เผยความรู้สึกน้องแชมป์ ฮีโร่กล้ามโตฝ่ายกะเทยไทย ระบุยอมแพ้ไม่ได้ ศักดิ์ศรี LGBTQ+ ไทย และคนไทย จึงออกมา คาดเกิดเหตุชุลมุนแล้วตำรวจเห็นว่าเป็นผู้ชายคนเดียวเลยถูกจับใส่กุญแจมือ ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย ไม่ขอใช้คำว่าฮีโร่เพราะเป็นผู้ต้องหา ไม่กังวลเรื่องคดี ว่ากันไปตามกระบวนการ ขอบคุณทุกกำลังใจ
วันนี้ (6 มี.ค.) จากกรณีที่ศึกศักดิ์ศรีกะเทยไทย กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ นับพันคนรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชุมนุมต่อต้านกลุ่มกะเทยผิน หรือกะเทยฟิลิปปินส์ ที่หน้าโรงแรมซิติน ซอยสุขุมวิท 11/1 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ หลังจากกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์กว่า 20 คนรุมทำร้ายกะเทยไทย 2 คนได้รับบาดเจ็บ แล้วนำวิดีโอคลิปไปโพสต์ในลักษณะเยาะเย้ยถากถาง ทำนองว่าฟิลิปปินส์ชนะไทย ทำให้บรรดากลุ่ม LGBTQ+ ทนไม่ไหวออกมารวมตัว ต่อมาตำรวจ สน.ลุมพินีควบคุมตัวหนุ่มหล่อกล้ามโต นามว่านายแชมป์ ที่เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มกะเทยไทยมาดำเนินคดี พร้อมกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์บางส่วน ท่ามกลางกลุ่มกะเทยไทยและชาว LGBTQ+ ออกมาให้กำลังใจนายแชมป์จำนวนมาก
นายแชมป์ (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวานนี้ (5 มี.ค.) ที่ สน.ลุมพินี ว่า ตนเห็นโพสต์ที่พี่ๆ กลุ่ม LGBTQ+ ขอความช่วยเหลือออกมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิของคนไทยที่ถูกทำร้าย หลังจากเห็นโพสต์ดังกล่าวก็ได้ติดตามผ่านไลฟ์สด กระทั่งเวลา 01.30 น. จึงได้มาดูเหตุการณ์จริง รู้สึกว่ายอมแพ้ไม่ได้ในศักดิ์ศรี LGBTQ+ ของคนไทยเหมือนกัน ถึงตรงนั้นทำให้เรามองเห็นว่าความมหัศจรรย์ LGBTQ+ ของคนไทยมีความสามัคคีรวมกันอยู่ในนั้น ซึ่งทำให้เรามีพลังฮึดสู้มากกว่าเดิม
กระทั่งเวลา 04.00 น. กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ลงมา ตนรู้สึกว่ามีเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้น ตนได้เข้าไปห้ามกลุ่มกะเทยไทยที่ทำร้ายผิดคนในกลุ่มที่ทำร้ายคนไทยกันเอง หลังจากนั้นหันไปเห็นกลุ่มที่กำลังตะลุมบอนกะเทยฟิลิปปินส์อยู่ ตามคลิปที่พบเห็น ก็ใส่เต็มตามในคลิป จำไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง แต่เห็นมีคลิปออกไปก็ตามนั้น ตอนแรกถูกแจ้งข้อกล่าวหาทะเลาะวิวาท ต่อมาจึงเปลี่ยนข้อหาเป็นร่วมกันทำร้ายร่างกายแทน โดยผู้ต้องหาฝั่งกลุ่มกะเทยไทยมีแค่ตนคนเดียว ส่วนฝั่งกะเทยฟิลิปปินส์ตำรวจไม่ได้บอกตนว่าแจ้งข้อกล่าวหาอะไร
เมื่อถามว่าอารมณ์ในตอนนั้นรู้สึกอย่างไรจึงต้องกำหมัดสู้ นายแชมป์กล่าวว่า อารมณ์ ณ ตอนนั้นพอมาเห็นสถานที่จริง บวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่ม LGBTQ+ ที่เป็นคนไทย รู้สึกถึงคำว่า ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด ตอนนั้นก็ใช้ได้จริงๆ รู้สึกว่าความมหัศจรรย์ของ LGBTQ+ และความสามัคคีของเราที่จะทำให้คนที่มาดูถูกหรือคุกคาม เหยียดหยามเรา แล้วมาทำร้ายกลุ่ม LGBTQ+ ของคนไทย ทำให้มีแรงฮึดสู้ที่จะเข้าไปทำตรงนั้น ก่อนหน้านี้มีกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ทำท่าทางล้อเลียนต่างๆ ก่อนที่จะลงมา จากที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็มีการเปิดหน้าต่างมาบ๊ายบายต่างๆ ตามในคลิป และมีเหตุการณ์ส่ายก้น แต่ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้รู้สึกว่าหยามกันเกินไป
นายแชมป์ตั้งข้อสังเกตว่า รู้สึกว่าเป็นข้อแตกต่างของคนที่กระทำความผิดระหว่างคนฟิลิปปินส์ กับตนซึ่งเป็นคนไทย ซึ่งของตน ณ ตอนนั้นตนโดนใส่กุญแจมือเลย ซึ่งอาจจะเป็นความผิดซึ่งหน้าซึ่งสามารถจับได้เลย แต่ตนไม่มั่นใจว่าก่อนหน้านี้ทางกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์มีการแจ้งความต่อตำรวจหรือไม่ที่โดนทำร้ายไป ไม่แน่ใจว่าข้อเปรียบเทียบตรงนี้ ข้อเท็จจริงเป็นยังไง แต่ตอนนั้นที่ตนตอบได้ ตนเข้าไปชาร์จตอนที่มีตำรวจ ตนก็ไม่ถอยจนกว่าตำรวจจะเอาตัวตนออกมา ซึ่งตอนนั้นคงมีตนที่เป็นผู้ชายคนเดียว ในกลุ่มที่ชุลมุนกันส่วนมากจะเป็นสาวประเภทสองหรือพี่ๆ ที่ผมยาวกันหมดแล้ว ซึ่งจะดูไม่รุนแรงโหดร้าย หรือร้ายแรงมากเท่าไหร่ แต่ตนค่อนข้างแรงเยอะ ผลักดันจากด้านหลังเข้าไปด้านหน้า จนเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ลำบาก อาจจะล็อกตัวตนออกมาก่อนและใส่กุญแจมือ
โดยส่วนตัวไม่ได้คลุกคลีอยู่กับสาวประเภทสองในละแวกนั้น (สุขุมวิท 11) เลย ติดตามข่าวจากโลกออนไลน์ต่างๆ และมีเพื่อนๆ เล่าให้ฟังด้วยที่คลุกคลีกับคนที่อยู่แถวนั้น ก็เลยได้รู้ข้อเท็จจริงบางอย่าง แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย อยู่ทีมไทยอยู่แล้ว ก็ทำให้เรารู้สึกว่ามีแรงฮึดมากกว่าเดิมและต้องสู้มากกว่าเดิม ส่วนความรู้สึกเห็นว่ากระบวนการค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยากมาก รู้สึกเหนื่อยมากกว่ากับกระบวนการต่างๆ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นความผิดต่างๆ ต้องมาดูกันอีกที
ส่วนที่มีคนยกย่องให้เป็นฮีโร่นั้น นายแชมป์กล่าวว่า คำว่าฮีโร่ไม่แน่ใจว่าต้องใช้กับคนประเภทไหน แต่สำหรับตน การที่ทำแบบนั้นลงไป รู้สึกว่าเป็นศักดิ์ศรีของกลุ่ม LGBTQ+ และคนไทย การที่กลุ่มชาวต่างชาติมาทำแบบนี้ในประเทศไทย มันเป็นการเหมือนหยามศักดิ์ศรีของคนไทย เลยรู้สึกว่าคำว่าฮีโร่อาจจะใช้ไม่ได้กระมัง เพราะตนเป็นผู้ต้องหา แต่การที่กระทำไปแบบนั้นทำอย่างสุดความสามารถและเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ณ ตอนนั้นก็เป็นสนามอารมณ์เราก็ใส่เต็มที่ ส่วนความกังวลทางคดีความไม่เป็นกังวล เพราะรู้สึกว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการ ผิดก็ว่าไปตามผิด เรื่องที่เป็นฮีโร่หรือใดๆ ก็ตามต้องแยกออกจากกัน
ส่วนการที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาสำหรับฝั่งกะเทยฟิลิปปินส์ ถ้าให้พูดตามตรงยังรู้สึกว่าไม่เท่าเทียมหรือไม่ถูกต้อง เหมือนกับเราที่เป็นคนไทยดำเนินการค่อนข้างไว แต่กลุ่มชาวต่างชาติหรือฟิลิปปินส์ยังไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ สามารถเปรียบเทียบหรือมองได้อีกรูปแบบหนึ่งว่า จะมีบางกลุ่มเดินทางออกไปแล้ว หรือกำลังจะเดินทางออกไป ซึ่งยังมีคำถามตรงนั้นว่า ถ้าพวกเขาเหล่านั้นที่ทำร้ายคนไทย เดินทางออกไปจากประเทศไทยแล้ว เรายังสามารถเอาผิดเขาได้หรือไม่ เหมือนกับคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย ที่เข้าไปทำร้ายเขา แล้วก็โดนจับกุมตัวมาเหมือนตน ถูกจับใส่กุญแจมือไหม เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ณ จุดนั้นมากกว่า
ต่อมาเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า "ตอนนี้ผมได้รับประกันตัวแล้ว จากกรณีที่เกิดขึ้นทางผมไม่ได้มีการระดมทุน หรือรับบริจาคเพื่อการประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้น และขอบคุณทุกกำลังใจจากกลุ่ม LGBTQ+ และทุกๆ คน ขอบคุณครับ"