ปริศนาที่มาปืน 200 กระบอก มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท ในครอบครองของ “บิ๊กโจ๊ก” ทีมสอบคดีเว็บพนันมินนี่พบเส้นทางเงินมาจากบัญชีม้า “รองคริษฐ์” จ่ายให้ร้านปืน แต่ “เดอะโจ๊ก” อ้างได้ค่าแนะนำเช่าพระให้แก่ “เซียนอั้ง เมืองชล” กว่า 13.6 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นเงินสด ป.ป.ช.ไม่ว่าอะไร แต่กรณีคล้ายกัน อดีตรอง ผบช.ภ.8 ชี้แจงได้ค่าแนะนำเช่าเหรียญจตุคาม 1 ล้านบาท ป.ป.ช.บอกฟังไม่ขึ้น ชงศาลสั่งยึดทรัพย์ฐานร่ำรวยผิดปกติ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนเนื่องจากมีการแสดงบัญชีทรัพย์สินที่มีแหล่งที่มาคลุมเครือ และอาจเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ กรณีการครอบครองทรัพย์สินประเภท “อาวุธปืน” จำนวน 200 กระบอก มูลค่าราว 14.6 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีข้อสงสัยว่านำเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหนมาซื้อาวุธปืน
ขณะที่ คณะทำงานชุดคลี่คลายคดี “เว็บพนันมินนี่” ตรวจพบว่า มีการโอนเงินจากบัญชีม้าที่ “รองคริษฐ์” หรือ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องคนสนิทหามาใช้ เพื่อโอนเงินจ่ายให้ร้านค้าเป็นค่าอาวุธปืน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พยายามชี้แจงที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว โดยการให้นายสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ “เฮียอั้ง เมืองชล” เซียนพระผู้กว้างขวางในพื้นที่ภาคตะวันออก และเป็นผู้มีตำแหน่งสำคัญในวงการพระเครื่อง คือ รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เข้ามาช่วยชี้แจงบัญชี มีการโยงความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลรายรับกับรายจ่ายที่ใช้ในการซื้ออาวุธปืนมาไว้ในความครอบครองให้สอดคล้องกัน
ทั้งนี้ รายการซื้อขายพระเครื่องตามที่ “เฮียอั้ง เมืองชล” เข้าให้การต่อ ป.ป.ช.ตามการเรียกและเชิญชี้แจง ประกอบด้วย
1.ธันวาคม 2558 เช่าพระหลวงปู่จีน 1,500,000 บาท แบ่งค่าแนะนำพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 200,000 บาท (คิดเป็นสัดส่วนค่าแนะนำ 13.3%)
2.กรกฎาคม 2559 เช่าสมเด็จบางขุนพรม พิมพ์เส้นด้าย 3,000,000 บาท ให้ค่าแนะนำ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 300,000 บาท(ค่าแนะนำ 10%)
3.ตุลาคม 2559 เช่านางพญาพิมพ์เข่าตรง 1,500,000 บาท ให้ค่าแนะนำพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 350,000 บาท(ค่าแนะนำ 23.3%)
4.พฤศจิกายน 2559 เช่านางพญาพิมพ์เข่าโค้ง 3,000,000 บาท ให้ค่าแนะนำพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 1,500,000 บาท(ค่าแนะนำ 50%)
5.มีนาคม 2560 เช่าหลวงพ่อแก้วพิมพ์ใหญ่ 8,000,000 บาท ให้ค่าแนะนำพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 4,000,000 บาท(ค่าแนะนำ 50%)
6.ตุลาคม 2560 เช่าหลวงพ่อเจียม 600,000 บาท ให้ค่าแนะนำพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 250,000 บาท (ค่าแนะนำ 41.7%)
7.มกราคม 2561 เช่าเหรียญหลวงพ่อโสธร ปี 2560 ราคา 3,000,000 บาท ให้ค่าแนะนำ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 1,000,000 บาท(ค่าแนะนำ 33.3%)
8.มีนาคม 2561 เช่าสมเด็จวัดระฆัง 10,000,000 บาท ให้ค่าแนะนำ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 3,000,000 บาท(ค่าแนะนำ 30%)
มีข้อสังเกตว่าโดยปกติค่าแนะนำ หรือ ค่านายหน้าซื้อขายพระเครื่อง-วัตถุมงคลนั้น เขาจะให้กันอยู่ที่สัดส่วน 5%-10% เท่านั้น จะไม่มีที่จะได้ถึง 30%-50% ซึ่งเกินเลยราคาตลาด และธรรมเนียมปฏิบัติไปมาก
แต่จากการสอบปากคำ “เฮียอั้ง เมืองชล” ให้การโดยอ้างว่าให้ค่าแนะนำหรือค่านายหน้าแก่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วยเงินสด และไม่มีการทำหลักฐานการจ่ายเงินใด ๆ ทั้งสิ้น
ส่วนเหตุที่ต้องให้เงิน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นจำนวนมาก ในการซื้อเช่าพระแต่ละองค์ “เฮียอั้ง เมืองชล” อ้างว่า ถ้าไม่มี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคนกลางแนะนำให้เช่าพระจาก นายสมพร กุลวานิช อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหลายแห่ง ซึ่งอายุมากแล้ว อยากปล่อยของพอดี ตัวเองก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้พระดี ๆ เหล่านั้นมาครอบครอง
“เฮียอั้ง เมืองชล” อ้างด้วยว่า วิธีการจ่ายค่าแนะนำของตัว จะใช้แต่เงินสดเท่านั้น ไม่มีการทำหลักฐานใด ๆ ไว้ ทุกวันนี้ จึงต้องเตรียมเงินสดไว้ในตู้เซฟประมาณ 50 ล้านบาทเสมอ
จากคำให้การดังกล่าวของ “เฮียอั้ง เมืองชล” ก็ขึ้นกับดุลพินิจของกรรมการ ป.ป.ช. ว่าจะเชื่อหรือไม่ว่าเซียนพระชื่อดังรายนี้ให้ค่าแนะนำแก่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นการ “จ่ายจริง” หรือแค่ “จ่ายทิพย์” แต่มีการอ้าง เพื่อรับรองความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อย่างพรวดพราด
ย้อนไปในปี 2564 บ้าง มาดูร่างหนังสือ ลงวันที่คร่าว ๆ ไว้เป็นเดือนกันยายน 2564 ระบุข้อความจาก “เฮียอั้ง เมืองชล” ถึง เลขาฯ ป.ป.ช. อย่างนี้ครับ
“เรียน เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
“ข้าพเจ้า นายสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ ในวงการพระเครื่องเรียกว่า อั้ง เมืองชล ปัจจุบันข้าฯ ดำรงตำแหน่งรองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และเป็นเจ้าของร้านพระเครื่อง "อั้ง เมืองชล" ตั้งอยู่ที่มณเฑียรพลาซ่า ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
“ข้าฯ ขอให้คำรับรองว่า ข้าฯ ได้จ่ายเงินค่าแนะนำ (ค่านายหน้า) ให้กับ พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ได้แนะนำและชี้ช่องให้ข้าฯ ได้เช่าพระจาก นาย…ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว ในปี 2564 เป็นเงิน 2 ล้านบาท ดังนี้
“ครั้งที่หนึ่ง ประมาณเดือนมีนาคม 2564 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้แนะนำและชี้ช่องให้ข้าฯ ติดต่อ นาย… เพื่อขอเช่าบูชาพระสมเด็จ บางขุนพรม พิมพ์ใหญ่ ซึ่งโดยปกติจะมีราคาประมาณ 5 ล้านบาท แต่ข้าฯ สามารถขอเช่าได้ในราคา 3 ล้านบาทจึงให้เงินตอบแทนเป็นค่านายหน้าแก่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็น เงินสด จำนวน 1 ล้านบาท
“ครั้งที่สอง ประมาณเดือนกรกฎาคม 2564 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้แนะนำและชี้ช่องให้ข้าฯ ติดต่อ นาย … เพื่อขอเช่าบูชา พระขุนแผนเคลือบจังหวัดอยุธยา จำนวน 4 องค์ ซึ่งโดยปกติจะมีราคาประมาณองค์ละ 3 ล้านบาท แต่ข้าฯ สามารถขอเช่าได้ในราคาองค์ละ 2 ล้านบาท ข้าฯ จึงให้เงินตอบแทนเป็นค่านายหน้าแก่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็น เงินสด จำนวน 1 ล้านบาท
“ข้าฯ ขอรับรองว่า เรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงทุกประการ หากสำนักงาน ป.ป.ช. มีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามจากข้าฯ ได้
ลงชื่อ
นายสมภพ ไทยธีระเสถียร
รองนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย”
ทั้งนี้ เฉพาะในช่วงประมาณ 3 ปีระหว่าง เดือนมกราคม 2559 จนถึง เมษายน 2562“อั๊ง เมืองชล” ยอมลงชื่อในร่างหนังสือที่มีการทำไว้ให้ เพื่อเป็นหลักฐานชี้แจงยอดเงินค่านายหน้า จากการที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แนะนำคนรู้จักไปขายพระเครื่องให้กัน ในหลายวาระ รวมแล้วกว่า 10 ครั้ง สร้างเงินรายได้เข้าบัญชีทั้งสิ้น เกือบ 13.7 ล้านบาท(ไม่นับรวมค่าแนะนำหลังจากนั้นอีกตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปี 2566)
โดยเงินจำนวน 13.7 ล้านบาท นี้ สามารถช่วยเหลือให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถแจกแจงรายได้ รายรับ ได้อย่างแนบเนียน โดยให้เหตุผลว่า มีการแบ่งเงินสมนาคุณค่าแนะนำ-นายหน้า ณ ที่จ่ายเป็นเงินสด
ซึ่งก็มีคำถามไปถึงสรรพากร ว่า เงินจำนวนนี้เป็นรายได้ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้รับจริงตามคำยืนยันของ “อั๊ง เมืองชล” รายได้จำนวนนี้ มีความจำเป็นต้องเสียภาษีด้วย
รวม ๆ แล้ว เงินจำนวนเงิน 13.7 ล้านบาท จะขาดอยู่เล็กน้อย จากรายจ่ายค่าซื้ออาวุธปืน 14.6 ล้านบาท แต่พอมีรายรับจากการเป็นนายหน้าพาคนไปขายพระเครื่อง ราว 13.7 ล้านบาท ขาดอยู่ 9 แสนบาท ก็ถือเป็นยอดขาดตัวเลขเล็กน้อยที่ระดับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” สามารถหาเติมเต็มให้ครบจำนวนได้ไม่ยาก
ย้อนคดี ป.ป.ช.ยึดทรัพย์ 136 ล้าน ‘อดีตรอง ผบช.ภ.8’ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเปรียบเทียบเรื่อง “ค่าแนะนำพระเครื่อง” ที่สร้างรายได้ให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นับสิบล้านบาทแล้ว กับกรณีตัวอย่างที่คล้ายคลึงกัน ในอดีตยังเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ “บิ๊กตำรวจ” ระดับรองผู้บัญชาการ รายหนึ่ง ที่เคยให้การอ้างกับ ป.ป.ช. เช่นกันว่า มีทรัพย์สินมากมาย โดนส่วนหนึ่งได้มาจากการขายพระเครื่อง โดยขายพระเหรียญทองคำ จตุคามรามเทพรุ่นแรก ราคา 1,000,000 บาท มีพยานบุคคลยืนยันเช่นกัน
แต่สุดท้าย ป.ป.ช.ก็ไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายจริง เพราะเป็นการทำธุรกรรมด้วยเงินสด โดยกรณีรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร รายนี้ เหมือนกับ “บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ทุกประการ แต่คำให้การของ นั้น ป.ป.ช.มองว่าฟังไม่ขึ้น มีลักษณะร่ำรวยผิดปกติ จึงมีคำสั่งเมื่อปี 2565 ให้ยึดทรัพย์กว่า 136 ล้านบาท ที่ครอบครองในชื่อของ รอง ผบช. รวมถึงภรรยา และลูกสาว พร้อมส่งดำเนินคดีต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ และคดีจบที่ถูกยึดทรัพย์ไปเรียบร้อย
“บิ๊กตำรวจ” คนดังกล่าว คือ พล.ต.ท.สมชาย นิตยบวรกุล หรือ อ่วมถนอม หรือที่รู้จักในนาม “บิ๊กอ่วม” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยได้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวนเอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 8 ได้มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565
โดยศาลพิพากษาให้ทรัพย์สินในชื่อของ พล.ต.ท.สมชาย, ภรรยา และบุตรสาว ที่ถือครองแทน รวมจำนวน 136,276,311 บาท พร้อมด้วยดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่สามารถโอนทรัพย์สินให้แก่แผ่นดินได้ ให้ พล.ต.ท.สมชาย ใช้เงินจำนวน 136,276,311 บาท หรือให้โอนทรัพย์สินอื่นของ พล.ต.ท.สมชาย ตามสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินที่ขาดอยู่แก่แผ่นดินแทนจนครบถ้วน
ทั้งนี้ สำหรับทรัพย์สินมากผิดปกติ มีเช่น ที่ดินพร้อมบ้านพัก ใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เงินฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ ในสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธร จ.ชุมพร ห้องชุดวีว่าคอนโด สาธร กทม. ห้องชุดเอ็มคอนโด กทม. เป็นต้น
เปิดเบื้องลึกสัมพันธ์ “บิ๊กโจ๊ก-เฮียอั๊ง” อ้างเรื่องเช่าพระ จ่ายค่าแนะนำนับสิบล้าน
สำหรับ “เฮียอั้ง ชลบุรี” นั้นอ้างว่าตนเองรู้จักกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ครั้งแรกเมื่อ ปี 2545 ตอนเป็นสารวัตรทางหลวงชลบุรี(สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 3 จังหวัดชลบุรี) ซึ่ง “เฮียอั้ง” นั้นมีพื้นเพอยู่ที่จังหวัดชลบุรี
ต่อมาประมาณ ปี 2555 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็น ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ เฮียอั้ง อ้าง เคยขอให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ช่วยเหลือเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่าง “เฮียอั้ง เมืองชล” กับ “เซียนพระของจังหวัดสงขลา” จนไม่มีความขัดแย้งกันอีก “เฮียอั้ง” อ้างเหตุนี้ จึงนับถือพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ในฐานะผู้มีพระคุณ และไปมาหาสู่กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับกรณีการติดต่อเช่าพระเครื่องจากนายสมพร กุลวานิช อดีตผู้ว่าการจังหวัดหลายจังหวัดนั้น “เฮียอั้ง” อ้างว่า ใน เดือนพฤศจิกายน 2558 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาบอกว่า นายสมพร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง และสิงห์บุรี ซึ่งเป็นคนรู้จักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มาขอคำปรึกษาว่ามีพระเครื่องอยู่จำนวนหนึ่งอยากจะปล่อยเช่าเพื่อนำเงินมาทำบุญ เพราะอายุมากแล้ว อยากสร้างบุญสร้างกุศล ก่อนที่จะเสียชีวิต แต่นายสมพร ไม่รู้จักกับคนในวงการพระเครื่อง เกรงว่าหากนำพระเครื่องมาปล่อยเช่าจะถูกหลอกลวง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงแนะนำในำเฮียอั้ง ได้รู้จักกับนายสมพร และได้ติดต่อขอเช่าพระเครื่องจากนายสมพร โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ให้คำแนะนำ
โดยจากการแนะนำดังกล่าวทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ค่าแนะนำ หรือ ค่านายหน้า จาก “เฮียอั้ง” เป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านบาท ซึ่งล้วนแล้ว แต่จ่ายเป็นเงินสด และไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินหรือทำธุรกรรมใด ๆ ทิ้งเป็นร่องรอยไว้ทั้งสิ้น !?!
ประเด็น :ถ้า “บิ๊กอ่วม” พล.ต.ท.สมชาย นิตยบวรกุล หรือ อ่วมถนอม อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 โดนคำสั่งยึดทรัพย์ 136 ล้านบาท โดยหนึ่งในสาเหตุก็คือ ป.ป.ช. เห็นว่าคำชี้แจงของ พล.ต.ท.สมชาย“ฟังไม่ขึ้น” โดยไม่เชื่อว่า พล.ต.ท.สมชาย ร่ำรวยขึ้นมาได้ส่วนนึงก็เพราะ ขายพระเหรียญทองคำ จตุคามรามเทพรุ่นแรก ได้เงินมาราคา 1,000,000 บาท จึงมีคำมติสั่งให้ยึดทรัพย์
แต่กรณี “โจ๊ก สุรเชษฐ์” ซึ่งได้ค่าแนะนำ-ค่านายหน้าขายพระนับสิบล้านบาท หลายครั้งหลายหน แถมจ่ายกันเป็นเงินสด เรียกว่าหาเส้นเงินในระบบไม่ได้เลย ทำไม ป.ป.ช. จึงเห็นว่า “ฟังขึ้น” และยังไม่ดำเนินคดีใด ๆ กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์