xs
xsm
sm
md
lg

ป.ป.ช.ปล่อยมือมืดแทรกแซง นี่หรือคือองค์กรอิสระ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความเป็นอิสระของ ป.ป.ช.ยังคงถูกตั้งคำถาม ล่าสุด การแต่งตั้ง ป.ป.ช.คนใหม่แทนคนเดิมที่หมดวาระ มีนายตำรวจใหญ่ส่งคนของตัวเองเข้าชิง 2 คน ผ่านด่านวุฒิสภาฉลุย 1 คนแต่ยังไม่โปรดเกล้าฯ อีก 1 คนวุฒิสภาไม่รับรอง ย้อนคดีเก่า “บิ๊กโจ๊ก” เก็บส่วยคาราโอเกะอีสานตอนบน ป.ป.ช.เคยตีตกแบบตัดจบดื้อๆ แต่ล่าสุดมีคนเตรียมยื่นใหม่ หวังประธาน ป.ป.ช. ใช้เวลา 9 เดือนที่เหลือก่อนหมดวาระ นำความเชื่อมั่นต่อองค์กรกลับคืนมา อย่าให้ความอหังการของใครมามีอิทธิพลเหนือ ป.ป.ช.



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงปัญหาความเป็นอิสระของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. หลังจากที่มีคลิปเสียงนายตำรวจใหญ่ คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ที่กล่าวอ้างว่าสนิทสนมกับหนึ่งในคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ซึ่งเรื่องอื้อฉาวทำนองนี้ ไม่ใช่มีเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องของนายประหยัด พวงจำปา อดีตรองเลขาธิการ ป.ป.ช.ถูกไล่ออกจากราชการ กรณีตัวเองและภรรยาร่ำรวยผิดปกติ แจงหนี้สินและทรัพย์สินจำนวน 658 ล้านบาท

กรณีแหวนมารดา นาฬิกาเพื่อน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ ป.ป.ช. ชี้ว่าไม่มีความผิด กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอ้นเป็นเท็จ โดย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ หรือ "บิ๊กกุ้ย" ประธาน ป.ป.ช. พยายามปกปิดรายละเอียดการสืบสวนสอบสวนนี้มาตลอด แม้ว่าล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 12 มกราคม 2567 ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้เปิดเผยถึงข้อมูลการพิจารณาคดีดังกล่าว เรื่องก็ยังเงียบหายไป โดยที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยประธาน ป.ป.ช. นั้น ปฏิเสธคำสั่งศาลอย่างสิ้นเชิง


นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาและเรื่องราวความไม่ชอบมาพากลขององค์กรอิสระแห่งนี้ เวลานี้ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจล้นเหลืออยู่ในมือ แต่ตอนนี้ ป.ป.ช. กำลังมีปัญหา เพราะว่ากรรมการ ป.ป.ช. หลายคนหมดวาระ รวมถึ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ที่หมดวาระไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ตามกฎหมาย ได้ออกแบบเอาไว้ให้มีกรรมการ ป.ป.ช. 9 คน ปัจจุบัน กรรมการ ป.ป.ช. เหลือเพียง 5 คน ประกอบไปด้วย 1.พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. 2.นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ 3.นางสุวณา สุวรรณจูฑะ 4.นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข และ 5.นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ


เท่ากับว่ายังขาดอีก 4 คน โดยมีว่าที่ ป.ป.ช.ใหม่ 2 คนที่ชื่อผ่านจากคณะกรรมการสรรหาและส่งชื่อไปให้วุฒิสภา เตรียมประชุมเพื่อลงมติลับว่าจะเห็นชอบหรือไม่ ได้แก่ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คนปัจจุบัน ที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบประวัติฯ ของวุฒิสภา

นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ขณะที่ วันที่ 6 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 6 เป็น ป.ป.ช. คนใหม่

ทั้งนี้ นายเอกวิทย์ ผ่านการลงมติเห็นชอบให้เป็น ป.ป.ช.จากที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อ วันที่ 6 มกราคม 2567

นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ
แต่ปรากฏว่า ก่อนหน้านั้นเกือบ 3 เดือน เมื่อ วันที่ 7 สิงหาคม 2566 วุฒิสภา ลงมติลับเห็นชอบให้นายพศวัจณ์ กนกนาก อดีตประธานศาลอุทธรณ์เป็น ป.ป.ช.คนใหม่แทน พล.ต.อ.สถาพร หลาวทองเท่ากับว่า นายเอกวิทย์ แม้รายชื่อจะผ่านวุฒิสภาช้ากว่า นายพศวัจณ์เกือบ 3 เดือน แต่ นายเอกวิทย์ กลับเข้าได้ไปนั่งทำงานที่ ป.ป.ช.ก่อน ขณะที่นายพศวัจณ์ ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นป.ป.ช.แต่อย่างใด !?!

“พศวัจณ์-สมบัติ” คนใต้ปีก “บิ๊กโจ๊ก”

ปัจจุบัน นายพศวัจณ์ กนกนาก ปัจจุบันอายุ 67 ปี ได้ลาออกจากราชการไปแล้ว โดยตำแหน่งสุดท้าย คือ ประธานศาลอุทธรณ์ โดยลาออกหลังพ้นตำแหน่งที่เป็นตำแหน่งบริหารของศาลยุติธรรม ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 โดยไม่ขอเป็นผู้พิพากษาอาวุโสแต่อย่างใด

คำถามต่อมาก็คือ เกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้นายพศวัจณ์ ถูกเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช. และผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว แต่กลับไม่ได้เป็น ป.ป.ช. ?

หรือว่า เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา


นั่นคือ กรณีที่สื่อต่าง ๆ เสนอข่าวเรื่อง นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาเปิดเผยว่า ประธานศาลอุทรธณ์ ในเวลานั้น มีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทางคดีต่อประธานศาลอุทธรณ์ จากอดีตแกนนำ กปปส.รายหนึ่ง ถึงการพิจารณาตัดสินคดีแกนนำ กปปส. ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ลงโทษจำคุกแกนนำ กปปส. โดยไม่รอลงอาญา 15 ราย และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

โดย กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่มีการร้องเรียนว่ามีผู้พิพากษาระดับสูงในศาลอุทธรณ์ 2 ราย เรียกร้องเงินค่าตอบแทนในการช่วยเหลือการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยการเจรจาดังกล่าว มีการขอเร่งรัดให้จ่ายก่อน วันที่ 30 กันยายน 2565 ก่อนที่ ‘ท่าน’หมดวาระ

ที่ขณะนี้ การสอบสวนข้อร้องเรียนดังกล่าว ของศาลยังไม่แล้วเสร็จ แต่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า ผู้พิพากษาสองคนที่ถูกร้องเรียน คนหนึ่ง ลาออกจากราชการไปแล้ว ส่วนอีกคน ยังรับราชการอยู่

จนมีการต่อจิ๊กซอว์ทั้งสองกรณีเข้าหากัน ถึงสาเหตุที่ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
นายพศวัจณ์ กนกนาก เป็น ป.ป.ช. คนใหม่


ที่สำคัญก็คือสำหรับนายพศวัจณ์ มีเรื่องที่เล่าลือกันหนักหนาหูจากวงราชการว่า มีความสนิทสนมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาลหรือบิ๊กโจ๊ก รอง ผบ.ตร.อย่างยิ่ง

โดย “บิ๊กโจ๊ก” มีส่วนออกแรงให้นายพศวัจณ์ในการลงสมัครแข่งขันเป็น กรรมการ ป.ป.ช.ด้วย จนผ่านคณะกรรมการสรรหา ทะลุด่านวุฒิสภาอย่างง่ายดายด้วย ทว่า กลับต้องรอเก้อ เนื่องจากไม่มีการ โปรดเกล้าฯ ลงมาเสียที


“อาจจะเป็นเพราะว่าคณะองคมนตรีชุดปัจจุบันมีอยู่หลายท่านรับทราบถึงปัญหาของท่านพศวัจณ์ มากมายสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นประธานศาลอุทธรณ์ ส่วนจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องมีการเรียกร้องเงินจากมารดาของแกนนำ กปปส. ในเรื่องคดีความ ว่ากันว่าเป็นวงเงินถึง 175 ล้านบาทนั้น ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง” นายสนธิกล่าว


“สมบัติ ธรธรรม” ตกม้าตายที่วุฒิสภา

อีกคนหนึ่งที่ว่ากันว่า “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หนุนให้เข้าไปเป็นกรรมการ ป.ป.ช. คือ นายสมบัติ ธรธรรม อาชีพทนายความ คนนี้แน่นแฟ้นกับ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่น้อย โดยนายสมบัติสามารถแหกด่านกรรมการสรรหามาได้ แต่ไปตกม้าตายที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 โดยได้เสียงรับรองไม่ผ่าน ครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ว.

ทั้งนี้ กรณีของนายสมบัติ ที่ประชุมวุฒิสภามี มติเห็นชอบเพียง 110 เสียง ไม่เห็นชอบจะมีน้อยกว่าคือ 84 เสียง งดออกเสียง 26 เสียง

ถือว่าไม่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา เนื่องจากต้องให้ ส.ว.มีมติเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ว.เท่าที่อยู่ของวุฒิสภา หรือประมาณ 125 คนขึ้นไปจาก ส.ว.ทั้งหมด 250 คน


ที่มาที่ไป และ ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ ส.ว. มีมติไม่ถึงครึ่งหนึ่งเพื่อให้นายสมบัติ เป็นกรรมการป.ป.ช. ก็เพราะว่า ส.ว.ส่วนหนึ่งได้มีการอ่านรายงานการตรวจสอบประวัติเชิงลึกแล้ว มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการทำงานของนายสมบัติ เช่น เมื่อครั้งทำหน้าที่ กรรมการกรรมการบริหารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เวลานั้น ขสมก. ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดประกวดให้เช่าเนื้อที่โฆษณาบนรถเมล์ปรับอากาศ จำนวน 1,109 คัน และหลังจากนั้นนายสมบัติก็ออกจาก ขสมก. มาเดินตาม “บิ๊กโจ๊ก”

ด้วยเหตุนี้นี่เอง ในเมื่อ “สายบิ๊กโจ๊ก” ไปไม่ถึงเป้าหมาย เนื่องจากคนหนึ่งชื่อยังไม่รับการโปรดเกล้าฯส่งลงมา ส่วนอีกคนติดที่ ส.ว.ไม่รับรอง

แผนของ “บิ๊กโจ๊ก” ในการเดินหน้า หวังเข้าแทรกซึมองค์กรอิสระที่ทรงอำนาจอย่าง ป.ป.ช.จึงเดินต่อไม่ได้

ร้องฟื้นคดี “บิ๊กโจ๊ก” พัน “ส่วยคาราโอเกะ” หลัง ป.ป.ช.ตีตก อ้างหลักฐานไม่พอ

มีหลายๆ คดีที่มีการร้องเรียน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไป แต่หลายคดีก็เงียบ ป.ป.ช. ไม่ตอบ แต่ในไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะมีการร้องเรียน ป.ป.ช. ให้รื้อคดีเก่าของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล มาปัดฝุ่นสอบสวนใหม่อีกครั้ง


โดยคดีนี้ ป.ป.ช.เคยสอบแล้ว และยุติการสอบไปแล้ว ทำให้ผู้ร้องเรียนเห็นว่า การสอบสวนครั้งนั้นของ ป.ป.ช. มีลักษณะ “ด่วนสรุป” และกรรมการ ป.ป.ช. ให้น้ำหนักคำให้การของพยาน ที่เป็นคนของ “บิ๊กโจ๊ก” เอง มากเกินไป อีกทั้ง คดีนี้ก็ยังไม่หมดอายุความ จึงมีสิทธิ์จะยื่นร้องเรียนให้มีการสอบสวนอีกครั้ง


สำหรับ คดีดังกล่าว เป็นกรณีร้องเรียน โดยนายเขตสยาม เนาวรังสี หนึ่งในเจ้าของร้านคาราโอเกะชื่อดังใน จ.นครพนม กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สมัยเป็น ผกก.3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วงปี 2553-2554 ว่ามีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากร้านคาราโอเกะทั่วภาคอีสาน ตอนบน

โดยมีหลักฐานการโอนเงินตรงเข้าบัญชีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เลยด้วยซ้ำ โดยไม่ได้ผ่าน “บัญชีม้า” หรือใช้วิธีการอำพรางทางการเงินใด ๆ ให้ซับซ้อน


แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ให้การ โดยอ้างถึง “เสี่ยแต๋ม อุดรธานี” นายชินรัตน์ วัฒนกูล ในฐานะพยานเอก ...

“เสี่ยแต๋ม อุดรธานี” คนนี้ก็คือคนเดียวกันกับเจ้าของบ้านหลัง 5 หลัง ในซอยวิภาวดีรังสิต 60 กรุงเทพฯ หลังสโมสรตำรวจ ซึ่งตำรวจชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ PCT5 นำหมายค้นและหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าไปขอตรวจค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2566 ในข้อหามีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับธุรกิจการพนันออนไลน์ และฟอกเงิน ทว่า เมื่อตรวจสอบชื่อเจ้าของบ้านที่ค้นกลับไม่ใช่บ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยเจ้าของบ้านตัวจริงทั้ง 5 หลังคือ “เฮียแต๋ม อุดรธานี” เจ้าพ่อบริษัทธุรกิจขนส่งและธุรกิจก่อสร้างรายใหญ่ ในจังหวัดอุดรธานี


ในคดีส่วยคาราโอเกะทั่วภาคอีสานตอนบน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า เสี่ยแต๋ม ชินรัตน์ นั้นเป็นคนกลาง นำเงินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปล่อยกู้กับพวกเจ้าของร้านคาราโอเกะภาคอีสาน

ซึ่ง เสี่ยแต๋ม ชินรัตน์ ก็ให้เข้าการกับ ป.ป.ช. โดยอ้างว่า เงินที่โอนเข้าบัญชี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ครั้งละเป็นแสน หลายแสน หรือบางครั้งถึงหลักล้านนั้น เป็นเงินจาก “ธุรกิจปล่อยกู้” ไม่ใช่เงินที่เจ้าของร้านคาราโอเกะ “ส่งส่วย” ให้บิ๊กโจ๊กแต่อย่างใด !?!


ที่น่าแปลกใจก็คือตอนนั้น คำให้การของเสี่ยแต๋ม ชินรัตน์ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือในสายตาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ด้วยเหตุนี้ ป.ป.ช. จึงสั่งยุติการสอบสวน ข้อกล่าวหาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รับส่วยคาราโอเกะ อย่างง่าย ๆ เพราะเชื่อในคำให้การของคนใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และจัดให้ เสี่ยแต๋ม ชินรัตน์ เป็นผู้เสียหายด้วย

นอกจากนั้น ป.ป.ช.ก็ไม่คิดจะสอบสวนเอาผิดใครต่อในข้อหา “ปล่อยเงินกู้โดยมิชอบ” อีกต่างหาก !?!

สำนวนเรื่องนี้ ถูกยุติเด็ดขาดเมื่อ ปี 2559 หรือเมื่อ 8 ปีก่อน ในยุค คสช. เรืองอำนาจ โดย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

คดีส่วยคาราโอเกะ ยังมีเรื่องราวที่เป็นเงื่อนงำตามมาอีก เมื่อ นายเขตสยาม เนาวรังสี ผู้ร้องเรียน เกิดเสียชีวิตกะทันหัน แล้วมีตำรวจระดับรองผู้การคนหนึ่ง เข้าร้องเรียนให้มีการตรวจสอบค้นหาเบื้องหลังการตาย จนถูก “บิ๊กโจ๊ก” แจ้งจับข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมส่งตำรวจคู่ใจอย่าง “ผู้กำกับเปียก” พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย เข้าไปควบคุมการสอบพยานด้วยตัวเอง ที่ สน.ปทุมวัน

รองผู้การ คนดังกล่าว จึงฟ้องกลับ พ.ต.อ.เขมรินทร์ ต่อศาลคดีอาญาทุจริต พร้อมส่งคำโต้แย้งไปอัยการสูงสุด และหน่วยงานอื่น ๆ แต่ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด

รายละเอียดและเรื่องราวเหล่านี้ เป็นตัวบ่งชี้ว่า “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีบารมีไม่ธรรมดา ในองค์กรต่างๆ ของรัฐ


แม้แต่ “คดีมินนี่” เจ้าของเว็บพนันและเครือข่ายฟอกเงิน ซึ่งมีเส้นเงินมาถึงลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คดีบางส่วน ก็ยังถูกส่งต่อไปยัง ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น มีเสียงลือแว่วออกมาอีก ว่า “สำนวนคดีมินนี่” ดังกล่าวถูกส่งไปให้ลูกน้องในคาถา ของอดีต ป.ป.ช. คนหนึ่ง รับไปดูแลให้

อย่างไรก็ตาม จังหวะที่กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับบิ๊กโจ๊ก หมดวาระไป 2 คน และ ผู้มากบารมี “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ถึงยุคขาลง อาทิตย์อัศดงในวงการการเมืองแล้ว ผู้ร้องเรียนรายนี้ จึงเกิดมีความหวังขึ้นมา ว่า ป.ป.ช. จะช่วยกำจัดการทุจริตมิชอบในวงราชการ อย่างเด็ดขาด

ซึ่งสุดท้าย ก็สุดแท้แต่การพิจารณาของ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน จะยอมรับคดี “ส่วยคาราโอเกะ” มาปัดฝุ่นสอบสวนใหม่หรือไม่


นายสนธิ ได้กล่าวฝากไปถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ว่า ก่อนจะครบวาระการเป็น ป.ป.ช. 9 ปี สิ้นเดือนกันยายนนี้ เหลือเวลาอีกไม่ถึง 9 เดือน พล.ต.อ.วัชรพล ควรจะล้างตัวให้ดูสะอาด ผ่องใส ลำพังแค่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดจาออกเป็นคลิปต่อหน้าลูกน้องของตัวเองที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองว่าสนิทสนมกับคุ น.ส.สุภา แค่นี้ ต้องรีบจัดการดำเนินการอย่างเด็ดขาดแล้ว


“ผมไม่อยากจะกล่าวหาท่านว่า ในยุคที่ท่านเป็นประธาน ป.ป.ช. นั้น ป.ป.ช. นั้นโคตรตกต่ำเลย ตกต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร หรือคุณอยากจะหมดวาระไปด้วยมลทินที่ประชาขนทั้งหมด นี่ผมเป็นตัวแทนประชาชนนะท่านวัชรพล ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนที่ดูรายการนี้อยู่ เขาพร้อมให้ผมเป็นตัวแทนตั้งคำถาม ถามท่าน 8-9 เดือนที่เหลือนี้ ท่านจะทำอะไรให้มันถูกต้องหน่อยได้ไหม”

นายสนธิกล่าวอีกว่า ถ้าใครเป็นศัตรูของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อย่างเช่น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. คณะอนุกรรมการที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการ สอบหนักเลย ไม่ให้โอกาสเขาชี้แจง ให้เวลา 15+15 นาที ในการชี้แจง คือ 30 นาที นี่ไม่ใช่อคติแล้ว แต่เป็นการรับงานมา


“ท่านวัชรพล ครับ ท่านกรรมการ ป.ป.ช. ทุกท่านครับ ตรงนี้ท่านแก้หน่อยได้ไหม อย่าให้คนโดนรังแกจากคนที่อุกอาจ โอหังมมังการ คิดว่าตัวเองรู้จักกับกรรมการ ป.ป.ช. หรือว่าสามารถจะสนิทสนมกับกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นประธานอนุกรรมการในเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ แล้วคนที่ตกเป็นจำเลยนั้นเกิดเป็นคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ขอเถอะครับ ถ้าท่านทำอย่างนี้ได้ โอกาสความยุติธรรมก็จะเกิดขึ้น


“ช่วยนำความเชื่อมั่นกลับมาให้กับประชาชนเสียทีได้ไหม เพราะท่านประธาน ป.ป.ช. เองท่านก็มีแผลจากการที่สนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยเป็นหน้าห้องท่าน แล้วเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร นั้น สังคมได้ดูว่าท่านไม่ยุติธรรมกับสังคม ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องนาฬิกาเพื่อนเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งคนทางการเมืองหลายๆ คน ผมฝากไว้แค่นี้ครับ” นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น