บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด หรือ สยามยิปซัม ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัม และนวัตกรรมระบบฝ้าเพดานและผนังยิปซัมในประเทศไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนและมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ จึงได้ตั้งเป้าเดินหน้าสู่การเป็น “ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน” โดยมุ่งมั่นเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2045
นายอนุพงษ์ รงค์เหลืองอร่าม กรรมการผู้จัดการประเทศไทย กัมพูชา ลาว พม่า บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด กล่าวถึงแผนระยะยาวในการบรรลุเป้าหมายธุรกิจวัสดุก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจยิปซัมที่สามารถต่อยอดสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนที่จะมีส่วนช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero Carbon ในปี 2045 โดยวางกลยุทธ์สำคัญในหลากหลายมิติเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตัวอย่างเช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ หรือฉลาก EPD) การใช้พลังงานทดแทน การลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
“ล่าสุด สยามยิปซัมได้ทำโครงการนำร่อง นำนวัตกรรมพลังงาน EV FORKLIFT ไฟฟ้าภายในโรงงาน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ทุกอุตสาหกรรมต้องใช้งานเพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรงในการยกหรือขนย้ายสินค้าอยู่แล้ว โดยภายในไตรมาส 1 ของปี 2024 EV FORKLIFT ไฟฟ้า จะถูกนำไปใช้ในการยกขนย้ายสินค้าภายในโรงงานสระบุรี 2 แห่ง และโรงงานสงขลาอีก 1 แห่ง และภายในปี 2025 บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนการใช้งานของ EV FORKLIFT ครบ 100% ซึ่งจะเป็นหนึ่งในการดำเนินการเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับบุคลากรขององค์กรและขยายวงกว้างเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม”
สำหรับ EV FORKLIFT จัดว่าเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จึงไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นมลพิษทางอากาศ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อเปรียบเทียบเชิงพลังงาน (หน่วยกิโลวัตต์-ชั่วโมง) EV FORKLIFT ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมันถึง 90% นอกจากนี้ สยามยิปซัมยังมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในส่วนงานอื่นอย่างต่อเนื่อง
“เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินธุรกิจวัสดุก่อสร้างเพื่อความยั่งยืนในมิติต่างๆ จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อน และยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทยสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และพัฒนาสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน” นายอนุพงษ์กล่าวทิ้งท้าย