จากกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปางกลางทะเลเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ทั้งที่ไม่ได้เกิดจากการรบ อันถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการสูญเสียในราชนาวีไทย และปฏิบัติการกู้เรือแบบจำกัดเพิ่งปิดฉากลงมาในปีนี้เหตุร้ายที่จะต้องถูกจารึกไว้ประวัติศาสตร์กองทัพเรือได้อุบัติขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดและไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้
นั่นคือกรณีของเรือรบทำปืนลั่นใส่เพื่อนเรือรบด้วยกัน จนเกิดไฟไหม้และมีผู้บาดเจ็บถึง 5 นาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา
ในเบื้องต้นมีข้อมูลว่า เรือหลวงชลบุรี ซึ่งเป็นเรือรบประเภทเรือยนต์เร็วโจมตีปืน ที่กองทัพเรือสั่งต่อจากประเทศอิตาลี จำนวน 3 ลำ และได้รับพระราชทานชื่อตามจังหวัดชายทะเลได้แก่ เรือหลวงชลบุรี สงขลา และภูเก็ต
ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นจากการฝึกในทะเล เรือหลวงชลบุรีได้กลับเข้าจอด ณ ที่ตั้งปกติ บริเวณท่าเรือแหลมเทียน ภายในฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยสภาพของตัวเรือแม้จะอยู่ในความเรียบร้อย แต่ก็มีปัญหาเรื่องกระสุนปืน ขนาด 76 mm. ขัดลำกล้องค้างอยู่ในระบบการยิงของป้อมปืนหัว ซึ่งเป็นอาวุธหลักของเรือ
ทางเรือจึงได้ทำการแก้ไข เพื่อที่จะถอนกระสุนปืนนัดดังกล่าว ออกจากลำกล้อง จังหวะนี้เอง ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันคือ ปืนลั่นทำให้กระสุนพุ่งเข้าใส่เรือที่จอดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง คือ เรือหลวงคีรีรัฐ ซึ่งเป็นเรือฟริเกตที่ กองทัพเรือได้รับมอบจากสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2512 พร้อมกับเรือหลวงตาปี ซึ่งเป็นเรือชุดเดียวกัน
กระสุนของเรือหลวงชลบุรีที่ยิงเข้าใส่เรือหลวงคีรีรัฐในระยะเผาขน ทำให้เกิดระเบิดขึ้น พร้อมกับไฟไหม้ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามรายงานในเบื้องต้นจำนวน 5 นาย โดยยังไม่ระบุชั้นยศ แต่ทราบว่า ทั้ง 5 นาย อยู่ในบริเวณใกล้กับตำแหน่งที่เกิดการระเบิด
อย่างไรก็ตาม หน่วยซ่อมของเรือหลวงคีรีรัฐและของฐานทัพเรือสัตหีบ สามารถควบคุมความเสียหายในเบื้องต้นไว้ได้ ไฟจึงไม่ลุกลามไปยังคลังสรรพาวุธประจำเรือ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระเบิดซ้ำ และสร้างความเสียหายเพิ่มมากขึ้น จนถึงขั้นไฟไหม้ตลอดลำ หรือเรือจมคาท่าเทียบ
แหล่งข่าวระบุว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อาจมีสาเหตุจากการไม่ปฏิบัติตาม procedure หรือขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยระบบอาวุธ เริ่มตั้งแต่การที่เรือหลวงชลบุรี ซึ่งมีกระสุนค้างลำกล้องจะต้องเข้าจอดที่ท่าเทียบเรือของกรมสรรพาวุธทหารเรือ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทุ่งโปร่ง และเป็นท่าเรือ stand alone ไม่มีเรืออื่นใดจอดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
การที่ระเบียบปฏิบัติกำหนดไว้เช่นนั้น ก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารเรือ เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบและแก้ไข ในท่าจอดเรือของกรมสรรพาวุธ ซึ่งโดยปกติแล้ว หากไม่มีการแก้ไขข้อขัดข้องเกี่ยวกับระบบกระสุนติดขัดอยู่ในระบบปืนประจำเรือ หรือจะมีการลำเลียงรับส่ง กระสุนหรือระเบิดจำนวนมากจากกรมสรรพาวุธ จะไม่มีเรือเข้าเทียบท่าดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยว่า เรือหลวงชลบุรี ละเลยข้อกำหนดในการปฏิบัติ ขณะทำการแก้ไขข้อขัดข้องของปืนหรือไม่ กล่าวคือ ขณะดำเนินการลำกล้องปืนจะต้องกระดกไว้เป็นมุมสูงมากกว่า 45 องศาจากแนวราบ เพื่อให้กระสุนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หากมีอุบัติเหตุปืนลั่นเกิดขึ้น
ดังนั้น หากไม่ใช่เพราะเรือหลวงชลบุรีละเลยการปฏิบัติดังกล่าว โดยยังคงปล่อยให้ลำกล้องปืนอยู่ในแนวราบเพื่อการยิงในวิถีตรง หรืออาจเป็นไปได้ว่า ลำกล้องปืนค้างอยู่ในวิถีราบตั้งแต่ขณะฝึกในทะเล
เมื่อปืนลั่นกระสุนจึงพุ่งเข้าใส่เรือคีรีรัฐซึ่งเปนเรือฟริเกตสังกัดกองเรือฟริเกตที่หนึ่งดังที่กล่าวมาข้างต้น
จึงอาจกล่าวได้ว่า กองทัพเรือในช่วงนี้อยู่ในภาวะโรคซ้ำกรรมซัด เพราะนอกจาก เรือฟริเกตลำใหม่จะถูกจมโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ไม่ผ่านงบประมาณให้กว่าหมื่นล้านบาทแล้ว เรือฟริเกตที่มีอยู่เดิม ยังได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นจากอุบัติเหตุครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือที่เรือรบไทยยิงกันเอง
ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงกรณีอดีตพลทหารเกณฑ์สังกัดกองทัพเรือ ออกมาแฉโพยว่า ถูกส่งไปรับใช้นายที่บ้าน ทำหน้าที่ซักชุดชั้นในให้เมียนาย และคอยเสิร์ฟเหล้าเก็บกวาดโต๊ะให้กับนาย เวลานัดเพื่อนมาชนแก้วที่บ้าน
ใครที่รักทหารเรือและศรัทธาในความเป็นสุภาพบุรุษนาวี คงต้องร่วมกันส่งกำลังใจให้พลเรือเอกอะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 6 เดือนเศษ ก็จะพ้นหน้าที่ให้นำพา กองทัพเรือฝ่าฟันเรื่องร้าย ๆ ไปให้ได้ในท้ายที่สุดทุกประการ