เด็กหนุ่มต่างจังหวัดธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ และมีฝันว่าสักวันต้องมีแกลลอรี่จัดแสดงผลงานภาพถ่ายของตวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยความพยายามเดินหน้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำในสิ่งที่รัก ประเดิมความสำเร็จแรกกับการสร้างผลงานภาพถ่ายสถาปัตยกรรมจนเตะตานักลงทุนต่างชาติ ร่วมทุนเปิดบริษัทในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจภาพถ่ายอสังหาริมทรัพย์แบบวิชวลสามมิติ (3D visual) และด้วยเอกลักษณ์ที่ชัดเจนด้านการถ่ายภาพในแบบ ‘Minimal style’ เรียบง่ายแต่อัดแน่นด้วยรายละเอียด ทำให้วันนี้ บอส-อัฒมาส อิศรางกูร ณ อยุธยา กลายเป็นช่างภาพขวัญใจผู้ลันชัตเตอร์ให้เหล่าคู่รักซูปตาของเมืองไทย
เด็กสายวิทย์ผู้มุ่งมั่นสู่ประธานบริษัท
บอส - อัฒมาส อิงศรางกูร ณ อยุธยา เล่าว่า “ชีวิตในวัยเด็กก็เหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่มีความฝันหลากหลายรูปแบบ ทั้งอยากเป็นวิศวกร โปรแกรมเมอร์ เมื่อโตขึ้นความฝันเริ่มชัดเจนว่าตัวเองชอบเรื่องเทคโนโลยี จึงตัดสินใจเรียนในสาขาวิชา School of Management Technology หรือคณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยชินวัตร ระหว่างนั้นก็ทำงานอดิเรกไปด้วย อย่างการถ่ายภาพ เริ่มตั้งแต่การสแนปภาพด้วยสมาร์ทโฟนและต่อมาก็เริ่มใช้กล้องดิจิทัล โดยสิ่งที่ชอบถ่ายคือ ตึก อาคาร หรือ บ้านเรือน ต่าง ๆ เพราะชอบงาน Architecture และมองว่าสถานที่เหล่านี้มีรายละเอียดซ่อนอยู่มากมาย และยังคงมีเสน่ห์บ่งบอกถึงกาลเวลา ช่วงสมัยได้เป็นอย่างดี
จุดเปลี่ยนของชีวิต คือช่วงที่เรียนจบได้มีโอกาสไปช่วยอินฟูเอนเซอร์สายท่องเที่ยว “ไปตามน้ำ” ถ่ายภาพแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีหลายโรงแรมขอภาพไปใช้ และในขณะเดียวกัน เราเองก็ได้แชร์ภาพลงบนโซเชียล จนไปแตะตานักลงทุนเจ้าของ “บริษัท ซิกน่า วิชวล จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านภาพถ่ายอสังหาริมทรัพย์แบบวิชวลสามมิติ (3D visual) จากประเทศเดนมาร์ก ที่ชื่นชอบผลงานและชวนให้มาร่วมทุนจัดตั้งสาขาใหม่ในประเทศไทย
ความ Minimal style ต้องตาเซเลปเมืองไทย
ความเรียบง่ายแต่มีดีเทลน่าจะเป็นเทคนิคการถ่ายภาพที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของผลงานได้เป็นอย่างดี เพราะจากความเคยชินในการถ่ายตึกรามบ้านช่องและอาคารต่าง ๆ ที่ไม่ต้องพูดว่าพร้อมนะครับ 1 2 3 หรือบอกให้ใครหันซ้ายนิด หันขวาหน่อย ดังนั้นภาพทุกภาพล้วนเกิดจากมุมมองและการกดชัตเตอร์ลงไปจากสิ่งที่เห็น พูดได้ว่าผลงานของเรา ทุกภาพเกิดจากการเล่าเรื่อง ณ ขณะนั้น ให้ดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่อัดแน่นไปด้วยรายละเอียด อัดแน่นไปด้วย moment สำคัญ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่สิบปี เมื่อหยิบภาพนี้มาดูอีกครั้งก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสู่บรรยากาศเหล่านั้นได้ในทันที
ความเรียบง่ายของภาพถ่ายคงเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่ตรงใจหลายคน จนนำไปสู่การชักชวนของเหล่าเซเลป ศิลปินนักแสดง ให้มาช่วยเก็บโมเมนต์สำคัญอย่างวันแต่งงาน หรือ งานสำคัญต่างๆ โดยทั้งหมดเริ่มต้นจากการเป็นทีมช่างภาพซัพพอร์ตและขยับขึ้นมาเป็นทีมหลักที่กดชัตเตอร์ให้คนดังทั่วประเทศไทยมากมาย อาทิ เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, แดน วรเวช-แพทตี้ อังศุมาลิน, อิฐ ปารินทร์ เจือสุวรรณ์ - ออม ปภาพินท์ วีระภุชงค์ และล่าสุด แบม ปีติภัทร - กวาง ช้องมาศ
“ตอนแรกก็รู้สึกแปลกใจที่มีเพื่อนให้ไปถ่ายงานเวดดิ้ง เพราะเข้าใจว่ามันคนละแนวกับงานที่เราทำอยู่ แต่โจทย์ที่ได้รับมาคือ ต้องการได้ภาพแบบดิบๆ เรียลๆ ซึ่งตรงกับแนวทางของเรา ที่ไม่ต้องการประดิษฐ์ภาพหรือจัดองค์ประกอบอะไรมาก เพราะเข้าใจดีว่างานแต่งงานทุกงานบ่าวสาวตั้งใจทำมาอย่างเต็มที่ ดังนั้นหน้าที่เราคือกดชัตเตอร์เก็บทุกโมเมนต์และความทรงจำให้ได้ดีที่สุด”
ภาพที่ดีไม่ต้องเล่าเรื่องเป็นล้านคำ แค่เพียง “ยิ้มได้” ก็พอแล้ว
ในมุมมองของหลายคนอาจมองว่าภาพที่ดีคือ ภาพที่สวย คมชัด แสงสีต้องได้ หรือต้องแทนคำพูดได้เป็นล้านคำ แต่ในมุมมองของบอส ภาพที่ดีคือต้องทำให้เจ้าของภาพ “ยิ้มได้” เมื่อได้เห็นภาพ เพราะเวลาเรากดชัตเตอร์ทุกครั้งเราจะถามตัวเองเสมอว่า คนที่เห็นภาพนี้จะรู้สึกอย่างไรและเราอยากให้เขาเห็นอะไรในภาพนี้ ดังนั้น การทำงานในการถ่ายภาพแต่ละครั้ง จำเป็นต้องมีการวางแผน เข้าไปดูพื้นที่หน้างาน ศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าของงาน ว่าเป็นคนบุคลิกอย่างไร มีมุมไหนที่ชอบเป็นพิเศษ และ กลับมาทำการบ้าน วางคอนเซ็ปต์ วางมุมมองที่ต้องการนำเสนอออกมาให้ตรงจุดและตรงใจ
มุมมองการถ่ายภาพกับประสบการณ์ 10 ปีที่ผ่านมา
โลกของการถ่ายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์และเทคโนโลยีตลอดเวลา ถ้าจะพูดถึงเทคนิคการถ่ายภาพที่สะสมเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ตอบได้คำเดียวว่า “ไม่มี” เพราะว่าการถ่ายภาพคืองานศิลปะ ที่ไม่มีรูปแบบหรือเทคนิคการถ่ายที่ตายตัว เพียงแต่ช่างภาพต้องหาตัวตนของตนเองให้เจอ หาลายเซ็นต์ให้กับภาพถ่ายของตัวเองให้ได้ ส่วนเทคนิคการถ่ายภาพนั้นเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีการถ่ายภาพไม่มีวันหยุดนิ่ง เสมือนกับ ที่เรียกว่าน้ำต้องไม่เต็มแก้ว