“สนธิ” เปิดใจคดีพันธมิตรฯ ชุมนุมที่ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ หลังศาลยกฟ้องข้อหาก่อการร้าย แต่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-บุกรุก เผยเบื้องหลังคดียืดเยื้ออำนาจใหม่ขณะนั้นต้องการกำราบกลุ่มเสื้อเหลืองหลังปราบเสื้อแดงสำเร็จ มีความพยายามลอบสังหาร “สนธิ” แต่รอดปาฏิหาริย์ จึงใช้คดีสนามบินล็อกไว้แทน โดยตั้งข้อหาหนัก โทษถึงประหารชีวิต ฟ้องจำเลยเป็น 100 คน ต้องสิบพยานจำนวนมาก สืบลับหลังก็ไม่ได้เพราะคดีโทษหนัก จึงยืดเยื้อยาวนาน เชื่ออัยการอุทธรณ์แน่ แต่พร้อมสู้ ลั่น 16 ปีแก้แค้นไม่สาย
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ในฐานะอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมาศาลอาญาได้อ่านพิพากษาคดีการชุมนุมที่สนามบินเดอนเมืองและสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 ยกฟ้องจำเลย 31 คน ในข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นกบฏ และทำผิดกฎหมายอาญาหลายมาตรา แต่สั่งปรับแกนนำพันธมิตรฯ 14 คน คนละ 20,000 บาท ข้อหาบุกรุกสถานที่ และข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
คดีนี้เริ่มต้นมา 16 ปีที่แล้ว และอยู่ในชั้นศาลมา 10 ปีก่อนมีคำพิพากษา โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551 พันธมิตรยกระดับการชุมนุม โดยเข้าชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ โดยไม่ได้มีการปิดสนามบิน แต่การปิดสนามบินนั้นเป็นคำสั่งของ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและรักษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
2 ปีต่อมา วันที่ 26 สิงหาคม 2553(ในยุคของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กำกับดูแลตำรวจ)แกนนำพันธมิตร และแนวร่วมประมาณ 100 คนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีสนามบิน กับคณะพนักงานสอบสวนที่นำโดย พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก.
ปีต่อมา วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ชั้นตำรวจ(ในยุคของปลายของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นสมควร สั่งฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกรวมประมาณ 100 คน ในคดีชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ
ปีต่อมา วันที่ 14 มีนาคม 2556 ชั้นอัยการอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม กรณีบุกเข้าไปชุมนุมภายในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิปี 2551 ศาลรับฟ้องไว้นัดสอบคำให้การจำเลย
3 ปีต่อมา วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ชั้นศาลศาลแจ้งว่าให้นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก วันที่ 20 ตุลาคม 2559
วันที่ 20 ตุลาคม 2559 การสืบพยานโจทก์ปากแรก เป็นว่าที่ร้อยโทอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร อดีตผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ
การสืบพยานโจทก์ และจำเลยกินเวลานานกว่า 8 ปี เนื่องจากมีจำเลยจำนวนมาก จนต้องแบ่งจำเลยออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ 1แกนนำ และแนวร่วมจำนวน 31 รายกลุ่มที่ 2แนวร่วมที่เหลืออีก 67 ราย
คำถาม ทำไมจำเลยคดีชุมนุมที่สนามบินของพันธมิตรฯ จึงมีจำนวนมากขนาดนั้น?
มีคำตอบ และนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมคดีนี้ถึงยืดเยื้อยาวนานกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์จากวันที่เกิดเหตุ มาถึงวันพิพากษาคดีนั้นยาวนาน 16 ปีหรือ นับจากวันที่รับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ก็คิดเป็นเวลายาวนานถึง 13 ปีครึ่ง
คำตอบคือ เดิมทีหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้นั้นคือ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่า พันธมิตรเป็น “ผู้ก่อการดี” ไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย”
ขณะนั้น ในปี 2552 ซึ่งอยู่ในยุครัฐบาลของนายอภิสิทธ์ กับนายสุเทพ ซึ่งในนั้นแฝงไว้ด้วย“ขั้วอำนาจใหม่”ซึ่งต้องการปราบทั้งฝั่ง “เสื้อเหลือง” และ“เสื้อแดง” โดยสถาปนา “เสื้อน้ำเงิน” ขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของอำนาจปืน อย่าง “3 ป. กลุ่มบูรพาพยัคฆ์” ที่นำโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณซึ่งมีน้องชายคือพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, นายเนวิน ชิดชอบและที่สำคัญคือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
พอขั้วอำนาจใหม่เห็นท่าทีของ พล.ต.ท.วุฒิอย่างนั้น ใน วันที่ 9 กันยายน 2552 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จึงได้ลงนามคำสั่งเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรชุมนุมที่สนามบิน จาก พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาเป็น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ยศและตำแหน่งในขณะนั้น)มาหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนแทน
หลังจาก “ขั้วอำนาจใหม่” ได้ธงทางการเมืองมาแล้วว่าต้องกำจัดพวกเสื้อเหลือง หลังจากปราบเสื้อแดงเสร็จแล้ว วันที่ 17 เมษายน 2552 มีการลอยิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วก็ไม่สำเร็จ เพราะรอดชีวิตมาได้แบบปาฏิหาริย์
“เมื่อผมรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ วิธีการต่อมาก็คือว่า ถ้าอย่างนั้นเราต้องล็อกเสื้อเหลืองเอาไว้ ให้มันตายไปเลย นั่นคือที่มาของการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยุคนั้นเป็นกลุ่มเดียวกับเนวิน ชิดชอบ สนิทสนมกันมาก แล้วก็เป็นคนที่รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
“วิธีล็อก ไม่มีอะไรดีเท่ากับการเอาคดีสนามบินมาบิดเบือน แล้วจับกุม ตั้งข้อหาพวกกลุ่มเสื้อเหลืองร่วมร้อยคน ข้อหาผู้ก่อการร้าย และกบฏ ทุกคนโดนหมด พิธีกรที่ขึ้นเวที เจ้าหน้าที่รถถ่ายทอดสด นักร้อง รวมแม้กระทั่งป้าที่ถือฝาหม้อที่ตีเป็นฉาบ อำมหิตไอ้พวกนี้ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าทำไมต้อง 100 คน คือทอนกำลังพวกเสื้อเหลืองไปเลย ถ้ามันอยู่ในช่วงของการต่อสู้คดีความแล้วไปไหนไม่ได้ เพราะข้อหาผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นข้อหาที่โทษคือประหารชีวิต” นายสนธิกล่าว
ถึงขั้นที่ว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ยศในเวลานั้น)ถึงกับเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ในการทำคดีพันธมิตรตัวเองต้องควักเป็นเงินส่วนตัวเพื่อจ่ายเบี้ยเลี้ยงพนักงานสอบสวนไปทั้งหมดร่วม 5 ล้านบาท เพื่อทำคดีพันธมิตรฯ ให้เสร็จสิ้น !?!
ดังนั้น เมื่อคดีนี้มีจำเลยจำนวนมาก ข้อหารายแรง เพราะมีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ศาลจึงไม่สามารถพิจารณาลับหลังได้ หากนัดใดมีจำเลยคนใดคนหนึ่งไม่มาศาล เพราะป่วย หรือ ติดภารกิจสำคัญ ก็พิจารณาคดีไม่ได้ ต้องเลื่อนคดีออกไป
บางคนอยู่ต่างประเทศไปทำงาน ไปเรียนต่อ ก็ต้องบินกลับมารับฟังการพิจารณาคดี เสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายมากมายมหาศาล
ส่วนคนที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศก็ยุ่งยาก ลำบากมาก ต้องวางเงินประกัน หรือ หลักทรัพย์ เช่น ที่ดิน เป็นจำนวนมากมายถึง 600,000 บาท
จนช่วงไม่กี่ปีหลังนี้เองเมื่อติดระเบียบ ข้อบังคับเรื่องการพิจารณาคดีลับหลังไม่ได้ ทางฝั่งศาลจึงต้องอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีลับหลังแม้จำเลยมาไม่ครบก็ตาม
ความลำบาก และความยากเข็ญ ความทุกข์ การเจ็บป่วยของจำเลยซึ่งหลายคนเป็นผู้สูงอายุ อย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่วันพุธที่ผ่านมาก็ต้องฟังคำพิพากษาอยู่ที่โรงพยาบาล ที่กาญจนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลอยู่ด้วย หรือ นายเทิดภูมิ ใจดี ที่ต้องล้างไตทุกวัน ก็ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลาสิบกว่าปี ส่วนแกนนำและแนวร่วมหลายคนก็เสียชีวิตไปแล้ว อย่าง อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง เป็นต้น
ไม่นับรวมกับที่แกนนำ และแนวร่วมหลายคนถูกศาลตัดสินยึดทรัพย์ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
ทั้งหมดนี้มาคลี่คลายเมื่อวันพุธที่ผ่านมา คือ วันที่ 17 มกราคม 2567 เมื่อศาลอาญามีคำพิพากษาเพียงแค่ ปรับแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม กรณีชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1, นายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 2 จำเลย 3-5 , จำเลย 7-13 และ 31 ผิดฐานบุกรุก-ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยปรับคนละ 2 หมื่นบาท โดยระบุว่าไม่มีความผิดฐานก่อการร้าย รวมถึงทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ส่วนจำเลยคนอื่น ๆ ให้ยกฟ้อง
“แม้เวลาล่วงไปแล้ว 16 ปี ไม่ใช่ 16 ปีแห่งความหลัง ของสุรพล สมบัติเจริญ นะครับ 16 ปีของความขมขื่น พวกเรายังรอคอยที่จะได้พิสูจน์ความจริงเรื่องที่มีคนกล่าวหาว่าเราก่อการร้าย ปิดสนามบิน ทำชาติล่มจมเสียหาย วันนี้คำพิพากษาของศาลได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย
“การชุมนุมของเราที่สนามบิน เป็นการชุมนุมโดยสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้พิพากษาในศาลที่พิพากษามาก็เห็นด้วยว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ สืบเนื่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 มีจุดมุ่งหมายคือการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้การทำผิด การคอร์รัปชันของนักการเมืองฝ่ายเพื่อไทยหายไป” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่า การชุมนุมในครั้งนั้นแม้จะเป็นพื้นที่สนามบินดอนเมืองแต่ เป็นการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะไม่เกี่ยวข้องกับการบินที่ไม่กระทบกับประชาชน และไม่มีการทำร้ายผู้โดยสารรวมถึงพนักงาน
การชุมนุมดังกล่าวไม่มีการพกอาวุธและก่อจลาจลวุ่นวาย ถึงแม้จะเกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนบ้างก็เป็นเรื่องปกติของการชุมนุม ศาลจึงมองว่าการชุมนุมโดยรวมทั้งหมด เป็นไปด้วยความสงบปราศจากอาวุธอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นความผิดในฐานก่อการร้าย รวมถึงข้อหาอื่น ๆยกเว้นฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ข้อหาข้อบุกรุก ส่วนข้อหาก่อการร้ายที่ยกฟ้องนั้นเนื่องจากการนั้นไม่มีการใช้อาวุธทำลาย ระบบคมนาคมขนส่งหรืออากาศยาน จึงถือว่าไม่เข้าข่ายความผิด
“ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอทิ้งท้ายไว้เรื่องหนึ่งเป็นคำพูดของผมเอง เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ในวันที่ 26 สิงหาคม 2553 ซึ่งผมและแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม ประมาณ 100 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีสนามบินกับพนักงานสอบสวนที่นำโดย พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ท่านผู้ชมที่เคยติดตามผมมาคงจะจำได้ คุณสมยศ คุณจำคำพูดผมไว้นะ ผมพูดไว้แล้ว คุณสมยศ และคนที่อยู่เบื้องหลังพวกคุณอาจจะลืมไปแล้ว แต่ผมยังจำแม่น ไม่ลืม
"ผมบอกว่า "ผมเข้าใจดีว่า พล.ต.ท.สมยศ อ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่ก็เป็นเพราะทำตามคำสั่งนักการเมือง ซึ่งผมก็จะต่อสู้คดีตามกฎหมายทุกอย่างที่ทำได้ ตำรวจจะรับใช้นักการเมืองไม่ได้ และขอฝากสั้นๆ ว่า พวกนักการเมืองไม่เคยจำบทเรียนในประวัติศาสตร์ คนมีอำนาจก็หมดอำนาจได้ คนที่เป็นใหญ่ วันหนึ่งก็ต้องหมดอำนาจไป ผมอยากฝากว่าสักวันหนึ่งเวรกรรมจะต้องมาถึงพวกคุณเร็วๆ นี้"
“ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณได้ยินสุภาษิตจีนที่ว่า "ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นยังไม่สาย" หรือเปล่า แต่วันนี้ผมอยากจะบอกว่า คนอย่างพวกผมไม่ใช่สิบปี สิบหกปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย” นายสนธิกล่าว
"คุณสมยศ ครับ คุณนี่อำมหิตมาก คุณก็รู้ว่าพวกผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่คุณจงใจใส่ข้อหาผู้ก่อการร้ายและกบฏ อัยการก็โคตรอำมหิตเช่นกัน แทนที่จะดูเนื้อหาข้อกล่าวหา เสร็จเรียบร้อยแล้ว อัยการถ้ามีสติปัญญานิดหนึ่ง อัยการก็ต้องบอกว่า ต้องทิ้งข้อกล่าวหาผู้ก่อการร้ายออกไปเสีย เอาเรื่องก่อความวุ่นวาย โน่นนี่นั่นแทน แต่ไม่ พวกคุณต้องการใส่กุญแจมือผม พวกผม ล่ามโซ่ตรวนใส่ข้อเท้าผม ให้ผมติดแหง่กอยู่ตรงนั้น แล้ววันนี้เวรกรรมเป็นอย่างไร สุเทพ เทือกสุบรรณ อยู่ไหนแล้ววันนี้
"สุเทพ เทือกสุบรรณ นำ กปปส. ไปเพื่อประท้วง รับงานทหารมา รับงาน 3 ป. มา เพื่อให้ 3 ป. มายึดอำนาจ แล้วพรรคพวกสุเทพก็ได้รับตำแหน่งแห่งที่เป็นรัฐมนตรีกัน ท่านผู้ชมครับ พวกผมได้อะไรบ้าง ไม่เคยแสวงหาอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียว ในการต่อสู้ พวกผมพูดมาตลอดว่าพวกผมสู้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69, 70, 71 ซึ่งอธิบายความได้ชัดเจนว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะออกมาปกป้องประเทศด้วยการเข้ามาต่อต้านรัฐบาลที่คอร์รัปชัน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
"และในที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลฎีกา การกลับมายอมรับผิดของทักษิณ ชินวัตร ว่าทำชั่วไว้ ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันสิ่งที่พวกผมต่อสู้มาตลอด ว่าสิ่งที่พวกผมต่อสู้มาตลอดนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มีหลักฐานประจักษ์พยานชัดเจน ตั้งกี่คดีต่อกี่คดีมายืนยัน ท่านผู้พิพากษาท่านถึงกล้าพิพากษาออกมา จะมีกฎหมายไหนใหญ่กว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญล่ะ
"ข้อถกเถียงก็คือว่า เมื่อเราใช้สิทธิในการไล่รัฐบาลชุดทักษิณ ชุดนอมินีทักษิณ ต่างๆ นานา เมื่อเราใช้สิทธิของเราแล้ว เราก็ใช้สิทธิที่รัฐธรรมนูญมาตรา 63 อนุญาตให้ประชาชนมีสิทธิที่จะรวมตัวกันเเพื่อชุมนุมต่อต้านรัฐบาลฉ้อฉล ให้ชุมนุมอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และนี่คือข้อชี้แจงของผู้พิพากษาในศาลอาญาในการพิจารณายกฟ้องครั้งนี้
"ท่านผู้ชมครับ คุณสมยศครับ อัยการครับ การเอาข้อหาที่มีโทษประหารชีวิตใส่คน 100 คน ใส่ผู้หญิงซึ่งเป็นพิธีกร ใส่คนเฒ่าคนแก่ แม้กระทั่งคนอย่าง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ก็โดนข้อหานี้ด้วย ท่านเป็นอดีต ผบ.ตร. หลายต่อหลายคน อดีตนายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ โดนหมด เจตนารมณ์ของนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รวมทั้งกลุ่มอำนาจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเนวิน ชิดชอบ หรือไม่ว่าจะเป็นสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าจะเป็นพวก 3 ป. ต้องการจะล็อกพวกผมไว้ หลังจากที่มีกลุ่มพวกเขาบางคนวางแผนยิงผม 200 นัด แต่ผมดันไม่ตาย ก็เลยต้องมาเล่นวิธีการนี้
"ผมอ่านคำพิพากษาดูอย่างละเอียดแล้ว อัยการ คุณจะต้องอุทธรณ์และฎีกาอย่างแน่นอน เอาหัวเป็นประกัน ไม่มีคดีไหนที่เกี่ยวกับพันธมิตรฯ แล้วคุณไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจทางการเมือง อย่างเช่น นายโอ๊ค พานทองแท้ ที่ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ สั่งยกฟ้องในศาลชั้นต้น ทั้งๆ ที่องค์คณะ 3 คน มีอยู่ 1 คน เขียนคำโต้แย้งไม่เห็นด้วย ศาลชั้นต้น
"ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าอัยการไม่อุทธรณ์ อัยการทั่วประเทศไทยคุณอายบ้างหรือเปล่าเรื่องนี้ ผมไม่ได้กลัวคุณหรอก คุณมีปัญญาเอาผมเข้าคุกก็เอาไปเลย แต่ผมยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ผมยืนอยู่บนความจริงที่มีหนึ่งเดียว คุณพยายามฆ่าผมมาสิบปีแล้ว คุณฆ่าสำเร็จไหม แล้วผมก็ไม่กลัวด้วยว่าคุณจะอุทธรณ์ คดีนี้ผมต้องสู้ถึงฎีกาแน่นอน เป็นไงเป็นกัน
"อัยการ ต้องทำตัวเป็นหลักสร้างความยุติธรรมให้กับสังคม มีคดีตั้งเยอะตั้งแยะเวลาส่งถึงพวกคุณ พวกคุณเคยสั่งให้เขาสอบเพิ่มเติมไหม ? เคย หรือพวกคุณบอกว่าข้อหานี้มันไม่เข้านะ เคย ยกไปเลย แต่พอตำรวจส่งมาข้อหาก่อการร้ายและกบฏ พวกคุณน้ำลายไหล แต่ทีกับเรื่องเกี่ยวกับอุทธรณ์ของคดีพานทองแท้ ซึ่งมีเหตุในการอุทธรณ์เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณกลับไม่อุทธรณ์ คุณเป็นอย่างนี้ แล้วคุณมาอ้างได้อย่างไรว่าคุณเป็นทนายแผ่นดิน แผ่นดินของใคร คุณใช้วิจารณญาณแบบนี้ เป็นแผ่นดินของใคร แผ่นดินของพวกคุณ ไอ้พวกชั่วๆ ใช่ไหม
"ผม 76 ปี ผมไม่กลัวพวกคุณหรอก ผมกำลังรอคำอุทธรณ์ของพวกคุณ ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริง คุณเคยคิดหรือเปล่า อัยการ แล้ววันนี้สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นอย่างไรล่ะ ชื่อเสียงแหลกสลายหมด เอ่ยชื่อสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ไปในหมู่ประชาชนที่กินกาแฟกัน ทุกคนส่ายหน้า ถ้าแน่จริงทำไมไม่สมัครเป็นนายกสมาคมฟุตบอลต่ออีกสมัยล่ะ
"สิ่งที่คุณทำมามีอะไรบ้างที่พอภาคภูมิใจได้ กรณีบอส อยู่วิทยา คุณก็ไปอยู่ในขบวนการที่ช่วยนายบอส อยู่วิทยา นี่อดีต ผบ.ตร. นะ
"ท่านผู้ชมครับ อัยการต้องปฏิรูปตัวอย่างอย่างหนัก ช่วงหลังพวกคุณก็มีนี่ อัยการสั่งไม่ฟ้องอาชญากร เพราะรับเงินรับทองมา พวกคุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณ อัยการที่รักความเป็นธรรม คุณฟังรายการนี้ดีๆ แล้วคุณฟังที่ผมพูดด้วยตรรกะต่างๆ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า อัยการฟ้องพวกผมนะ ตั้งข้อหาผิด ป.วิ. อาญา 30-40 ข้อ คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าหลุดจากข้อนี้ก็ต้องเจอข้อนี้ เหมือนกับเอาหนังสือตำรา ป.วิ. อาญา โยนใส่พวกผมทั้งเล่มเลย ผู้พิพากษาท่านอ่านคำฟ้องท่านยังแอบยิ้มเลยว่าพวกมึงบ้า
"กรณีของ 7 ตุลาฯ กรณีฆ่าพันธมิตรฯ กรณีพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อัยการก็ไม่อุทธรณ์ ถ้าท่านผู้ชมมีโอกาส อ่านคำพิพากษา อัยการคุณไปอ่านได้ คุณสมยศ คุณควรจะอ่านด้วย เพราะศาลท่านพิพากษาบนพื้นฐานของพยานโจทก์ให้การ ท่านแทบจะไม่อ้างอิงพยานจำเลย ก็คือท่านกำลังบอกว่าพวกมึงเอาพยานโจทก์ขึ้นมา เละเทะ โหลยโท่ย พิสูจน์ไม่ได้เลย
"เรายังต้องเจอกันต่อไป แล้วผมก็จะอุทธรณ์ในส่วนของผมด้วย อย่าลืมนะ คุณสมยศ คุณเนวิน คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และ 3 ป. ผมไม่เคยลืมเรื่องนี้ อย่าตายก่อนผมล่ะ ผมอายุยืนแน่ เพราะคุณลอบฆ่าผม พวกคุณบางคนลอบฆ่าผมแล้ว แต่ยังฆ่าไม่สำเร็จ แล้วอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล่ะ คนที่อยู่หลังสุเทพ เทือกสุบรรณ ในการเล่นงานพันธมิตรฯ อภิสิทธิ์ นี่ทำให้ประเทศไทยเสียพื้นที่ให้เขมร แล้วยังมากลั่นแกล้งพันธมิตรฯ อีก วันนี้เวรกรรมตามทัน อภิสิทธิ์อยู่ที่ไหนล่ะวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่ไหนแล้ว เห็นหรือยังท่านผู้ชม กรรมมันมา และมันมีจริง ผมจะนั่งดูเวรกรรมซึ่งตามเช็ดตามล้างพวกคุณไปถึงตลอดลูกหลานพวกคุณด้วย
"ก่อนจบ ก่อนจะลาไป มันมีคนทะลึ่งคนหนึ่ง โพสต์ในเฟซบุ๊ก บอกว่า อานนท์ นำภา "โพสต์ FB ติดคุก 4 ปี ปิดสนามบินปรับ 2 หมื่น 2 คดีนี้วันเดียวกันนะครับ" ไอ้คนโพสต์นี่ สมองนิ่ม สมองหมาปัญญาควาย คุณไม่รู้เลยหรือว่า อานนท์ นำภา เป็นทนายความ รู้กฎหมายดี แต่ไปโพสต์เฟซบุ๊กดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ ก็เลยต้องโทษนี้ พวกผมพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ทำอะไรผิด คุณเอามาผสมกันได้อย่างไร คุณเอาความชั่วที่อานนท์ ทำ มาผสมกับความดี อานนท์ พยายามล้มล้างสถาบันกษัตริย์ แต่ผมพยายามปกป้องชาติ ศาสนา สถาบันกษัตริย์ คุณเอามาผสมกันได้อย่างไร" นายสนธิ กล่าว