ผังเมืองรวม กทม.ฉบับปรับปรุง เตรียมขยายถนน 148 สาย ระยะทาง 600 กทม. ทำชาวบ้านเดือดร้อนหนัก เช่นกรณีคอนโดผาสุข ซอยอารีย์ จะขยายถนนจาก 2 เป็น 4 เลน ต้องโดนรื้อแน่ จวก กทม.ลักไก่รับฟังความเห็นประชาชนแบบพอให้เสร็จตามขั้นตอน ไม่แจ้งให้ทั่วถึง เชื่อหวังเอื้อนายทุนอสังหาฯ รายใหญ่ เพราะหากขยายถนนตามผังใหม่จะสร้างตึกได้สูงกว่า 30 ชั้น จากเดิมสร้างได้เพียง 8 ชั้น และมีบางตึกสร้างไปก่อนแล้ว ทั้งที่ถนนกว้างไม่ถึง 10 เมตร
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงการปรับปรุงผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครครั้งที่ 4 ซึ่งได้มีผู้ชมรายการที่อาศัยคอนโดผาสุข ซอยอารีย์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ส่งข้อมูลมาให้ช่วยตีแผ่ เพราะเรื่องนี้กำลังทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซอยพระราม 6 ซอย 30 เริ่มจากปากซอยพหลโยธิน 5 ซอยราชครูถึงกรมประชาสัมพันธ์และผู้อยู่อาศัยในคอนโดผาสุข เกิดความทุกข์ใจอย่างหนัก
ทั้งนี้ คอนโดผาสุขอยู่ในแนวเส้นแดงของผังเมือง ชาวคอนโดอยู่กันมานาน 25-30 ปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยที่เกษียณจากงานกันแล้ว ชาวบ้านจึงกังวลว่าจะได้รับความดือดร้อนหากต้องมีการรื้อถอนคอนโดออกไป
ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับผังเมืองใหม่ กทม.บอกว่า ได้ทราบเรื่องจาก “กลุ่มอนุรักษ์พญาไท” เป็นการทราบเรื่องกันเอง โดยที่รัฐหรือกรุงเทพมหานครไม่ได้แจ้งให้ทราบ ซึ่งจากที่เห็นตามผังส่วนสีแดงพบว่า จะมีการตัดขยายถนนในซอยอารีย์ จากเดิมที่เป็นถนน 2 เลน กว้าง 9-10 เมตร ให้กลายเป็นถนน 4 เลน กว้าง 16 เมตร
ซึ่งเมื่อลองวัดจากกึ่งกลางถนนข้างละ 8 เมตร เป็นการวัดกันเอง เพราะไม่เคยมีใครจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแจ้งให้ทราบเลย ก็พบว่าการขยายถนนดังกล่าวตามผังใหม่จะกินพื้นที่เข้ามาถึงเสาของอาคาร ซึ่งอาจทำให้อาคารคอนโดต้องถูกรื้อทุบออกไป
การจัดทำผังเมืองรวม กทม. (ปรับปรุงครั้งที่ 4) เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2561 กทม. ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรึกษาหารือกับประชาชนใน วันที่ 23 และ 24 ธันวาคม 2566 ที่ศาลาว่าการ กทม.2 ตัวแทนกลุ่มชาวคอนโดผาสุขในซอยอารีย์ จึงเข้าไปร่วมรับฟังด้วย เพราะอยากทราบรายละเอียด และต้องการทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ปรากฏว่าผู้ที่เข้ามารับฟังที่เป็นประชาชนทั่วไปมีเพียงกลุ่มของตนเอง ที่เหลือมากันเป็นกลุ่ม เป็นบริษัท ใส่ชุดยูนิฟอร์ม
ส่วนเอกสารที่ได้รับระบุเป็น ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับปรับปรุง ฉบับที่ 4 และเป็นฉบับรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีรายละเอียดมีแผนที่ผังเมืองรวม ซึ่งยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ หากไม่มีการศึกษาและติดตามมาก่อน
นอกจากนี้ เมื่อกลับไปสอบถามเพื่อนบ้านในคอนโด และประชาชนในละแวกพื้นที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ กลับไม่มีใครทราบเรื่องเลย เรียกได้ว่าขาดการประชาสัมพันธ์อย่างหนัก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งแตกต่างจาก“การเสียภาษี” ที่มีหนังสือส่งถึงบ้าน การกระทำดังกล่าวไม่นึกถึงใจคนที่อยู่ละแวกดังกล่าว ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้ ณ เวลานี้ชาวบ้านถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่อาจสู้แรงของหน่วยงานภาครัฐได้ จึงเครียดกันมาก
นอกจากนี้ ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นเมื่อ วันที่ 6 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างพากันไปคัดค้าน และสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าการร่างผังเมืองใหม่ ได้เคยลงสำรวจหรือไม่ ได้ลงพื้นที่ไปถามใจคนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นหรือไม่ และชาวบ้านต้องใช้หนังสือกี่ฉบับที่จะคัดค้านการกระทำดังกล่าวได้
พอเสียงค้านดังขึ้น ทาง กทม.โดยนายชัชชาตฺ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ก็แก้เกี้ยวขยายเวลารับฟังความคิดเห็นประชาชน จากหมดเขตในวันที่ 22 มกราคม 2567 ยืดไปอีกประมาณ 1 เดือนเป็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 แต่ไม่มีคำตอบว่าประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องรวบรวมรายชื่อเท่าไหร่ถึงจะยื่นคัดค้านการกระทำดังกล่าวได้
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบตั้งข้อสังเกตว่า ในกระบวนการรับฟังความเห็นประชาชน การประชุมได้ระบุในรายงานเอกสารว่า มีการประชุมกลุ่มเขต แยกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ครั้งที่ 1 กลุ่มกรุงเทพตะวันออก ครั้งที่ 2 กลุ่มกรุงเทพกลาง ครั้งที่ 3 กลุ่มกรุงธนใต้ ครั้งที่ 4 กลุ่มกรุงเทพเหนือ ครั้งที่ 5 กลุ่มกรุงธนเหนือ ครั้งที่ 6 กลุ่มกรุงเทพใต้ และ ครั้งที่ 7 กรุงเทพมหานคร (50 เขต) นับรวม 7 ครั้ง
ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนในแต่ละกลุ่มได้ประชุมรับฟังความเห็นจริงๆ แค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพราะครั้งที่ 1-3 ประชุมพร้อมกัน เวลาเดียวกันทุกกลุ่มแต่ต่างสถานที่ เช่นเดียวกับครั้งที่ 4 – 6 ก็ประชุมพร้อมกัน คนละสถานที่ แต่กลับนับเป็น 7 ครั้งได้อย่างไร?
คนในชุมชนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็น เพียงเพื่อให้เสร็จ ๆ ไป เหมือนเป็นการลักไก่หรือไม่ คือทำเพียงแค่ให้เสร็จตามขั้นตอน เงื่อนไขว่าได้ทำแล้ว ทั้งที่วิธีการไม่ถูกต้อง เป็นการทำเพียงเพื่อให้เข้ากับขั้นตอนว่าประชาชนรับรู้แล้ว และไม่คัดค้าน เท่านั้น
ผู้ได้รับผลกระทบบอกว่า อาคารคอนโด 8 ชั้น ไม่ใช่ก้อนเค้กที่จะแบ่งเสาออกไปได้ บางคนเพิ่งเริ่มผ่อน บางคนเพิ่งผ่อนหมด แต่กลับต้องมาโดนแบบนี้
ส่วนที่มองว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาจราจร ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะแม้ไม่ติดในจุดนี้ ก็ต้องไปติดในจุดอื่นอยู่ดี และช่วงบริเวณพื้นที่ดังกล่าวจราจรก็จะติดในช่วงเวลาเร่งด่วน เช้า และเย็นเท่านั้น
“จึงตั้งข้อสังเกตว่าผังเมืองใหม่ ต้องการตัดถนนขยายให้กว้างขึ้น เพื่อเป็นการเอื้อในการสร้างตึกสูงแทนที่ตึกเก่า ซึ่งไม่ใช่ความต้องการของประชาชนหรือไม่ ตอนนี้ทางผู้ได้รับผลกระทบ กำลังอยู่ระหว่างทำหนังสือยื่นคัดค้าน ซึ่งชาวบ้านไม่อยากให้เรื่องเงียบ ตอนนี้ไม่ว่าคนแก่ หรือคนทำงาน ก็อยู่ยากกันแล้ว เพราะ เครียดและกังวลใจอย่างมาก”
ผู้ที่เคยสัญจรเส้นทางนี้จะทราบดีว่า ปกติแล้วถนนจากต้นซอย ที่เข้ามาจากถนนพระรามที่ 6 กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มาถึงกรมประชาสัมพันธ์ จะเป็นถนน 4 เลน
พอผ่านหน้ากรมประชาสัมพันธ์ และซอยอารีย์สัมพันธ์ 6 ถนนก็จะหดแคบลงเรื่อย ๆ เหลือ 3 เลน และ 2 เลน จนยาวไปถึงทางออกซอยพหลโยธิน 5 (ซอยราชครู) ก็จะเป็นถนน 2 เลน
ซึ่งจากจุดนั้น ไปจนถึงปากซอยราชครู ทะลุออกถนนพหลโยธินระหว่างนั้นก็จะประกอบไปด้วยบ้านคน มีตรอกซอกซอย มีคอนโดมีเนียม ทั้งฝั่งซ้ายและขวาเต็มไปหมด
ด้วยเหตุนี้ทาง กทม.จึงจะทำการขยายถนนตามร่างผังเมือง กทม.ใหม่ เป็น 4 เลน ประมาณ 16 เมตร จากเดิม 2 เลน หรือ 8 เมตร
อย่างไรก็ตาม โดยปกติกฎหมายผังเมือง จะต้องมีการประกาศให้ประชาชนรับทราบ และขีดเส้นสีแดง และมีการติดประกาศทว่า การติดประกาศดังกล่าว กลับมีการติดเอาไว้เฉพาะที่สำนักงานเขตพญาไท บริเวณชั้น 5
ถามว่าประชาชนที่ไหนจะเห็น หากทำบัตรประชาชนหาย อย่างมากก็ไปติดต่อเพียงแค่ชั้น 1 แม้ว่าจะมีการติดประกาศเอาไว้ที่ศูนย์สาธารณสุข ประดิพัทธิ์ และติดประกาศตรงจุดของ กทม.
แต่ความจริงน่าจะต้องติดประกาศให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบ หรือ ได้รับความเดือดร้อนได้เห็นชัดๆ หรือว่าการติดประกาศทำไปงั้น ๆ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาในภายหลัง ทาง กทม. จะได้อ้างได้ว่า ได้ติดประกาศและทำการแจ้งให้รับทราบแล้ว แต่ประชาชนไม่มีการคัดค้านเอง
แบบนี้ส่อเจตนาที่ไม่ปกติ เหมือนไม่ใช่พยายามจะเผยแพร่ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน เหมือนจงใจที่จะไม่ให้ข้อมูล ใช่หรือไม่?
กรณีนี้ทางชาวคอนโดผาสุข ในซอยอารีย์ เพิ่งจะรับทราบเรื่อง ช่วงปลายเดือน ธันวาคม 2566 หรือ ประมาณหนึ่งเดือนที่แล้วนี้เอง และในคอนโดปกติจะมีความเป็นส่วนตัวสูง ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อรู้ว่ากำลังจะได้รับความเดือดร้อน จึงรวมตัวกัน ตั้งกลุ่ม ระดมทุน ประชุมกัน ทำป้ายคัดค้าน เพราะชาวบ้านหรือประชาชนแถวนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้
พื้นที่บริเวณนั้นส่วนใหญ่จะเป็นบ้านคนที่มีพื้นที่เยอะ บ้านใหญ่ บ้านเก่าที่อยู่กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดอีกกลุ่มคือชาวคอนโด ซึ่งจะมีตึก เอ บี ซี หากโดนตัดไป ตึกเอทั้งตึกก็จะต้องโดนตัดไปหมด และอาจไปถึงพื้นที่ของตึกบีด้วย เพราะมีโครงสร้างที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งจะต้องทำการรื้อถอนคอนโดออกไป
และข้อมูลที่ทราบมาจากการประชุมรับฟังความคิดเห็น ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 คือจะไม่มีการเวนคืนให้ด้วย ชาวคอนโดซึ่งซื้อคอนโดมาตั้งนานหลายปี หากมีการขีดเส้นแบบนี้ชาวคอนโดก็จะเดือดร้อน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนตั้งข้อสงสัยว่าการเตรียมขยายถนนครั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์หรือเตรียมรองรับให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมขนาดใหญ่หรือไม่?
เพราะว่าซอยอารีย์ 1 กำลังจะมีคอนโดขนาดใหญ่ซึ่งกำลังสร้างอยู่ แต่ถนนคับแคบ หากต่อไปในอนาคต ทำการขยายถนนได้ ต่อไปก็อาจจะสร้างคอนโดสูงๆ และจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อยู่อาศัยเดิม
ด้วยเหตุนี้ผู้อาศัยในคอนโดผาสุขเดิม ซึ่งเดิมทีส่วนใหญ่เป็น “ข้าราชการที่เกษียณ” ที่เก็บเงินแล้วมาซื้อคอนโด อยู่กันมานาน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของอยู่เอง ไม่ใช่แบบเช่า หากต้องรื้อถอน หรือถูกไล่จริง ๆ แล้วข้าราชการเกษียณเหล่านี้จะไปอยู่ที่ไหน ?
ผังเมืองใหม่ กทม. จากซอยอารีย์ เวนคืนลามไปถึงอินทามระ และถนน 148 สาย 600 กิโลเมตรทั่ว กทม.
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ตอนนี้ในไลน์กลุ่มของชาวคอนโดผาสุข มีประมาณ 150 คน ผู้จัดการนิติบุคคลจึงไปเคาะประตูตามบ้าน เอาเอกสารคัดค้านไปให้ดู เพราะบางคนไม่รู้เรื่อง เมื่อทราบเรื่องก็รวบรวมกันบริจาคเงินติดป้ายคัดค้านเรื่องนี้
และไม่ใช่เพียงที่นี่เท่านั้น ที่ซอยอินทามระ บริเวณถนนสุทธิสารก็จะโดนด้วย ทำให้ตอนนี้เริ่มมีการรวมตัวของชาวบ้าน ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านเหมือนกลุ่มชาวคอนโดผาสุขแล้ว และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในละแวกนั้นก็คือกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในคอนโดที่ออกมาคัดค้านมากที่สุด
นอกจากนี้ เมื่อกลับไปดูรายละเอียด เรื่องการรับฟังความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำผังเมืองรวม ฉบับปรับปรุง ฉบับที่ 4 ซึ่งมีการรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อปลายปีที่แล้ว คือ วันที่ 23 และ 24 ธันวาคม 2566 จะพบว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมและขนส่ง คือเรื่องถนนตรอกซอกซอยในกรุงเทพฯ ที่จะมีการปรับเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง เช่น
- กำหนดให้เขตทางต้องกว้าง 12 เมตร, 16 เมตร, 20 เมตร, 30 เมตร, 40 เมตร ไปจนถึง 60 เมตร
-ด้วยเหตุนี้จึงจะมีการขยายถนนให้กว้างขึ้นจำนวน 148 สาย รวมแล้วเป็นระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร
-มีการตั้งข้อสังเกตว่า แผนการขยายถนน 148 สาย ระยะทาง 600 กว่ากิโลเมตรนั้นจะกระทบกับประชาชนชาว กทม.มากมายกี่แสนครัวเรือน กี่ล้านคน แล้วถามว่า ชาวบ้านที่จะได้รับผลกระทบจะรู้ตัวหรือไม่?
-ยังมีการตั้งข้อสงสัยด้วยว่า “การจัดทำผังเมือง” ดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใครเฉพาะบางกลุ่มหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่นเช่น ซอยราชครู ซอยอารีย์ ขณะนี้ตามกฎหมายผังเมืองสามารถสร้าง ตึกอาคารสูงได้ไม่เกิน 8 ชั้น หรือ 23 เมตร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเรือน บ้านเดี่ยว หรือคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก Low-rise
แต่หากมีการ ขยายถนนเป็น 12 เมตร จะสามารถทำคอนโดมิเนียม High-rise โดยได้สูงถึง 34 ชั้น และ หากขยายเป็น 16 เมตร ก็จะสามารถสร้างตึกสูงได้มากกว่านั้น
ส่วนเหตุผลที่อ้างเรื่องเพื่อแก้ปัญหาจราจร กลับไม่มีการศึกษาว่าหากมีการขยายถนน จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้จริงหรือไม่ ไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ แต่อยู่ๆ ก็มากำหนดให้เป็นพื้นที่สีแดงและขยายถนน 16 เมตร ?
ที่สำคัญ คือ ไม่ใช่ความต้องการที่มาจากประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่เคยถามถึงความต้องการของชาวบ้านเลย หากมีเจตนาที่จะพูดคุย การทำผังเมืองจะต้องลงมาพูดคุยกับผู้คน ลงมาให้ข้อมูล คุยรายละเอียด ต้องพูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
คำถามจากชาวบ้านก็คือ กรณีการขยายถนน เป็น 12 เมาตร หรือ 16 เมตรนั้นทำอะไรได้ อยู่ๆ จะมาขยายถนนหน้าบ้านเพราะอะไร ถนนในซอยอารีย์บางจุดกว้างไม่ถึง 10 เมตร โดยมีอยู่ 6 จุดด้วยกันที่กว้าง 9 เมตรกว่า
ขณะที่กฎกระทรวงมีการแก้ไข โดยระบุว่า อาคารขนาดใหญ่ พื้นที่รวมกันไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร และติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอด จนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร นั่นหมายความว่าตลอดแนว ถนนเส้นนั้นๆ ถ้ากว้างน้อยกว่า 10 เมตร ไม่สามารถทำได้
เพราะฉะนั้นอย่างถนนในซอยอารีย์ ตามกฎหมายสร้างอาคารสูงเกิน 8 ชั้นไม่ได้ การขยายถนนจึงนำมาซึ่งผลลัพธ์คือจะปลดล็อก เมื่อมีการกว้านซื้อที่เพื่อสร้างอาคารสูง 30 ชั้น !?!
ขณะนี้ในซอยอารีย์มีการดำเนินการสร้างตึกแล้ว ประมาณ 4 อาคาร และกำลังผุดขึ้นอีก 2 อาคาร มีการสร้างอาคารสูง 30-40 ชั้น ในซอยอารีย์ 1 ประชาชนมีการฟ้องร้องศาลปกครอง เพราะไม่ทราบว่า กระบวนการสร้างตึกสูงดังกล่าว มีการทำ EIA ตามกระบวนการหรือไม่?
สำหรับตึกสูงที่มีเลข 27(ซึ่งเป็นชื่อบริษัทก่อสร้าง) แปะอยู่ในภาพนั้น ชาวบ้านร้องต่อศาลโดยตั้งข้อสังเกตว่าไม่น่าจะทำได้เพราะถนนกว้างไม่ถึง 10 เมตร และก่อนนี้ได้ทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA จบผ่านในวันเดียว แต่กว่ากระบวนการฟ้องจะจบคดีเป็นที่สิ้นสุดก็ยังต้องใช้เวลา ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นผังเมืองก็น่าจะเสร็จแล้ว
จุดนี้จึงเป็นจุดที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการขยายถนนเพื่อไปแก้ผิดย้อนหลังหรือไม่ ?
สุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์จากการขยายถนนมากที่สุดคือนายทุนอสังหาริมทรัพย์-คอนโดมิเนียม เพราะเมื่อถนนกว้างปุ๊บ ก็ขึ้นอาคารใหญ่ได้ปั๊บ จึงตั้งข้อสังเกตว่า ผังเมืองใหม่เอื้อประโยชน์ใครกันแน่
นอกจากเรื่องของการเอื้อผลประโยชน์นายทุนแล้ว จริงๆ แล้ว หน่วยงานภาครัฐกรมประชาสัมพันธ์, สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) รวมไปถึง กระทรวงการคลังซึ่งเพิ่งสร้างตึกใหม่สูง 21 ชั้น มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาทเสร็จ และล่าสุดเมื่อต้นปี 2567 นี้ก็มีข่าวออกมาว่ารัฐบาลกำลังจะเพิ่มค่าตกแต่งภายในให้อีกเป็นพันล้านบาท
ทั้ง ๆ ที่อาคารนี้ถูกชาวบ้านร้องเรียนมานานหลายปีแล้วว่า
-การก่อสร้างก่อให้เกิดมลพิษ ทั้งฝุ่น และเสียง รวมถึงสิ่งของหล่นมากระทบกับบ้านเรือนของชาวบ้านโดยรอบ
-แต่ตึกที่สูงถึง 21 ชั้นของกระทรวงการคลัง นี้ กลับได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำ EIA
-การก่อสร้างก่อให้เกิดปัญหา เพราะบริเวณนั้นเป็นซอยแคบทั้งหมด
-เมื่อก่อสร้างเสร็จก็จะยิ่งก่อให้เกิดปัญหาการจราจร เนื่องจากในแต่ละวันจะต้องรองรับรถยนต์ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังหลายพันคน คิดเป็นจำนวนรถยนต์กว่า 500 คันที่ต้องผ่านเข้า-ออก ตลอดเวลา
“ประเด็นอยู่ที่ไหน?ประเด็นคือหน่วยงานภาครัฐพวกนี้ไม่สำคัญว่าเป็นใครก็ตามกระทรวงการคลังก็ช่างสตง.ก็ช่างมันพวกนี้ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้เพราะมันมีตรอกซอกซอยคับแคบศูนย์ราชการนอกเมืองที่สร้างใหม่ใหญ่โตมีที่ว่างเต็มเลยทำไมพวกคุณไม่ไปอยู่ทะลึ่งไม่เข้าเรื่องทำให้ประชาชนเขาเดือดร้อนกันเพียงเพราะคุณเป็นข้าราชการกระทรวงการคลังสตง.กรมประชาสัมพันธ์หรืออย่างไร
“พอพวกคุณจะสร้างโน่นสร้างนี่ไม่ต้องทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมมัดมือชกชาวบ้านพอจะวางผังเมืองวางผังเมืองขยายถนนอ้างว่าจะแก้ปัญหารถติดถืออำนาจบาตรใหญ่เวนคืนที่ดินชาวบ้านก็ไม่แจ้งไม่ถามความเห็นพวกเขาอีกพฤติกรรมของพวกคุณทั้งหน่วยราชการทั้งกระทรวงการคลังรวมถึงกทม.ที่ทำผังเมืองผมบอกได้คำเดียวว่าบัดซบจริงๆ” นายสนธิกล่าว