xs
xsm
sm
md
lg

จับโป๊ะ 7 ประเด็น “โจ๊ก” ขว้างงูไม่พ้นคอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ชำแหละ 7 ประเด็น “บิ๊กโจ๊ก” แถลงแก้ตัวไม่เกี่ยวข้องเว็บพนันมินนี่ พร้อมพยายามดิสเครดิต “บิ๊กเต่า” ชี้ชัดบิดเบือนความจริงทั้งเรื่องหมายจับลูกน้อง อ้างว่าข้อกล่าวหาเหมือนบัตรสนเท่ห์ ทั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ร้องเอง เฉไฉอ้างว่าไม่ได้คุมตำรวจไซเบอร์แล้วเว็บพนันจะเอาส่วยมาให้ได้อย่างไร ลืมไปว่าตนเองเคยคุมหน่วย TACTICS มาก่อน



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ตอบโต้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ที่ก่อนหน้านั้นได้ให้ข่าวความคืบหน้า “คดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่” ซึ่ีงมีลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปเกี่ยวข้องด้วย และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็กำลังจะโดนแจ้งข้อหาตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับมาตรา149 ด้วย


ในวันนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเพื่อแก้ตัว ดิสเครดิต และพยายามกล่าวหาพนักงานสอบสวน “คดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่” อยู่หลายประเด็น ซึ่งพบว่ามีอยู่หลายเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บิดเบือนข้อเท็จจริง เมื่อคัดออกมาเป็นข้อ ๆ แล้วได้ทั้งหมด 7 ข้อดังนี้

ข้อที่ 1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์กรณีจับลูกน้องใกล้ชิดของตัวเองว่า “ถ้าพูดเรื่องนี้ ขอออกหมายจับลูกน้องผม 8 คน ก็ใช้ชื่อว่า นาย (ไม่ได้ระบุยศตำรวจ) ...ถ้าเป็นข้าราชการ ทุกส่วน ต้องไปขอที่ศาลอาญาทุจริตกลางเท่านั้น..”

ขณะที่ข้อเท็จจริงของการขอหมายจับในเรื่องนี้ กรณีข้าราชการและหรือชาวบ้านทั่วไปกระทำผิดหรือร่วมกระทำผิด กฎหมายที่อยู่ในอำนาจของ คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จึงอยู่ในอำนาจของ “ศาลอาญาทุจริต” และ ไม่จำเป็นต้องไปขอหมายที่ “ศาลอาญาทุจริตกลาง” เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจของศาลเป็นสำคัญ


แต่ถ้ากรณีเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาทั่วไป (ซึ่งกรณีนี้ก็คือลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่เป็นนายตำรวจไปมีส่วนเกี่ยวพัน และเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันมินนี่) ไม่ว่าจะข้าราชการหรือชาวบ้านทั่วไป ก็ไปขอหมายศาล ไม่ว่าจะหมายจับ หมายค้น ตามเขตอำนาจศาลที่มีอำนาจในท้องที่นั้น ๆ อย่างในกรณีนี้คือ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไม่ใช่ว่าเป็นข้าราชการทำผิดกฎหมายแล้วต้องไปขอหมายจับ หมายค้น จาก“ศาลอาญาทุจริต”เท่านั้น

ถ้าเชื่อตามที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์พูด อย่างนี้ถ้า “เจ้าหน้าที่ตำรวจไปยิงคนตาย” ก็ต้องไปขอหมายจับหมายค้นจากศาลอาญาทุจริตอย่างนั้นหรือ?

ข้อที่ 2. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โวยวายว่ากรณีการค้นบ้านพักในหมู่บ้านในซอยวิภาวดี 60 หลังสโมสรตำรวจ เมื่อ วันที่ 25 กันยายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจปกปิดข้อเท็จจริง โดยอ้างว่าถ้าศาลรู้ว่าเป็นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะไม่ออกหมายค้นให้


ข้อเท็จจริงคือ ชุดสืบสวนสอบสวนคดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ พบความเกี่ยวข้องทางการเงินของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ซึ่งเป็นลูกน้องมือขวาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.คริษฐ์ และพบว่าปกติพักอยู่ในบ้านพักหลังสโมสรตำรวจ ซึ่งเจ้าของก็คือ “เสี่ยแต๋ม อุดร” นายชินรัตน์ วัฒนกุล และภรรยาคือ นางสิริกาญจน์ วัฒนกุล ไม่ได้มีชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เลย

คำถามที่น่าตอบมากกว่า “หมายค้น” ออกโดยชอบหรือไม่ชอบก็คือ บ้านก็ไม่ใช่บ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กลับบอกว่า “ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นบ้านผม” หลักฐานคำพูดนี้อยู่ในสื่อเต็มไปหมด


ทั้งนี้ นอกจาก “เสี่ยแต๋มและภรรยา” จะมีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน 5 หลังในโครงการดังกล่าวแล้ว ยังมีชื่อเป็นผู้จ่ายค่าส่วนกลางและใช้ชื่อในการขอใช้ไฟฟ้าทั้ง 5 หลังอีกด้วย

บ้านพักหลังที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัยอยู่นั้น จ่ายค่าส่วนกลางเป็นเงินรวม 62,000 บาท ส่วนหลังอื่น หลังละ 26,000-27,000 บาท รวมค่าส่วนกลาง 5 หลัง จำนวนทั้งหมด 142,000 บาท


“แล้วคุณจะมาอ้างแบบข้างๆ คูๆ ว่าเช่าอยู่ เขาให้ผมอยู่ เสี่ยแต๋ม เป็นญาติห่างๆ ของผม คุณลืมไปแล้วใช่ไหมว่าคุณเป็นข้าราชการตำรวจ เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้วย เป็นถึงรอง ผบ.ตร. อย่างนี้ ผิดระเบียบการรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดๆ โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐที่ห้ามรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดมูลค่าเกิน 3,000 บาท หรือเปล่า นายสนธิกล่าว

แล้ว “เสี่ยแต๋ม อุดร” นายชินรัตน์ วัฒนกุล เป็นใคร?

ก็เป็นคนใกล้ชิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน นอกจากนี้ยังเป็นพยานให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใน“คดีส่วยคาราโอเกะ”ในภาคอีสาน สมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผกก.3 บก.ปคม.เมื่อปี 2553-2554 จนในที่สุด ป.ป.ช. ก็ตีตกคดีนี้ไปอย่างมีเงื่อนงำ โดยหลายคนเชื่อว่าคดีนี้ ป.ป.ช. “ด่วนสรุป” และกรรมการ ป.ป.ช. บางคนให้น้ำหนักคำให้การของพยาน ที่เป็นคนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มากอย่างผิดปกติ


ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏภาพและคลิปเสียงชัดเจนว่า ระหว่างที่ตำรวจเข้าไปตรวจค้นบ้าน 5 หลังดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีการดุด่าและการขับไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ที่นำหมายค้นไปแสดงเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาล กรณีนี้เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ เป็นความผิดตาม ป.อาญา ม.136

“ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ส่วนการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ในการเข้าตรวจค้นตามคำสั่งศาล เป็นความผิดตาม ป.อาญา ม.138“ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ”

ซึ่งจริง ๆ แล้ว เรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์นั้น ความผิดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว หลักฐานเป็นภาพและคลิปเสียงชัดเจนมาก

“ผมก็จะถามต่อถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อีกครั้งนะครับ ว่า ท่านแน่ใจนะว่าการที่ท่านคุยกับ "พี่โจ๊ก" ของท่านทุกวัน ออกมาการันตี "พี่โจ๊ก" ยังบริสุทธิ์ 100%



“โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วท่าน ผบ.ตร. พูดอย่างนี้ครับ "ใครเจ๋งก็ต้องเก็บไว้ ของแท้ไม่ต้องออกมาพูด นักเลงเขาไม่พูดกัน ตอบโต้กันองค์กรมันเสียหาย หากพนักงานสอบสวนมีข้อมูลก็ใช้ข้อมูลไม่ต้องมาโชว์ ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ผิดก็คือไม่ผิด วันนี้ยังบริสุทธิ์อยู่ 100% ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ผมไม่ได้ลอยตัว ผมคุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทุกวัน"

“ท่านผู้ชมครับ ผมถามว่าถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป ป่านนี้ติดคุกไปตั้งนานแล้ว แต่นี่เป็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นอกจากยังไม่ถูกดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังมีหน้าออกมาสวนคนโน้นคนนี้เป็นรายวัน ไม่เว้นแม้แต่ ผบ.ต่อศักดิ์

“คุณต่อศักดิ์ ต้องระวังให้ดี วันดีคืนดีมีพวกหมาบ้าออกมาโวยวายเรื่องนี้ แล้วคุณเองอาจจะโดน 157 ที่ไม่ดำเนินการเรื่องนี้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ท่าน ผบ.ครับ อย่าสองมาตรฐานมากนัก”

ข้อที่ 3.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งโดยเปรียบเทียบว่าเรื่องที่ตนเองและลูกน้องโดนทั้งหมดนั้นเหมือนเรื่อง“บัตรสนเท่ห์”โดยพูดว่า“แล้วผมจะบอกว่าที่ส่งเรื่องผมไปทั้งหมดนั้นมันเหมือนอะไร? ผมเปรียบเทียบ มันเหมือนบัตรสนเท่ห์ หรือใบปลิว”

ข้อเท็จจริง เรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์นั้น ไม่เหมือนบัตรสนเท่ห์หรือใบปลิวแม้แต่นิดเดียว “บัตรสนเท่ห์-ใบปลิว” ต้องไม่มีการลงลายมือชื่อ ทำขึ้นมาลอย ๆ ไม่รู้ว่าใครทำ ใครร้อง


แต่กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นการกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยพนักงานสอบสวนแล้ว มีหลักฐานอย่างละเอียด มีหลักฐาน มีพยานบุคคล มีผู้ต้องหา ลูกน้องที่เกี่ยวข้อง มีเส้นทางทางการเมืองแบบละเอียดยิบ อย่างนี้จะเรียก “บัตรสนเท่ห์”ได้อย่างไร???

“จริงๆ แล้วที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดเปรียบเปรยเรื่องของบัตรสนเท่ห์นั้น ผมสงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร รู้ไหม ? หรือเป็นเพราะว่าคุณสุรเชษฐ์ ชอบทำกับคนอื่นด้วยวิธีนี้ คุ้นๆ หรือเปล่า คุณสุรเชษฐ์ ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าเรื่องไหนบ้างที่คุณทำไว้ คุณไปเปิดดูคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือพนักงานสอบสวนและสืบสวนอยู่ ลูกน้องที่ติดตามคุณ สนิทมาสิบกว่าปี ไปดู” นายสนธิกล่าว


ข้อที่ 4. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงว่า “ผมทำคดีมาเยอะ...ผมยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ผมดำเนินคดีเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตำรวจ ตม. 107 นาย ท่านเห็นไหมครับว่าผมส่งไปไหน ไป ป.ป.ช.แล้วผมเคยออกมาแถลงข่าวไหม”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะเป็นคนขี้ลืม พูดอะไรไว้ ทำอะไรไว้ ลืมหมด ถ้าไม่เคยแถลงข่าวไม่เคยให้สัมภาษณ์แล้วที่ เรื่องที่เพื่อนของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คือ พล.ต.ท.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ กับ พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ฟ้องหมิ่นประมาท ตอนนี้คาอยู่ในศาล จะว่าอย่างไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องแมนกว่านี้ ไม่ใช่เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นตลอดเวลา

“แล้วผมกำลังจะขุดเรื่อง "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ที่คุณอ้างว่าคุณเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนสมัยที่คุณเป็น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

“คุณสุรเชษฐ์ คุณพอจะรู้ใช่ไหม คุณอายใช่ไหม แต่คุณไม่กล้าพูด ผมจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านผู้ชมและประชาชนทั่วไปได้เห็น ว่าในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเวลาคุณไปเล่นงานใครแล้ว คุณออกสื่อออกแสงเลย กระทืบพวกเขาจนกระทั่งเขาเหมือนอั้งยี่ เหมือนโจรผู้ร้ายที่เลวทรามต่ำช้า ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ท่านผู้ชมคงรู้แล้วใช่ไหม คดีนี้ในที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และศาลฎีกาก็ยกฟ้องทั้งหมด คุณสุรเชษฐ์ครับ นี่คือจุดดำของคุณ” นายสนธิกล่าว

ข้อที่ 5. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์กรณีว่าคดีของตัวเองต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ ไม่ใช่ตำรวจ โดยบอกว่า “ท่านรองผู้บัญชาการผู้ทรงพลัง (หมายถึงบิ๊กเต่าพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว) เขาบอกว่า...ผมก็จะพูดหลักกฎหมายให้ฟังว่า คดีมูลฐานความผิดฐานฟอกเงินที่ 300 (ล้านบาท) ขึ้นไป มันเป็นอำนาจของดีเอสไอแล้วนะ เขาเรียกว่าเป็นคดีพิเศษ ท่านไม่มีอำนาจสอบสวน มันจะติดคุกกันหมด...วันนี้คุณท่านต้องส่งสำนวนไปดีเอสไอ”


ประเด็นนี้เรื่องนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์พูดไม่หมด บิดเบือนข้อเท็จจริง เนื่องจากต้องการเบี่ยงประเด็นไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดการ จึงพยายามดึงเรื่องไว้ที่ ป.ป.ช.บ้าง, หรือ อ้างเรื่องกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่สังกัดอยู่กับกระทรวงยุติธรรมบ้าง

ทั้งนี้ การจะรับเป็นคดีพิเศษของ DSI ต้องเข้าข่ายความผิดที่อยู่ในอำนาจของ DSI ตามบัญชีท้ายของ DSI ทาง DSI ถึงจะมีอำนาจ

ประการสำคัญคือ อยู่ในอำนาจแล้ว DSI ต้องรับเป็นคดีพิเศษ ด้วย เพราะ “คดีเว็บพนันมินนี่” DSI ไม่ได้เริ่มทำคดีเองแต่ต้น ตำรวจทำมาก่อน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ 300 ล้านบาทเลย

“คดีเว็บพนันมินนี่”นี้มีอยู่ช่องเดียวที่จะไปตกอยู่กับ DSI ก็คือ ต้องมีการการวิ่งให้ ป.ป.ช. เป็นคนชี้และส่งเรื่องมาให้ DSI สอบสวนแทนเท่านั้น

ถามต่อว่า เพราะอะไรที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องพยายามปัดคดีตัวเองเข้า ป.ป.ช. หรือ ดีเอสไอ เป็นหน่วยงานที่ทำคดี?

“ในกรณีของ ป.ป.ช.นั้น เป็นที่ทราบและเปิดเผยมาก่อนหน้านี้แล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีเส้นมีสายและซี้ปึ้กกับกรรมการ ป.ป.ช. บางคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สายสัมพันธ์นี้ยังไล่ถึงระดับผู้อำนวยการ พนักงานไต่สวนระดับสูง พนักงานไต่สวนระดับกลาง ที่คอยชงเรื่องต่างๆ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย

“แต่ในกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นั้น ท่านผู้ชมทราบว่าดีเอสไอนั้นอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งปัจจุบันคนที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชื่ออะไร ทุกคนทราบแล้ว คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เจ้าเก่าในการช่วยให้ทักษิณพักโทษได้”
นายสนธิกล่าว


ข้อที่ 6.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงตอนหนึ่งว่า “เรื่องสำนวนส่วนหนึ่ง ... ความลับในสำนวนมันเปิดเผยออกมาอย่างนี้ได้อย่างไร …ผมทำคดีทุกคดีผมไม่เคยทำแบบนี้ ผมเคยไหม แพลมโผล่นี่ อันโน้นโผล่ที ... แต่คุณรู้ไหมว่าคุณทำอย่างนี้มันผิด พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร และมันโยงกับระเบียบการรักษาความลับทางราชการ หัวหน้าพนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบ”

นายสนธิ กล่าวว่า เห็นด้วยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องหาตัวให้เจอว่าใครเอาข้อมูลไปปล่อยแล้วดำเนินคดีด้วย แต่ย้อนกลับไปตอน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์คุมงานสืบสวนสอบสวนสมัย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ เป็น ผบ.ตร. ในคดี “กำนันนก” นายประวีณ จันทร์คล้าย คดียิงสารวัตรทางหลวงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เอาภาพวงจรปิดมาเปิดนั่งแถลงข่าว เปิดด้วยตัวเอง


“คุณสุรเชษฐ์ คุณจำได้หรือเปล่า อย่าลืมสิ คุณได้เอาภาพวงจรปิดมานั่งเปิดแถลงข่าว คุณเปิดเองเลย หรือคุณจะบอกว่าคุณทำได้ ไม่ผิด แต่คนอื่นทำไม่ได้ ผิด

“ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังว่าทำไมผมต้องออกมาสวนเขา เพราะนายคนนี้โกหกตลอดเวลา ผมจะแถมให้อีกนิด นอกจากผิดตามที่ว่าแล้ว ความผิดก็สำเร็จไปแล้ว ตาม ป.อาญา มาตรา 164 คุณทำผิดไปแล้ว คุณสุรเชษฐ์

“หลักฐานพิสูจน์ชัด "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานรู้หรืออาจรู้ความลับทางราชการ กระทำโดยประการใดอันมิชอบด้วยหน้าที่ ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" เพราะภาพกล้องวงจรปิดมันเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ความลับในสำนวนการสอบสวน คุณสุรเชษฐ์ แล้วคุณเอามาเปิดให้สื่อมวลชนไปออกข่าวได้อย่างไร”


ข้อที่ 7.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงอีกประเด็นหนึ่งว่า “แล้ววันนี้ผมต้องเรียนท่านอีกส่วนหนึ่งว่า ผมไม่ได้คุมปราบเว็บพนัน สื่อมวลชนก็รู้อยู่แล้วว่า...ผมไม่ได้มีหน้าที่ ผมไม่ได้คุมกองบัญชาการไซเบอร์...แล้วใครจะมาจ่ายค่าตำรวจ จ่ายส่วยให้ผม...”

ในเรื่องนี้ นายสนธิตั้งข้อสังเกตว่า “คดีเว็บพนันมินนี่” มาโป๊ะแตกเอาตอนเดือนกันยายน 2566 จนมีการจับกุมลูกน้องคนสนิททั้ง 8 คน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

หมายความว่า “เว็บพนันมินนี่” รุ่งเรืองในยุคที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีอำนาจสืบสวนสอบสวนอยู่ในมือ ทำไมตอนมีอำนาจในมือถึงไม่จับ “เว็บพนันมินนี่” แถมลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังไปโอบเอว, กินข้าวดินเนอร์, หอมแก้ม, ยอมรับกันว่ามีสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้ง, แถมยังมีภาพ “มินนี่” ยืนร้องคาราโอเกะกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
อีก


“ไหนคุณพูดบอกว่าคุณเป็นศัตรูตัวฉกาจของเว็บพนัน แล้วหลักฐานพวกนี้ล่ะ หมายความว่ายังไง?

“ที่น่าตลกขบขันไปกว่านั้น คุณอ้างว่าตัวคุณเองไม่เคยคุมหน่วยงานตำรวจที่ปราบปรามเรื่องเว็บพนันเลย เลยไม่สามารถให้คุณให้โทษเว็บพนันได้ คุณพูดว่า "ผมไม่ได้มีหน้าที่ ผมไม่ได้คุมกองบัญชาการไซเบอร์ ผมไม่ได้มีหน้าที่ปราบเว็บพนัน แล้วใครจะมาจ่ายค่าตำรวจ จ่ายส่วยให้ผม ผมไม่มีอำนาจหน้าที่ ใครจะมาจ่ายให้ผม รอง ผบ.ตร. คุมมั่นคง รอง ผบ.ตร. คุมกฎหมาย ใครจะมาจ่ายค่าเว็บพนัน ก็มันไม่ได้คุมหน่วยปราบ ให้คุณให้โทษก็ไม่ได้ แล้วผมก็ไม่เคยคุมตรงนี้เลย ผมก็พูดเรียนท่านตรงๆ"


ในความเป็นจริงแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยคุมหน่วยเฉพาะกิจที่เรียกว่า TACTICS ที่เป็นหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในยุคของที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


แบนเนอร์ประชาสัมพันธ์ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ซึ่งตอนนั้นล.ต.ต.สุรเชษฐ์ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และ รองผู้อำนวยการศูนย์ TACTICS นี้อยู่

แบนเนอร์นี้ มีข้อความชัดเจนครับว่า 13 หน้างานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง 13 งาน ยกตัวอย่าง 3 ข้อ ได้แก่ ข้อที่ 3. การพนัน ข้อที่ 7. พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ข้อที่ 13. อื่น ๆ (อาชญากรรมทั่วไป ครอบจักรวาล)


“หลักฐานชัดขนาดนี้แล้วคุณยังกล้าออกมาโกหกหน้าด้านๆ อีกหรือว่าคุณไม่เคยคุมหรือเกี่ยวข้องกับการปราบปรามเว็บพนัน ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับคนพวกนี้ได้

“คุณบอกว่า "ถ้าผมลงเลือกตั้งอีสาน ผมได้เป็น สส. แน่" คุณสุรเชษฐ์ คุณหลงนึกไปเองหรือคิดว่ามีคนชอบคุณอยู่มากมาย ถึงกับคุยโวโอ้อวดระหว่างการแถลงข่าวแบบนั้น แต่มองอีกมิติหนึ่ง คุณไม่รู้หรอกว่ามีคนเกลียดคุณมากขนาดไหน

“เจ้านายคุณ อดีตเจ้านายคุณ คนใกล้ตัวคุณ คนใกล้ชิดคุณ เพื่อนร่วมรุ่นคุณ รุ่นพี่-รุ่นน้อง ตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยสองแสนกว่าคน ยังไม่นับลูก-เมีย ญาติพี่น้องของเขาอีก ที่โดนคุณกระทำ คุณอย่านึกว่าพวกเขาจะเป็นที่ระบายอารมณ์หรือกระสอบทรายให้คุณกระทำฝ่ายเดียวนะ คุณสำเหนียกไว้ด้วย

“ล่าสุด คุณส่งทนายมาฟ้องผมหมิ่นประมาทแล้ว 2 คดี ผมไม่ว่าอะไร เพราะอย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่า ในชีวิตการเป็นสื่อมวลชนของผม การโดนฟ้องหมิ่นประมาท เหมือนการเข้าไปนั่งขี้ในยามเช้า มันอยู่ในวิถีชีวิตไปแล้ว เพราะชีวิตผมโดนฟ้องมาแล้ว 164 คดี


พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
“ที่สำคัญ ผมอยากจะเตือนคุณสุรเชษฐ์ ว่าในคดีเป็นร้อยๆ คดีที่ผมโดนฟ้องมาก่อนนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติฟ้องผม 3 คน คนแรกคือ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ยกฟ้องหมด คนที่สอง คือ พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ฟ้องผม 27 กรรม ศาลยกฟ้องเช่นกัน คนที่สาม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ซึ่งฟ้องแล้วถอนฟ้อง ขอไกล่เกลี่ย เพราะว่าตัวเองเกษียณอายุแล้ว ไม่อยากค้าความกับผม ก็เลยไปไหว้วานคุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย มาขอร้องให้ผมประนีประนอมกับคุณสุวัฒน์ คุณสุวัฒน์ ก็ขอถอนฟ้องไปแล้ว

“วันนี้คุณเป็นแค่รอง ผบ.ตร. ยังไม่ถึงขั้น ผบ.ตร. ฟ้องผมไปเถอะครับ ฟ้องผมเยอะๆ ผมไม่เคยหวาดหวั่นหรือหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะผมเชื่อมั่นว่าความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว และเมื่อถึงที่สุดแล้วความจริงก็จะปรากฏ”
นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น