ตรวจคนเข้าเมืองแจงกรณีนักท่องเที่ยวมาไทยต้องมีเงินติดตัวหมื่นห้าไม่จริง เน้นแผนท่องเที่ยวและจองที่พัก เผยมีชาวอินโดฯ ใช้ไทยทางผ่านทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้าน แฉหลักฐานสาวอินโดฯ มาไทยอ้างไม่ให้สามีเข้าประเทศ ถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกประจาน ที่แท้มาคนเดียว แถมอยู่ไทยกว่า 13 วัน เชื่อสร้างคอนเทนต์
วันนี้ (29 ก.พ.) จากกรณีที่นางเดวี เลสตารี (Dewi Lestari) อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์กับ RRI Network ระบุว่า นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศไทยควรมีเงินสด 15,000 บาท ตามข้อกำหนดใหม่ และชี้แจงว่ากฎเกณฑ์นี้ใช้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคนที่เข้ามาในประเทศไทย โดยไม่คำนึงถึงประเทศต้นทาง โดยชาวอินโดนีเซียจำนวนมากร้องเรียนผ่านสถานทูตฯ เกี่ยวกับการถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีสาเหตุหลายประการ สถานทูตอินโดนีเซียในกรุงเทพฯ จึงออกคำเตือนดังกล่าว
โดยตามที่สถานทูตฯ ระบุ นักท่องเที่ยวจะต้องแสดงหนังสือเดินทางที่ยังใช้งานได้ ซึ่งมีอายุการใช้งานขั้นต่ำ 6 เดือน หลักฐานตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และหลักฐานที่พัก สุดท้ายนี้ ผู้มาเยือนจะต้องแสดงหลักฐานความสามารถทางการเงิน ระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศไทย โดยนำเงินสดเข้ามาในประเทศอย่างเพียงพอ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไม่ได้ระบุเจาะจงว่านักท่องเที่ยวจะต้องนำเงินจำนวนเท่าใด แต่หากพิจารณาจากโอเพนซอร์ส อย่างน้อย 15,000-20,000 บาทต่อคน
การไม่ปฏิบัติตาม หมายถึงการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจปฏิเสธไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย กฎนี้ใช้กับนักท่องเที่ยวทุกคนทั่วโลก แต่จะไม่นำไปใช้กับทุกคน บางครั้งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะทำการสุ่มตรวจ แต่นักท่องเที่ยวควรปฏิบัติตามนโยบายเพื่อให้แน่ใจว่าจะเข้าประเทศไทยได้ ข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ทั้งในประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซีย
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ได้มีนักท่องเที่ยวสาวชาวอินโดนีเซียเผยแพร่คลิปลงบัญชี Tiktok ระบุว่า เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2567 ตนและสามีเดินทางมาฉลองฮันนีมูนที่ประเทศไทย ตนผ่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้ แต่สามีติดตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากไม่มีเงินติดตัว ซึ่งตนได้พยายามกด ATM แสดงเงินแก่เจ้าหน้าที่ ตม. แต่ก็ยังส่งสามีตนกลับประเทศ เป็นเหตุให้ตนต้องยกเลิกทริป และเดินทางกลับไปพร้อมสามี โดยเปลี่ยนไปฮันนีมูนที่ประเทศญี่ปุ่นแทน กลายเป็นไวรัลในประเทศอินโดนีเซีย มียอดวิว 24.5 หมื่นครั้ง ยอดคอมเมนต์ 1,476 ความเห็น ส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย และ ตม.เป็นอย่างยิ่ง
เรื่องดังกล่าว พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 และโฆษก สตม. ได้ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวว่า ทาง บก.ตม.2 ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวอินโดโพสต์ข้างต้น และพบว่าผู้โพสต์เป็นชาวอินโดนีเซีย ได้เดินทางเข้าประเทศไทยทางสนามบินดอนเมือง เที่ยวบินที่ FD395 จากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2567 โดยปรากฏภาพในกล้องวงจรปิดว่าหญิงดังกล่าวเดินทางเพียงคนเดียว ไม่มีสามีมาด้วยตามที่กล่าวอ้าง และได้รับอนุญาตเข้าประเทศไทย โดยเดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อ 16 ม.ค. 2567 ทางสนามบินสุวรรณภูมิ พำนักในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 13 วัน ไม่ได้เดินทางออกทันทีตามที่กล่าวในคลิปแต่อย่างใด นอกจากนี้ จากการขยายผลพบว่านักท่องเที่ยวสาวชาวอินโดนีเซียเข้าออกประเทศไทยบ่อยครั้ง โดยมีอาชีพขายของออนไลน์ จึงเชื่อว่าตั้งใจสร้างคอนเทนต์
ต่อมา พล.ต.ต.เชิงรณเชิญผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกรุงเทพมหานครมาร่วมรับฟังคำชี้แจงเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2567 โดยมีอัครราชทูตที่ปรึกษา หัวหน้าฝ่ายพิธีการทูตและกงสุล อินโดนีเซีย และคณะมาร่วมประชุม โดยได้รับเกียรติจาก นายนิธิ สีแพร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมประชุมด้วย เนื่องจากเรื่องนี้กระทบต่อนโยบายเปิดฟรีวีซ่า และการกระตุ้นการท่องเที่ยวของทางรัฐบาลเป็นอย่างมาก โดยเปิดเผยหลักฐานจากกล้องวงจรปิดให้ที่ประชุมรับทราบ
พล.ต.ต.เชิงรณชี้แจงว่า ทาง ตม.ไทยมีการจัดลำดับในการตรวจสอบกลุ่มท่องเที่ยวที่อาจแฝงตัวเข้ามาลักลอบทำงาน โดยดูแผนการท่องเที่ยว การจองที่พักเป็นหลัก ส่วนเงินติดตัวเป็นประเด็นประกอบเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้บัตรเครดิต และระบบ E-payment จำนวนมากแล้ว ดังนั้น การกล่าวอ้างเรื่องการมีเงินติดตัวไม่พอแล้วจะถูกปฏิเสธการเข้าเมือง จึงไม่ตรงตามข้อเท็จจริง และคนต่างชาติที่ถูกปฏิเสธเข้าเมืองส่วนใหญ่ไม่สามารถแสดงแผนการท่องเที่ยว ไม่มีการจองที่พัก รวมถึงบางรายใช้หลักฐานการจองที่พักปลอมเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ ตม.ด้วย
ทั้งนี้ พบว่าคนอินโดนีเซียจำนวนมากถูกหลอกให้บินเข้าประเทศไทยเพื่อผ่านแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แล้วเข้าไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเข้าข่ายเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ และที่ผ่านมาทางสถานทูตอินโดนีเซียยังเคยมีหนังสือขอบคุณ ตม.สนามบินดอนเมืองที่ช่วยคัดกรองชาวอินโดนีเซียให้ด้วยซ้ำ ย้ำว่า ตม.ไทย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียเสมอ จากนั้นนายนิธิได้ยืนยันเรื่องมาตรการฟรีวีซ่าของทางรัฐบาล และขอบคุณที่ทาง ตม.ได้เชิญพบปะหารือ ชี้แจงข้อมูลในครั้งนี้ ซึ่งทาง ททท.ได้รับทราบความชัดเจนจากทาง ตม. และจะนำเรียน รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ต่อไป