ผมคิดว่าเพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ผมจำเป็นต้องเผยแพร่ให้ทราบ เพราะว่าในการสมัครตำแหน่งใหญ่ๆ อย่างประธานศาลปกครองสูงสุด ต้องมีคนรักคนชัง
“ที่นี่ จะไม่ยอมฟังความข้างเดียว นี่คือความทั้งสองข้าง ก็ลองดูซิว่าแต่ละข้อหาต่างๆ ที่ผมพูดไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว กับการชี้แจงครั้งนี้ ท่านผู้ชมคิดว่าฟังขึ้นหรือไม่ และผมคิดว่า ขอให้ สว.ทั้งหลายที่ต้องลงคะแนนเสียงเลือกประธานศาลปกครองสูงสุด ก่อนที่วาระจะหมดในเดือนเมษายนนี้ ขอให้ท่านได้ใช้วิจารณญาณที่ท่านมีด้วยตัวท่านเอง อย่าได้รับอิทธิพลหรือความโน้มน้าวจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะว่านี่เป็นการลงคะแนนครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่มาก” นายสนธิกล่าว