“สนธิ” แฉขบวนการปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ทำลายระบบยุติธรรมของประเทศ อุ้ม “นักโทษเทวดา” ไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว แต่ต้องผิดหวังที่ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งหมดตามที่คาดคิด จึงทำทุกวิถีทางให้ได้อยู่ชั้น 14 นานที่สุด พร้อมหาทางให้พ้นโทษโดยเร็ว แต่ติดยังไม่ได้ทำชั้นนักโทษ ไม่เข้าเงื่อนไขได้พระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญ หรือได้พักโทษ จนกว่าจะถึงเดือน ก.ค.ปีนี้ จะใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ คนราชทัณฑ์ก็ยังไม่มีใครกล้า ล่าสุดโดยนหิรนถามทาง ขอพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ ซึ่งก็ยาก หากดันทุรังจะก่อวิกฤติใหญ่ครั้งใหม่
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดคดีทุจริตได้ออกมารักษาตัวนอกเรือนจำตนเกือบ 150 วันแล้ว โดยอ้างเรื่องความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มาประกอบพอเป็นพิธีกรรม ซึ่งกระบวนการของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแสดงออกอย่างชัดเจนเพื่อช่วยกันทำอย่างไรก็ได้ ทุกวิถีทาง เพื่อยื้อให้ได้นอนอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจให้นานที่สุด
ในขณะเดียวกัน อีกกระบวนการหนึ่ง กำลังดำเนินการคู่ขนานกับการรักษาตัวนอกเรือนจำ คือการผลักดันให้มีกระบวนการทำให้นายทักษิณ ชินวัตร พ้นโทษโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สำหรับการพักการลงโทษกรณีนายทักษิณ ชินวัตร รายละเอียดขั้นตอนมีดังนี้
1. ตามหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้น นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการจัดให้เป็นชั้นกลาง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หากมีคุณสมบัติครบถ้วนก็จะได้รับเลื่อนจากชั้นกลาง เป็นชั้นดี ในสิ้นเดือนมิถุนายนปี 2567 ซึ่งจะมีผลวันที่ 1 กรกฎาคม 2567
ทั้งนี้ การแบ่งนักโทษเด็ดขาด มีการตั้งไว้ 6 ชั้น ชั้นต่ำสุดคือชั้นที่ 6 เรียกว่า "ชั้นเลวมาก" เป็นชั้นที่ต้องปรับปรุงมาก รองลงมาคือ ชั้นที่ 5 คือ ชั้นเลว ชั้นต้องปรับปรุง ชั้นที่ 4 คือ ชั้นที่นายทักษิณ ชินวัตร อยู่ คือชั้นกลาง ชั้นที่ 3 คือ ชั้นดี ชั้นที่ 2 คือ ชั้นดีมาก ชั้นที่ 1 คือ ชั้นเยี่ยม
“สมัยที่ผมอยู่ ผมเข้าไปยังไม่ได้ชั้นกลางเลย ตอนนั้นมีการกีดกันไม่ให้คนเข้าไปได้ชั้นกลาง เพื่อจะกดให้นักโทษนั้นได้เลื่อนชั้นยาก แต่ต่อมาภายหลังมีคนร้องเรียนไปเยอะ ก็เลยมีการปรับปรุง ผมเลื่อนชั้นกลาง ขึ้นเป็นชั้นเยี่ยม ภายในระยะเวลา 2 ปี ต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมด ผมสอบได้นักธรรมเอก ต้องเรียนธรรม นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก
“ส่วนในกรณีของทักษิณ ชินวัตร อย่างที่ท่านรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คุณสิทธิ สุธีวงศ์ บอกว่า เพิ่งต้องโทษ จึงจัดอยู่เป็นชั้นกลาง ไปอยู่ชั้นกลางนี้ ทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีโอกาสได้รับสิทธิพักการลงโทษแต่อย่างใด ต้องทำชั้น อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นนักโทษชั้นดีก่อน ถึงจะมีโอกาสได้รับสิทธิ” นายสนธิกล่าว
2.ประเด็นการพักโทษ มีอยู่ 2-3 ประการ กรณีปกติ นายทักษิณ ชินวัตร จะเข้าเกณฑ์พักโทษในชั้นดี ในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 หรือว่า 1 ใน 5 ของกำหนดโทษ หรืออีกเกือบครึ่งปี ตามกฎกระทรวงกำหนด
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจะได้รับการพักโทษ จะต้องรอจนถึงวันสิ้นเดือนมิถุนายน เป็นนักโทษชั้นดี จะมีผลให้ได้รับการพักการลงโทษ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป
การพักการลงโทษ ข้อที่ 2 เป็นการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จะต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
ในกรณีนายทักษิณ ชินวัตร จะได้รับการพักโทษก็ต่อเมื่อจำคุกมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งจะเข้าเกณฑ์พักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เดือนหน้านี้แล้ว
ทีนี้ ถ้าจะพักโทษในกรณีอายุ 70 ปีขึ้นไป จะต้องประกอบไปด้วย ผลการประเมินตามแบบประเมินคัดกรองปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน กรมอนามัยมีค่าคะแนนไม่เกิน 11 คะแนน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย พยาบาลเรือนจำจะเป็นผู้ทำการประเมินและรับรองโดยผู้บัญชาการเรือนจำ
ซึ่งในความเป็นจริงก็คือ ไม่มีพยาบาล หรือผู้บัญชาการเรือนจำคนไหนกล้ารับรอง เพราะธรรมดาแล้ว กรณีพิเศษจะเป็นคนพิการ อย่างเช่นตาบอด 2 ข้าง ขาพิการ 2 ข้าง เดินไม่ได้เลย อย่างนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ แต่สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร แล้ว ไม่เข้าหลักเกณฑ์เลยแม้แต่นิดเดียว จะให้พยาบาลคนไหนมารับรอง ให้ผู้บัญชาการเรือนจำคนไหนมารับรอง ติดคุกติดตะรางหัวโตเลย
หรือหากขอพักการลงโทษกรณีความเจ็บป่วยร้ายแรง ก็ต้องมีแพทย์จำนวน 2 คน ตรวจรับรองความเจ็บป่วย ว่า เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคไตวายเรื้อตัง มีการล้างไตที่ช่องท้อง โรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้เช่นกัน ก็ยังไม่มีแพทย์คนไหนกล้ารับรอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากเงื่อนไข กฎระเบียบ และกฎหมายที่ค่อนข้างจะตายตัวข้างต้นนั้น เปลี่ยนแปลงได้ยาก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีการโยนหินถามทางมาจากในกระทรวงยุติธรรม และ "แกะดำ" บางตัวในกรมราชทัณฑ์ ในการสร้างทางลัดและช่องพิเศษทุกวิถีทางให้ทักษิณ ชินวัตร พ้นโทษให้เร็วที่สุด ด้วยการ "พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ" เพื่อให้สมกับที่ทักษิณ ชินวัตร ประกาศลั่นไว้ก่อนกลับประเทศไทยว่า “จะไม่ยอมติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว” นั่นเอง
มีเบื้องหน้าเบื้องหลังในการกลับมาของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่มีใครรู้ ตอนที่เดินกลับมาประเทศไทย วันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น
ข้อแรก เมื่อออกจากสนามบินดอนเมือง นายทักษิณ ได้ไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในระหว่างกระบวนการฟังคำพิพากษา ตอนแรกทนายของนายทักษิณ ไม่ยอมให้นายทักษิณพิมพ์ลายนิ้วมือ เหมือนผู้ต้องหาด้วยซ้ำไป แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอม จึงต้องดำเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ
ข้อที่สอง หลังจากที่นายทักษิณ สิ้นสุดกระบวนการรับฟังคำพิพากษา และเดินทางมายังเรือนจำกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ กันกระสุน ถึงเรือนจำประมาณ 11 โมงครึ่ง นายทักษิณ เข้าไปในห้องทำบัตรนักโทษของเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ไม่ได้ดำเนินการตัดผมเหมือนนักโทษทั่วไป
ข้อที่สาม เมื่อนายทักษิณ เข้าเรือนจำแล้ว ก็ไม่ได้เข้าห้องขัง แต่มุ่งตรงไปยังสถานพยาบาลของเรือนจำ ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเรือนจำใหญ่ๆ จะมีสถานพยาบาลของเขาเอาไว้ สำหรับรักษาผู้ป่วยที่จำเป็น นอนพักผ่อน เพื่อไปดำเนินการตรวจโรคแล้วกักโควิด
ข้อที่สี่จากนั้นในคืนวันนั้น นี่คือข้อมูลของนายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งพัศดีเวรได้รายงานว่า นายทักษิณ ซึ่งควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แดน 7 อยู่ระหว่างการกักโรค มีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอก วัดความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครก็นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ ทันที ซึ่งได้รับตัวเพื่อทำการบำบัดเมื่อเวลา 00.23 น. ของวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เรือนจำฯ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมตามระเบียบขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ ถึงวันนี้นับแล้วก็ 150 วันพอดี
คำถามที่น่าสนใจของผู้ที่รู้เรื่องราชทัณฑ์ดี ก็คือเป็นคนที่อยู่ในกรมราชทัณฑ์นั่นเอง เขาตั้งข้อสังเกตและคำถามว่า
กรณีการนำนักโทษออกมานอนนอกเรือนจำนั้น ต้องเป็นกรณีฉุกเฉินจริงๆ ที่ รพ.ราชทัณฑ์ไม่สามารถรองรับได้ และต้องมีพยาบาลเซ็นว่าเป็นเหตุฉุกเฉิน รพ.ราชทัณฑ์รองรับไม่ได้ มีผู้บัญชาการเรือนจำหรือหากเป็นยามวิกาลเวรผู้ใหญ่ที่อยู่ต้องต้องเซ็นรับผิดชอบ
การที่นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อ้างว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีอาการต่างๆ ทำให้พยาบาลเวรเรือนจำได้ติดต่อขอคำแนะนำจากแพทย์ที่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์ได้สอบถามอาการโดยละเอียดแล้ว พบว่ามีโรคประจำตัวหลายโรค ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ จึงเห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ ที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ มีศักยภาพสูงกว่า
คำถาม คือ พยาบาลหรือแพทย์คนเซ็นนั้นคือใคร? ชื่ออะไร? เวรผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษฯ นั้นคือใคร? ชื่ออะไร ?
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธินายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ใช่ความลับอะไร เอาชื่อ-นามสกุล ลายเซ็นคนรับผิดชอบมา ก็แค่นั้น ไม่ต้องเฉไฉหรือแถไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีประโยชน์ รายการนี้ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือไม่ได้หรอก
ข้อที่ห้า ในเชิงลึกมีรายงานว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น เมื่อเข้าไปในเรือนจำ นายทักษิณโวยวายจะไม่ยอมอยู่เรือนจำ ทำให้มีการต่อรองระหว่างฝ่ายการเมืองขั้วอำนาจเก่าอย่างหนัก ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วย ในที่สุดก็ตกลงอนุญาต เปิดไฟเขียวให้ทักษิณออกมานอนอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ข้อที่หก เมื่อนายทักษิณ ไม่ยอมอยู่เรือนจำ และจะออกไปอยู่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็เกิดกระบวนการเร่งรัดการขอพระราชทานอภัยโทษให้นายทักษิณ ชินวัตร อย่างเร่งด่วน จนวันที่ 1 กันยายน มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 140 ตอนที่ 40 พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอภัยโทษลดโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากติดคุก 8 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกา 3 คดี เหลือเพียง 1 ปี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จงรักภักดี ยอมรับผิดในการกระทำ และสำนึกในความผิด ดังที่ได้ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
“ที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ผมมีประเด็น มีข้อสังเกตอย่างนี้ครับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระราชทานพระกรุณาอภัยลดโทษ ตามฉบับดังกล่าว คนลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แต่อย่างใด เป็นการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ จาก 8 ปี เหลือ 1 ปี
“ซึ่งมีคนตั้งข้อสังเกตมาก ว่า แตกต่างจากราชประเพณีในอดีต กรณีที่ในอดีตมีการอภัยโทษให้ทั้งหมด คือไม่เหลือโทษจำคุกต่อเลย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ทักษิณ คิดว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับมีติ่งเอาไว้ 1 ปี ต้องติดในคุก”
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายทักษิณช็อก เพราะเดิมทีเข้าใจว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าตัวเองกลับมายอมรับโทษ แล้วก็ยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษทันที แล้วก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งหมด ตกใจทำอะไรไม่ถูกเพราะเป็นเรื่องที่ผิดคาดอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ฝ่ายทักษิณเลยต้องเดินเกมเอื้อให้นายทักษิณพ้นคุก ด้วยวิธีการ
1.ให้นายทักษิณ นอนโรงพยาบาลตำรวจได้นานเท่าที่จะนานได้โดยไม่ต้องกลับไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
2.ผลักดันเรื่องการนำเสนอขอพระราชทานอภัยโทษอีก 2 วาระ คือ วันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของรัชกาลที่ 9 และวันที่ 5 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นวันพระบรมราชสมภพของรัชกาลที่ 9 เช่นกัน แต่ก็มิอาจส่งผลใดๆ ได้ต่อทักษิณ เพราะว่านายทักษิณเป็นเพียงนักโทษชั้นกลาง ไม่สามารถได้รับการพระราชทานอภัยโทษเพิ่มเติมได้
นอกจากนี้ ยังทำให้ไม่มีการดำเนินการใดๆ จากกรมราชทัณฑ์ และนักโทษอื่นๆ ที่รอการพระราชทานอภัยโทษในวาระปกติ กลับต้องรอเก้อเพราะความเห็นแก่ตัวของทักษิณ ชินวัตร
ในที่สุด เกมที่เดินต่อคือ หาทางตั้งเรื่องการคุมขังนอกเรือนจำ ซึ่งระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง 2566 สาระสำคัญที่เกี่ยวกับการคุมขังอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรือนจำ เรื่องดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ? เกิดจาก พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ 2560 ซึ่งมีการดำเนินการมาตั้งแต่สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พูดง่ายๆ ว่าตั้งแท่นเอาไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ให้เอางานที่ตั้งเอาไว้นั้นมาใช้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 นั้น ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีคณะกรรมการคัดกรองที่มีรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่กำกับดูแลกองทัณฑวิทยา เป็นประธานร่วมกับผู้อำนวยการกองงานที่เกี่ยวข้องกับกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 8 คน เพื่อร่างหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังที่เข้าข่ายคุมขังนอกเรือนจำเสียก่อน โดยคณะทำงานคัดกรอง 8 คนนี้ เขาเรียกกันเล่นๆ ว่า "8 อรหันต์"
แต่ในวันอังคารที่ 9 มกราคมนั้น ในที่ประชุมคณะกรรมการคัดกรองการคุมขังในสถานที่คุมขัง ไม่มีการผ่านระเบียบใดๆ ออกมาทั้งสิ้น เพราะไม่มีใครกล้า เพราะกลัวจะเป็นการทำผิดกฎหมาย กลายเป็นเรื่องด่างพร้อยในชีวิต และจะต้องถูกเช็กบิลภายหลัง
เมื่อการประชุมคณะกรรมการคัดกรองการคุมขังในสถานที่คุมขัง 8 คน ในวันอังคารที่ 9 มกราคม ไม่มีผลใดๆ ออกมา วันพฤหัสบดีที่แล้ว วันที่ 11 มกราคม ในการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หมายมั่นปั้นมือจะต้องแสดงผลงานโชว์นายทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นที่ประจักษ์ จึงต้องเป็นหมันโดยปริยาย
เมื่อไม่มีทางอื่นเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษในวาระ 13 ตุลาคม หรือ 5 ธันวาคม ก็ไม่ได้ การคุมขังนอกเรือนจำก็ไม่ได้ การพักการลงโทษเป็นกรณีปกติก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทักษิณต้องทำชั้น ต้องรออย่างน้อยๆ อีกเกือบครึ่งปี หรือเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม สุดท้ายก็เลยมาออกช่องทางของการ “พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ” โดยอ้างว่านายทักษิณมีคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งมีการโยนหินถามทางและมีการเตรียมปูทางไว้แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา
“ทั้งหมดนี้ เป็นกระบวนการที่เกิดจากความมิชอบ เป็นความพยายามตัดตีนใส่เกือก ไม่ใช่ตัดเกือกมาใส่ตีน เพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ทำลายกระบวนวการยุติธรรมของประเทศไทยทั้งประเทศ และเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
“อย่างที่ผมเตือนไปแล้ว ผมขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า ความพยายามปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือครั้งนี้คงยากที่จะสำเร็จ หรือเมื่อสำเร็จ ก็จะนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ครั้งใหม่ และเรื่องนี้จะเป็นระเบิดมหาประลัยที่จะทำลายคุณทักษิณ ชินวัตร และคนรอบข้างให้กลายเป็นจุณไปในที่สุด” นายสนธิกล่าว