ประเทศไทยและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานถึง 340 ปี นับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างรากฐานที่มั่นคง สำหรับการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป และอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และเยอรมนี และเป็นประเทศที่มีนักลงทุนเข้าไปทำธุรกิจมากที่สุด ในขณะที่ไทยเองก็มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการลงทุนในภูมิภาคฯ ที่มีความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน เช่น โลจิสติกส์ ทักษะแรงงาน ความปลอดภัย และไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพต่อนักลงทุนต่างชาติในเมืองไทย
คุณอาร์โนด์ เบียเลคกิ กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โซเด็กซ์โซ่ และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการค้า ต่างประเทศ - ประจำประเทศไทย ที่ได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลฝรั่งเศส กล่าวว่า “ผมได้เข้ามามีบทบาทในคณะที่ปรึกษาด้านการค้าต่างประเทศของฝรั่งเศสมาเป็นเวลากว่า 10 ปี และได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาฯ มา 3 ปีจนถึงปัจจุบัน หน้าที่สำคัญคือการแนะแนวทางให้นักธุรกิจฝรั่งเศสที่ต้องการมาขยายธุรกิจในไทย และสำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในฝรั่งเศส รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกในขั้นตอนต่างๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพและการเติบโตด้านการค้าของทั้งสองประเทศ”
ข้อได้เปรียบและจุดเด่นของประเทศไทยที่ดึงดูดนักลงทุนฝรั่งเศส
นักลงทุนที่กำลังสนใจมาลงทุนในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ด้านโลจิสติกส์ อย่างท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง และแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ที่เป็นเขตอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ในระดับนานาชาติ ที่รองรับการเติบโตสำหรับทุกอุตสาหกรรม ในส่วนของการคมนาคมในไทยก็นับว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับที่ดีกว่า และอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญต่อการลงทุน คือ คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้บริหาร โดยการลงทุนและขยายธุรกิจในประเทศไทยจำเป็นต้องมีทีมฝ่ายบริหารจากต่างประเทศมาดูแลบริษัทด้วยตัวเอง ผู้บริหารต่างชาติส่วนใหญ่เลือกที่จะมาอยู่เมืองไทยเพราะสามารถใช้ไลฟ์สไตล์ได้อย่างมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัย ความปลอดภัย การศึกษาของบุตร ซึ่งนับว่าไทยได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคฯ อยู่มาก
ปัจจุบันมีบริษัทจากฝรั่งเศสมาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยราว 300 บริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น บริษัท เอสซีลอร์ลูซอตติกา (ประเทศไทย) จำกัด (EssilorLuxottica (Thailand) Ltd) ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบและจัดจำหน่ายเลนส์แว่นตา กรอบแว่น และแว่นกันแดด เข้ามาดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHA Eastern C Board 4) ด้วยการเปิดโรงงานการผลิตที่ จ.ระยอง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 220,000 ตารางเมตร ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีพนักงาน 600 คน และคาดว่าอีก 2 ปีจะเพิ่มถึง 7,000 คน โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งสินค้าออกไปทั่วโลก
ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างประเทศฝรั่งเศสและประเทศไทย
เมื่อเร็วๆ นี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้เดินทางไปเยือนฝรั่งเศสพร้อมแผนเศรษฐกิจเพื่อหารือกับ นายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และครอบคลุมถึงการหารือกับภาคเอกชนของฝรั่งเศสที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลฝรั่งเศสกับไทยได้มีการเซ็น MOU ลงนามร่วมกันในโปรเจกต์หลายๆ ด้าน เช่น ด้านคมนาคม และด้านการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านของทั้ง 2 ประเทศ สร้างบุคลากรให้ความรู้ ความชำนาญด้านเทคโนโลยี รวมทั้งในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจการบิน และรถไฟฟ้า ตลอดจนโครงการด้านการเกษตรด้วยการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดการใช้สารเคมี
แนวทางธุรกิจ โซเด็กซ์โซ่ ประเทศไทย
โซ่เด็กซ์โซ่ เป็นบริษัทของฝรั่งเศสที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากนับจากจำนวนพนักงาน ดำเนินธุรกิจใน 45 ประเทศทั่วโลกด้วยพนักงานจำนวน 430,000 คน ด้านโซเด็กซ์โซ่ ประเทศไทย มีพนักงานกว่า 3,700 คน ประจำอยู่กว่า 200 ไซต์งาน ซึ่งธุรกิจแรกที่ให้บริการในประเทศไทย คือด้านโภชนาการที่โรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบ้นได้ขยายไปยังแท่นขุดเจาะน้ำมัน บริษัทชั้นนำ มหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่างๆ และอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตควบคู่กันคือการบริการซ่อมบำรุงอาคารแบบครบวงจร ทำความสะอาด และพนักงานดูแลรักษาความปลอดภัย และในปีนี้ โซเด็กซ์โซ่ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้คะแนนสูงสุดจากการประเมินด้านความยั่งยืนของบริษัทติดต่อกัน 18 ปีซ้อน (DJSI: Dow Jones Sustainability Indices)
กลยุทธ์ของ โซเด็กซ์โซ่ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของพนักงาน
โซเด็กซ์โซ่มุ่งมั่นใส่ใจดูแลพนักงานอย่างเท่าเทียม และส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาคในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสวัสดิการที่ โซเด็กซ์โซ่ เล็งเห็นถึงความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เช่น พนักงานหญิงสามารถลาคลอดได้ 98 วัน และพนักงานชายสามารถลาดูแลบุตรแรกเกิดได้ 14 วัน โดยจะได้รับค่าจ้าง 100% เต็ม รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ ในกรณีรับบุตรบุญธรรมมาอนุเคราะห์ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น พนักงานสามารถลาไปดูแลครอบครัวกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และได้รับสิทธิประกันชีวิตภายใต้ความคุ้มครอง 12 เท่าของเงินเดือน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการวางแผนไว้ว่าจะผลักดันในการเพิ่มด้านสวัสดิการขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานได้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น รวมทั้งสนับสนุนให้ โซเด็กซ์โซ่ เป็นหนึ่งในบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากเข้ามาร่วมงาน