“บิ๊กโจ๊ก” เละตุ้มเป๊ะ นอกจากโดนร้องคดีพัวพันเว็บพนัน “มินนี่” แล้ว ล่าสุดตกเป็นผู้ต้องหา คดีฟอกเงินเว็บพนัน BNK master พร้อมพวกอีก 4 คน ศาลยังเห็นแก่หน้าให้ออกเป็นหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าว แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ผิด ไม่วายใช้มุกเดิม ขู่กลับจะแฉให้หมดทั้ง สตช. และมีอีกปมที่อาจดิ้นไม่หลุด ที่ให้ลูกน้องเอา่ทองคำไปขายน้ำหนักรวมเกือบ 11,000 บาท มูลค่ารวม 270 ล้าน ต้องตอบให้เคลยร์ว่าเป็นทองคำจากไหน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงสถานะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ซึ่งล่าสุด ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินจากเว็บพนัน BNK master ร่วมกับผู้ต้องหาอีก 4 คนที่ถูกออกหมายจับ
โดยในคดีนี้ ศาลให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับตำรวจ 3 นาย และพลเรือน 1 ราย และให้ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แทนการออกหมายจับเพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาตามมาที่คนมีตำแหน่งใหญ่เป็นถึง รอง ผบ ตร. ถูกออกหมายจับ ซึ่งศาลได้พูดกับพนักงานสอบสวนที่ไปขอออกหมายจับว่า หากออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะทำให้เกิดวิกฤตศรัทธากับตำรวจ
การขอออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน คณะผู้พิพากษาศาลอาญาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาฟอกเงินเว็บพนัน BNK master ร่วมกันทำผิดโดยแบ่งหน้าที่กัน ที่พยานหลักฐานเชื่อได้ว่า กระทำผิดจริงตามที่พนักงานสอบสวนนครบาลเสนอมา ดังนั้นจึงให้ออกหมายจับทั้ง 5 คน รวม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วย แต่พอเสนอการพิจารณาขึ้นไปถึงประธานคณะพิจารณาออกหมาย ก็ได้แนะให้ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แทนเพราะมีค่าเท่ากัน แต่จะช่วยรักษาภาพพจน์สำนักงานตำรวจฯ ได้
การที่ไม่ออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้หมายความว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ผิด เพราะตอนนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินแล้ว
ส่วนคนมีอำนาจออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มารับทราบข้อกล่าวหา ก็คือพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนคงจะดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องรอให้ ผบ.ตร.มาเซ็น เพราะคดีอาญาเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน คนออกหมายเรียกจะเป็นร้อยตรี ร้อยโท ก็ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องการสอบสวนคดีทางวินัยที่ผู้น้อยจะสอบผู้มียศสูงกว่าตนไม่ได้
ส่วนประเด็นที่ ทนายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คือ นายณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ และ นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ออกมาแถลงข่าวแก้ตัว บอกจะฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ “บิ๊กเต่า” กับ คนโน้นคนนี้
พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ ทีมทนายยังบอกด้วยว่าถ้าตัวเองโดนดำเนินคดี ก็พร้อมจะแฉออกมา ให้ “ตายหมู่” และ “สะเทือน” ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแน่ เพราะฝั่งตนก็มีหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงินไปถึงข้าราชการหลายคนเช่นกัน
“ผมเชียร์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับทีมทนายเลยว่ามีข้อมูลอะไร รีบแฉออกมาให้หมดอย่า อย่า อย่าช้ารีบแฉมาให้กระเทือนไปทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยยิ่งดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะยิ่งเป็นประโยชน์กับประชาชน จะได้ล้างบางความชั่ว และถือเป็นการทำบุญกุศลครั้งใหญ่ให้กับประเทศชาติ” นายสนธิกล่าว
ตะลึง! ให้ลูกน้องขายทองหนักกว่า 1 หมื่นบาท มูลค่า 270 ล้าน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพรรคพวก และลูกน้อง ยังมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับการก่ออาชญากรรมอีกหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะหลักฐานที่ปรากฎชัดที่สุด และไม่สามารถดิ้นหลุดได้ก็คือ“เส้นทางการเงิน”
ก่อนหน้านี้ ได้เปิดเผยหลักฐานช็อกสังคมไปแล้วในกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้เงินบาปมาทำบุญในงานกฐินหลวง “ทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน” เมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม 2565 ที่ วัดศาลาปูน วรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยโอนเงินจาก “บัญชีม้าตัวเมีย” 200,000 บาทเข้าไปทำบุญ จากนั้นก็ออกใบอนุโมทนาบัตรให้ตัวเองนำไปหักภาษีต่อ
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกกรณีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีฟอกเงินแบบคลาสสิก หรือ ดั้งเดิมของบรรดาข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง นักการเมือง รวมไปถึง ตำรวจ-ทหาร ก็คือการฟอกเงินผ่านพระเครื่อง
โดยกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็คือ การดำเนินการผ่าน “เฮียอั้ง เมืองชล” หรือ ชื่อจริงคือ นายสมภพ ไทยธีระเสถียร รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ให้ทำเอกสารยื่นให้ ป.ป.ช. แสดงที่มาของเงินว่ามีที่มาจากการเป็น “นายหน้าขายพระเครื่อง” จนมีรายได้อู้ฟู่นับสิบล้านบาท
ล่าสุด ทีมสอบสวนตรวจสอบหลักฐานจากคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องคนสนิท ที่ยึดมาได้ ก็มีการค้นพบหลักฐานใหม่ที่ทำเอาทุกคนที่ได้เห็น และได้รับทราบถึงกับต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
นั่นคือ บันทึกของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ที่ระบุว่า พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวก จัดการขายทองคำน้ำหนักรวมเกือบ 11,000 บาท ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์- มีนาคม 2563 ในขณะที่ทองคำมีราคาตกบาทละประมาณ 24,000 บาท
ทองคำน้ำหนัก 11,000 บาท คูณ 24,000 บาท ก็เท่ากับ 260 กว่าล้านบาท !!!
โดยหลักฐานที่ปรากฎชัดนั้น พบว่า ในช่วงระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน คือ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนมีนาคม 2563 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ให้ลูกน้องคนใกล้ชิดขายทองคำแท่งล็อตแรกไปจำนวน 5 ครั้งประกอบด้วย
ครั้งแรกในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตามบิ๊กโจ๊ก ขายทองแท่งด้วยตัวเขาเอง ให้กับ ห้างทองชื่อดังย่านเยาวราชฮั่งเซ่งเฮง เป็นทองคำน้ำหนัก 3,000 บาท ทำให้ได้เงินไปครั้งนั้น 74,310,000 บาท
ครั้งที่ 2 ทองคำแท่งน้ำหนักเท่ากับครั้งแรกคือ 3,000 บาท ขายได้ 73,980,000 บาท โดยให้คนที่ชื่อวิชชานนท์เป็นคนเอาไปขาย
ครั้งที่ 3 ทองคำแท่งน้ำหนัก 2,100 บาท ขายได้ 51,324,000 บาท โดยให้คนชื่อ วิชชานนท์ คนเดิมเอาไปขาย
ครั้งที่ 4 ทองคำแท่งน้ำหนัก 1,000 บาท ขายได้ 24,900,000 บาท โดยให้ วิชชานนท์เอาไปขายเช่นเดิม
ครั้งที่ 5 ทองคำแท่งน้ำหนักกว่า 1,000 บาท ขายได้ 24,700,000 บาท คราวนี้เปลี่ยนไปใช้คนที่ชื่อ นโรดม เอาไปขาย
รวมทองคำแท่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้บริวารนำไปขายในรอบแรก 5 ครั้ง คิดเป็น น้ำหนักกว่า 10,100 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 250 ล้านบาท
โดยทุกครั้งนำไปขายที่ “ร้านทองฮั่วเซ่งเฮง” แต่ขอยังไม่เปิดเผยว่าสาขาไหน
ทั้งนี้ ที่มาที่ไปของทองคำแท่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอ้างกับพรรคพวก และบริวารว่า เป็นทองคำของแม่ยาย หรือ แม่ของ ดร.ศิรินัดดา หักพาล หรือ คุณนายกุ๊บ ภรรยา เป็นการปฏิเสธว่า ทองคำมูลค่ามหาศาลนี้ ไม่ใช่ของตัวเอง
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ต่อมายังมีการเทขาย ขายทองคำแท่งล็อตที่ 2 อีกในเดือนเมษายน และ กรกฎาคม 2563
สำหรับ ล็อตที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีการใช้ลูกน้องไปขายทองคำแท่งรวม 7 ครั้ง ประกอบด้วย
ครั้งที่ 1 วันที่ 8 เมษายน 2563 ขายทองคำแท่ง น้ำหนักกว่า 600 บาท ขายได้ 15,180,000 บาท โดยให้ วิชชานนท์ คนเดิมเอาไปขาย
ครั้งที่ 2 วันที่ 20 เมษายน 2563 ทองคำแท่ง น้ำหนักกว่า 170 บาท ขายได้ 4,357,100 บาท โดยให้คนชื่อ น.ส.อุนาชญา เอาไปขาย
ครั้งที่ 3 วันที่ 21 เมษายน 2563 ทองคำแท่ง น้ำหนักกว่า 20 บาท ขายได้ 515,000 บาท โดยให้วิชชานนท์เอาไปขาย
ครั้งที่ 4 วันที่ 22 เมษายน 2563 ทองคำแท่ง น้ำหนักกว่า 20 บาท ขายได้ 514,310 บาท ให้ น.ส.อุนาชญา ไปขาย
ครั้งที่ 5 วันที่ 22 เมษายน 2563 ใช้นายตำรวจติดตาม พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ไปขายทองคำแท่งอีก 10 บาท ได้เงิน 256,500 บาท
ครั้งที่ 6 วันที่ 14 กรกฎาคมทองคำแท่ง น้ำหนักกว่า 20 บาท ขายได้ 534,000 บาทให้ วิชานนท์เอาไปขาย
ครั้งที่ 7 ครั้งสุดท้าย วันเดียวกันทองคำแท่ง น้ำหนัก 5 บาท ขายได้ 133,750 บาทให้ น.ส.อุนาชญาไปขาย
รวมล็อตที่ 2 ทองคำแท่ง น้ำหนักกว่า 845 บาท คิดเป็นเงินมูลค่ากว่า 21 ล้านบาท
เท่ากับว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เททองคำแท่งขาย 2 ล็อต น้ำหนักรวมกว่า 10,945 บาท คิดเป็นมูลค่ากว่า 270 ล้านบาท ในสมัยนั้น เมื่อปี 2563 หรือประมาณ 4 ปีที่แล้วซึ่งตอนนี้ ทีมสอบสวนกำลังสืบหาเส้นทางการเงิน ว่าเงินที่ได้จากการขายทองคำมหาศาลนั้น จากบัญชีนายเวรของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล่นต่อไปยังบัญชีของใครบ้าง
สำหรับ ตัว พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ซึ่งเป็นนายตำรวจติดตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เหมือนเป็นเงา นั้นในปฏิบัติการบุกค้นเมื่อปลายปี 2566 ตำรวจชุดทำคดีออกหมายค้นบ้านหลังสโมสรตำรวจที่อ้างว่าเช่าจาก “เสี่ยแต๋ม อุดร” ก็เพราะมีหมายจับ พ.ต.ต.ชานนท์ และสืบทราบว่า พ.ต.ต.ชานนท์ พักอาศัยที่บ้านในซอยวิภาวดี 60 ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งได้จับกุมตัวชานนท์ที่บ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น พ.ต.ต.ชานนท์ มีภาระต้องตอบคำถามแรกก่อนเลยว่า ก่อนจะขายทองไป 200-300 ล้านบาท เขาเอาเงินจากไหนมาซื้อทองคำน้ำหนักรวมถึง หมื่นกว่าบาท ?
ถามว่า ข้าราชการตำรวจคนหนึ่งต่อให้เป็นนายพลก็ตาม จะมีรายได้สักเดือนละกี่หมื่น กี่แสนบาท ถามว่าจะหาทองคำแท่งจำนวนมหาศาลขนาดนี้มาจากไหน? พ่อตา แม่ยาย ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน แต่ไหว้วานให้ลูกเขยเอาทอง 10,000 กว่าบาทไปขายภายในระเวลาไม่กี่เดือน เป็นไปได้หรือ ?
นอกจากนี้ พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ก็ยังเป็น 1 ใน 8 ตำรวจรอบเอวบิ๊กโจ๊ก ที่ถูกดำเนินคดีข้อหารับส่วยเว็บพนันมินนี่ และเว็บพนันอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่ตัวละครใหม่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทีมสอบสวนวิเคราะห์ว่า อาจมีเงินสกปรกจากที่ไหนสักแห่ง ไหลเข้ามายังเครือข่ายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จากนั้นจึงจัดการซื้อขายทองคำ เพื่อฟอกให้เป็นเงินถูกกฎหมาย ใช่หรือไม่ ?!?