ไทยกระอัก! ยาบ้าทะลักท่วม เมื่อชนกลุ่มน้อยในพม่าเร่งปั๊มยาหาเงินสู้รบกับรัฐบาลกลาง ขณะฝั่งไทยก็ลักลอบส่งปืนไปขาย โดย มี ขรก.มหาดไทยเข้าไปเอี่ยว ต้องถามดังๆ ถึงเจ้ากระทรวงมัวทำอะไรอยู่ นอภ.ที่ถูกจับข้อหาเอี่ยวค้าปืน ยังได้เป็น นอภ.เหมือนเดิม ถึงเวลาหรือยังต้องเอาจริงกับปัญหาความมั่นคง อย่ามัวไปเอาใจนักเที่ยวให้เปิดผับถึงตี 4
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงผลกระทบต่อประเทศไทยจากสถานการณ์สู้รบกันระหว่างรัฐบาลพม่า กับบรรดาชนกลุ่มน้อย และกองกำลังอีกหลายฝ่ายในพื้นที่ซึ่งติดกับพรมแดนประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้อพยพ, แรงงานเถื่อน, ของเถื่อน, อาวุธเถื่อน ไปจนถึง ยาเสพติด
จะเห็นว่าหลายเดือนหลังมานี้เกิดการทะลักเข้ามาของยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า อันเป็นสินค้าส่งออกสุดล้ำค่าทั้งของ “กลุ่มว้าเหนือ” และ “กลุ่มว้าใต้” ที่ต้องการนำเม็ดเงินที่ได้จากการขาย“ยาเสพติด”เหล่านี้ ไปจัดหา ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ประกอบกับเป็นทุนหล่อเลี้ยงปากท้องลูกสมุนทั้งหมดในกองทัพ
สัปดาห์ที่แล้ว ในวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2566 มีเหตุการณ์จับกุมยาบ้าล็อตใหญ่ ยึดของกลางอภิมโมฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของจังหวัดกาญจนบุรี โดยในวันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ได้ทำการสนธิกำลังกันกับฝ่ายปกครอง ตั้งด่านตรวจร่วมบริเวณสามแยกทองผาภูมิ ถนน 323 สังขละบุรี-กาญจนบุรี หมู่ 1 ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และเจอ รถบรรทุก 6 ล้อขนยาบ้ามาทั้งสิ้น 50 ล้านเม็ด รวมมูลค่าของกลางประมาณ 1,500 ล้านบาท
สอบสวน นายปิติพันธ์ คนขับรถ ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ เคยทำในลักษณะนี้มาแล้ว 5 ครั้ง แต่ละครั้งเมื่อขับรถไปส่งของสำเร็จจะได้ค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ก็ถูกจับกุมตัวได้เสียก่อน
คล้อยหลังจับยาบ้า 50 ล้านเม็ดที่ทองผาภูมิ ได้เพียง 4 วัน เมื่อ ช่วงกลางดึกวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ทหารชุดเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ก็ดำเนินการวิสามัญฯ กองกำลังคาราวานขนยาบ้า ที่พยายามเดินเท้าลักลอบเข้ามาทางชายแดนเทอดไทย จังหวัดเชียงราย ไปอีก 15 ราย ยึดยาบ้าในเป้สะพายหลัง 17 ใบ ได้รวม 2 ล้าน 4 หมื่นเม็ด รวมมูลค่ากว่า 61 ล้านบาท
วันเดียวกันนั้น พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ก็ได้รายงานให้คณะทำงานฯ และสื่อมวลชนที่ไปเกาะติดสถานการณ์ ฟังว่า ปัจจุบันขบวนการค้ายาเสพติดพยายามลักลอบนำสินค้าเข้าสู่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นได้เน้นย้ำให้สกัดกั้นที่ชายแดนให้ได้ให้ได้มากที่สุดโดยช่วงประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา คือ เดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม 2566 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงาน สามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 หรือปีที่แล้วถึง 6 เท่า
การสู้รบที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลพม่า ของ พลเอกอาวุโส มิน อ่องหล่าย กับบรรดากลุ่นักรบชาติพันธุ์ ซึ่งมีแกนนำหลัก 3 กลุ่ม ที่เรียกตัวเองว่า “กองกำลังพันธมิตรภาคเหนือ” อันได้แก่ 1.กองทัพโกก้าง 2.กองทัพอาระกัน 3.กองทัพตะอางหรือปะหล่อง
นักรบ 3 กลุ่มนี้ ได้ “เปิดปฏิบัติการ 1027” ดำเนินยุทธวิธี เข้าโรมรันพันตูกับกองทัพทหารพม่า เริ่มจากในพื้นที่เขตการปกครองพิเศษโกก้าง เมืองเล่าก์ก่าย ทางตอนเหนือของรัฐฉาน ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน กินเวลานานเกือบ 2 เดือน ซึ่งสถานการณ์การสู้รบได้บานปลายไปยังหลายๆ เมือง กระทั่งเกิดผลกระทบกับประเทศไทยไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากข้อมูลการสู้รบกันระหว่างกองกำลังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตั้งแต่เริ่มอุบัติขึ้น ก็กินระยะเวลา ยาวนาน มาแล้วเกือบ 3 เดือน ได้สอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างยิ่งกับข้อมูลการทะลักเข้ามาของยาบ้า ในห้วงเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่ง พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้รายงานเอาไว้
ก่อนหน้านั้น ในคราวที่ทางกองพลทหารราบที่ 9 ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ตรวจยึดยาบ้า ได้ 50 ล้านเม็ด พันเอก ณปพงศ์ธร วังตาล หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ กอง 12 หรือ “พระกาฬ หนึ่งสอง” นายทหารมือปราบยาเสพติดฝีมือระดับพระกาฬ ของ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ก็ได้ให้ข้อมูลแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ไว้กับ ทีมงาน Sondhi Talk เอาไว้ว่า
“การลักลอบลำเลียงเส้นทาง และการเคลื่อนย้ายยาเสพติด ยาบ้าจำนวนมาก เข้าสู่ชายแดนไทย ในพื้นที่ ภาคเหนือและช่องทางภาคตะวันตก โดยเฉพาะด้านด่านเจดีย์สามองค์ ตรงข้ามกับเมืองพญาตองซู สาเหตุหลักเกิดจากการสู้รบภายในพม่าทวีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้การตรวจตราของเจ้าหน้าที่ฝั่งเพื่อนบ้านขาดความเข้มงวด
“นอกจากนี้การจับกุมอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ไทยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ได้ทดลองเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงยาเสพติดมาทางเมืองพญาตองซู โดยลักลอบผ่านเข้าตามช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ บ้านพระเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีชายแดนติดกัน รวมทั้งมีเครือข่ายค้ายาเสพติดคอยอำนวยความสะดวกอยู่จำนวนมากทั้งฝั่งพม่าและฝั่งไทย
“ด้วยเหตุผลการสู้รบของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์กับรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องจัดหาเงินทุนไว้ใช้ในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ในการสู้รบกับรัฐบาลทหาร มีแหล่งข่าวในพื้นที่ได้ให้ข้อมูลอ้างอิงเอาไว้กับทางการไทย ว่า กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้ค้ายาเสพติดหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการทำรัฐประหารของรัฐบาลทหารพม่าเสียอีก”
ที่ผ่านมาการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติด้านชายแดนไทยฝั่งตะวันตก มักมีผู้ต้องหา กล่าวถึง กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มของ พันเอก เพียวลิน หรือ เอวัณ
นอกจากความต้องการด้านทุนทรัพย์เพื่อนำไปซื้อหาอาวุธยุทธโธปกรณ์ ของกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ เหล่านี้ ยังมีข้อมูล ลักษณะยาเสพติด บรรจุภัณฑ์ของยาบ้า และตราสัญลักษณ์ รวมถึงแหล่งที่มาของยานรก เครือข่ายต่างๆ จากฝั่งเพื่อนบ้าน ที่ทางการข่าวของกองทัพไทย ได้เก็บรวบรวมเอาไว้
จากการจับกุมยาเสพติดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา บริเวณสามแยก ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พบของกลางยาบ้า จำนวน 50 ล้านเม็ด ซุกซ่อนมากับรถขนขยะรีไซเคิล นั้น พบว่า บรรจุภัณฑ์และหีบห่อยาบ้าที่ยึดได้ จะถูกบรรจุอยู่ภายในกระสอบสีขาว เขียนอักษรกำกับภายนอก ทั้งหมด 3 ลักษณะ
ลักษณะที่ 1 คือมีการเขียนอักษร Y-1 สีชมพู ภายในกระสอบพบห่อบรรจุภัณฑ์ยาบ้าปั๊มบนห่อ Y-1 สีแดง ลักษณะเม็ดยาที่พบจะเป็นสีแดงปั๊มอักษร WY หางยาว ไม่มีเม็ดยาสีเขียวคั่น
ลักษณะที่ 2 คือภายในกระสอบพบห่อบรรจุภัณฑ์ยาบ้าปั๊มบนห่อ รูปเครื่องบิน F-35 สีแดงในวงกลมสีแดง ลักษณะเม็ดยาที่พบภายในสีแดง ปั๊ม WY หางยาว ไม่มีเม็ดยาสีเขียวคั่น
และ ลักษณะที่ 3 คือ ภายในกระสอบพบห่อบรรจุภัณฑ์ยาบ้าปั๊มบนห่อ เป็นรูปจานบิน U F O ด้านบนประทับตราอักษร U F O ด้านล่างประทับตรา 999 ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงิน
ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลการเก็บสถิติยาเสพติดประเภทยาบ้าของหน่วยงานไทยแล้วพบว่า ยาเสพติดที่ทะลักเข้ามาจากฝั่งประเทศพม่า ยาบ้าที่จับกุมได้ในพื้นที่ จังหวัดกาญจนบุรี และ ยาบ้าล็อตที่ยึดได้จากการวิสามัญฯ คาราวานขนยาเสพติด 15 ศพ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ในอีก 4 วันต่อมา นั้น มาจากแหล่งการผลิตทั้งในเขตว้าเหนือ ,ในเขตว้าใต้ และโรงงานย่อยซึ่งกระจายตัวไปตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยทั้ง 3 แหล่งผลิตใหญ่ กำลังช่วยกันเร่งการปั๊ม เร่งลำเลียงขนส่ง เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อระดมทุนทรัพย์ไปใช้ซื้อหาอาวุธยุทธโธปกรณ์
นอกจากนี้ แหล่งข่าวชาวมอญ ก็ได้ให้ข้อมูลสำคัญไว้กับเจ้าหน้าที่ของทางการไทย ระบุว่า กลุ่มหลักที่ผลิตยาเสพติดในรัฐฉาน ประเทศพม่า แบ่งออกได้ประมาณ 8 กลุ่ม คือ
1.ว้า
2.โกก้าง
3.กลุ่มเมืองลา
4.ไทยใหญ่เหนือ
5.คะฉิ่น
6.มูเซอ
7.อาข่า และ
8.กลุ่มทหารพม่าที่มีที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับรัฐคะฉิ่น
นอกจากนี้ ในพื้นที่ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ยังมีโรงงานผลิตยานรกเกิดขึ้นใหม่อีกอย่างน้อย 4 โรงงาน มีทั้งโรงปั๊มยาบ้า ผลิตยาเค และมีบางโรงงานผลิตยาอี ด้วย โดยทั้ง 4 โรงงานนี้มีนายทุนเป็นกลุ่มจีนเทา ซึ่งว่าจ้างกองกำลังชาติพันธุ์ดูแล และเคลื่อนย้ายยาเสพติดส่งให้กับเอเยนต์ค้าส่งอีกทอดหนึ่ง
“ปืนเถื่อน-ปืนสวัสดิการ” ฝั่งไทยทะลักพม่า
กองกำลังชาติพันธุ์ คู่ปรับของทหารรัฐบาลพม่า ต้องการนำเงินทุนจำนวนมากไปซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์จากใคร?
หลายคนอาจคาดเดาว่า น่าจะเป็นไอ้โม่งจากฝั่งอเมริกา จากทางรัสเซีย ทางอินเดีย หรือจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นคนส่งอาวุธให้กองกำลังชนกลุ่มน้อยใช่หรือไม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องส่วนหนึ่ง เพราะอย่างที่มีข้อสังเกตเอาไว้แล้วว่าอาวุธหนักหลาย ๆ อย่าง รวมถึงอาวุธไฮเทคไม่ว่าจะเป็นโดรน โน้ตบุ๊กที่ใช้ควบคุมอาวุธ ปืนกล จรวด กล้องส่องกลางคืน หรือ โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม ของกองกำลังชาติพันธุ์ในพม่านั้นแน่นอนว่าต้องจัดหามาจากภายนอกประเทศทั้งสิ้น
แต่นอกจากเหล่าประเทศมหาอำนาจที่คอยส่งอาวุธเติมเชื้อไฟให้สงครามในพม่าแล้ว ยังมี “กลุ่มพ่อค้าอาวุธของประเทศไทย” ทำการลักลอบนำอาวุธปืนเถื่อน และอาวุธปืนสวัสดิการจากราชอาณาจักรไทย ส่งขายให้ชนกลุ่มน้อยทั้งฝั่งพม่า ลาว และกัมพูชา กับเขาด้วยเหมือนกัน!?
สำหรับเรื่องนี้ ในช่วงที่ผ่านมา พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมทีมงานกองปราบปราม ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้ พบว่า ตั้งแต่ปี 2534 มีอาวุธปืนสงครามตกค้างอยู่ตามชายแดนไทย-พม่า ชายแดนไทย-กัมพูชา และ ชายแดนไทย-ลาว ถูกซื้อขาย โยกย้ายกันไปมาผ่านช่องทางที่เรียกว่า “ตลาดมืด” จำนวนหลายล้านกระบอก
โดยเฉพาะ เมื่อการสื่อสารเข้าสู่ยุคโลกไร้พรมแดน การซื้อขายผ่านทางโลกออนไลน์ โดยติดต่อสื่อสารกันทาง แอปพลิเคชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไลน์, เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ จึงทำให้เกิด “ปฏิบัติการนารายณ์ปราบศาสตรา” ขึ้น โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
เพื่อระดมกวาดล้างจับกุมพ่อค้าปืนและขบวนการซื้อขายอาวุธปืนสงคราม มาตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน
โดยปฏิบัติการที่ผ่านมาสามารถทำลายเครือข่ายผู้ค้าและผู้ผลิตรายใหญ่ไปแล้ว 18 เครือข่าย จับกุมผู้ซื้อ-ผู้ขาย มากกว่า 1,000 ราย ยึดของกลางอาวุธปืน เครื่องกระสุน และอุปกรณ์ ไปจำนวนหลายร้อยรายการ
มีอยู่คดีหนึ่งที่ น่าสนใจมาก คือ คดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขยายผลมาจากการที่ฝ่ายสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เข้าจับกุม นายดนุพล ยมพงษ์ หรือเบล อายุ 32 ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตำบลแสมสาร หมู่ 1 หรือ ฉายา “เบล 100 กระบอก” ได้พร้อมของกลางอาวุธปืนจำนวนมาก ภายในบ้านเลขที่ 143/22 หมู่บ้านนาวีเฮ้าส์ 43 หมู่ 4 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
ครั้งนั้น “เบล 100 กระบอก” ถูกจับกุมได้ในวันที่ 14 กันยายน 2564 ตามหมายจับศาลจังหวัดหนองคาย ในความผิดฐานร่วมกันส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร และร่วมกันมีอาวุธปืนครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และร่วมกันนำอาวุธปืนผ่านราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
ในเวลานั้น ฝ่ายสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี สามารถตรวจยึด อาวุธปืน ในบ้านพักของผู้ต้องหาได้จำนวน 46 กระบอก แบ่งเป็นปืนสั้น ชนิดกึ่งอัตโนมัติ และลูกโม่ จำนวน 30 กระบอก กับปืนยาวอีก 16 กระบอก ซึ่งทั้งหมดมีใบอนุญาตทะเบียน ป.4คือ “ให้มีและใช้” พร้อมตีตรา “เพื่อการกีฬา”
จากการตรวจค้นภายในบ้านพักของ นายดนุพล พบอาวุธปืน จำนวน 46 กระบอก แบ่งเป็นปืนสั้น ชนิดออโตเมติก และลูกโม่ จำนวน 30 กระบอก และปืนยาว 16 กระบอก ซึ่งทั้งหมดมีใบอนุญาตทะเบียน ป.4 “ให้มีและใช้”
ทั้งนี้ ใบอนุญาตเกี่ยวกับอาวุธปืน มี 3 ชนิด ได้แก่
ใบ ป.3 คือใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนส่วนบุคคล ให้มีอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนสำหรับการค้า
ใบ ป.4 คือใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ให้มีอาวุธปืนไว้เพื่อเก็บ ให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนชั่วคราว
ในทางปฏิบัติ ใบ ป.3 คือใบอนุญาตให้ซื้อปืน(ไปยื่นคำร้องขออนุญาตซื้อต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง นายอำเภออนุญาตให้ซื้อจะออกใบ ป.3 ให้ถือใบนั้นไปหาซื้อปืน)เมื่อนำ ใบ ป.3 ไปซื้อปืน ทางร้านจะดำเนินการตัดโอนออกจากโควต้าร้าน เป็นใบคู่มือปืน แล้วนำใบคู่มือปืน ไปขึ้น ใบ ป.4 โดย ใบ ป.4 คือใบทะเบียนปืนที่ระบุชื่อผู้ซื้อเป็นเจ้าของ
แต่มี ใบ ป.4 แล้วก็ใช่ว่าจะพกอาวุธปืนเหน็บเอว หรือ ใส่ไว้ในรถไปไหนมาไหนมาไหนก็ได้ จะต้องไปขอใบ ป.12 นั่นคือใบอนุญาตนำอาวุธปืนติดตัว
คำถาม ก็คือ“เบล 100 กระบอก”หรือ นายดนุพล ยมพงษ์ ที่ถูกจับกุมที่สัตหีบนั้นไปเอาใบอนุญาตมาจากไหนมากมาย?
คำตอบเมื่อสืบค้นไปสืบคนมาพบว่า ใบอนุญาตทั้งหมดออกให้โดย“นายอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี”อีกทั้งยังพบใบอนุญาต ป.4 ให้มีและใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นชื่อของผู้อื่นอีก จำนวน 67 ใบ แต่ตำรวจกลับไม่พบอาวุธปืน
ด้วยเหตุนี้“เบล 100 กระบอก”จึงตกเป็นผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการสวมสิทธิ์ ใบ ป.4 ปืนสวัสดิการ ก่อนนำอาวุธปืนส่งค้าข้ามชาติให้กับชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้านทันที
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ “เบล 100 กระบอก” ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีเมื่อปี 2564 ระยะเวลาผ่านมาไม่ถึง 1 ปี ชุดทำงานของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็พบข้อมูลว่า เขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่อย่างใด หนำซ้ำ ยังเปลี่ยนไปในทางที่ “เลวมโหฬาร” มากยิ่งขึ้น
แนวทางการสืบสวนของตำรวจกองปราบปราม พบว่า หลังจากถูกฝ่ายสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีจับกุม นายดนุพล ยมพงษ์ หรือเบล ผู้ต้องหารายนี้ ยังนำเอาชื่อบุคคลอื่น หรือคนในขบวนการไปขอใบอนุญาตซื้ออาวุธปืนสวัสดิการ แบบ ป.3 มากกว่า 2,000 ใบ
เมื่อได้รับใบอนุญาตซื้ออาวุธปืนมาเป็นที่เรียบร้อย กลุ่มของนายดนุพล ก็จะไปซื้ออาวุธปืน จากร้านขายปืนสวัสดิการ จากนั้นมีการส่งอาวุธปืนไปขายให้ชนกลุ่มน้อยประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง ลาว กัมพูชา และพม่า รวมถึงยังมีการแบ่งขายในตลาดมืดภายในประเทศอีกด้วย
กลุ่มขบวนการกลุ่มนี้ จะได้กําไร จากราคาส่วนต่างอาวุธปืนสวัสดิการสูงถึงกระบอกละ 30,000 ถึง 50,000 บาท จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบเงินหมุนเวียนในขบวนการมากกว่า 150 ล้านบาท
ต่อมา เมื่อ วันที่ 13 มิถุนายน 2565 “เบล 100 กระบอก” จึงถูกตำรวจกองปราบปราม ออกหมายจับเข้าจับกุมที่บ้านพักหลังเดิมอีกครั้ง พร้อมวิวัฒนาการของฉายาที่ดูยิ่งใหญ่ขึ้นว่า “เบล 1,000 กระบอก” เพราะครั้งนี้เจ้าตัวโดนรวบได้พร้อมของกลาง รถยนต์ 6 คัน บ้านพัก 2 หลัง เรือ 5 ลํา อาวุธปืน 17 กระบอก เครื่องกระสุนปืนขนาดต่างๆ กว่า 10,000 นัด ใบ ป.3 จํานวน 36 ใบ ใบ ป.4 จํานวน 490 ใบ และสมุดบัญชีธนาคารอีก 28 เล่ม
นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาอีก 16 ราย ที่อยู่ในขบวนการเดียวกันกับ “เบล 1,000 กระบอก” ถูกจับกุมตัวด้วย มีทั้งข้าราชการระดับสูง และอดีตข้าราชการระดับสูงของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เช่น
นายดงพล รุจิธรรมธัช อายุ 49 ปี นายอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดนจับกุมตัวได้ที่บ้านพักใน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
นายสาวิตร เจียมจิระ อายุ 60 ปี อดีตนายอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดนจับกุมตัวได้ในพื้นที่ จังหวัดบุรีรัมย์
นางสาว กรณิศ เป๋าทุ้ย อายุ 52 ปี เจ้าหน้าที่อำเภอไทรโยค และ
นายญาณเดช เอี่ยมสะอาด อายุ 31 ปี เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ที่ทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อคนขอใบอนุญาต ถูกจับกุมตัวได้ในพื้นที่ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
การจับกุมเที่ยวล่าสุด ทางคณะทำงานกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยข้อมูลสำคัญว่า เป็นการขยายผลมาจากขบวนการค้าอาวุธสงครามต่าง ๆ ที่จับกุมได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้“ขบวนการค้าปืนเถื่อน และอาวุธสงครมาม”ดังกล่าว มีการวางแผนการทํางานในลักษณะกลุ่มอาชญากร แบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน คือ
1.กลุ่มนายทุน
2.กลุ่มนายดนุพล หรือ “เบล 1,000 กระบอก” ซึ่งมีหน้าที่หาคนทําใบ ป.3 และขนส่งอาวุธ
3.กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ออกใบอนุญาต และ
4. กลุ่มร้านปืน
บุคคลในขบวนการที่มีการยื่นรายชื่อมาขอออก ใบ ป.3 ซื้ออาวุธปืนสวัสดิการส่วนใหญ่ มีพฤติการณ์ที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย บางส่วนไม่ทราบว่าชื่อตนเองถูกสวมสิทธิ์ไปยื่นคําร้องขอ ใบ ป.3
ที่สำคัญที่สุด “ขบวนการค้าปืนเถื่อนและอาวุธสงคราม” นี้จะ ไม่สามารถทำมาหากินได้เลย ถ้า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนแบบ ป.3 ร่วมดําเนินการ ปลอมเอกสาร และออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน ซึ่งเป็นเอกสารเท็จให้ขบวนการ ของ นายดนุพล นำไปใช้ซื้ออาวุธปืนกับทางร้านค้า
ความร่วมมือระหว่าง นายทุน ภาคเอกชน และเจ้าหน้าที่รัฐ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ก่อให้เกิดปัญหาขบวนการค้าอาวุธปืนข้ามชาติขนาดใหญ่ระดับโลก จนสื่อต่างชาติให้ความสนใจ และตราหน้าประเทศไทย ว่า ล้มเหลวในการปราบปรามอาวุธปืนและอาวุธสงคราม
วันที่ 4 ตุลาคม 2566 สำนักข่าวอิศรา เคยแปลข่าวจากสำนักข่าวเอเอฟพี ลงเป็นบทความภาษาไทย ในหัวข้อ Deadly Thai mall shooting reignites gun control questions โดยระบุว่า “สื่อนอกไม่เชื่อว่าไทยออกมาตรการคุมอาวุธปืนสำเร็จ หลังเหตุกราดยิงที่พารากอน ชี้โครงการสวัสดิการเป็นต้นตอปัญหาทำอาวุธปืนหลุดตลาดมืด”
ในบทความได้แปลคำสัมภาษณ์จาก นายไมเคิล พิการ์ด นักวิจัยอิสระเรื่องการแพร่กระจายของอาวุธปืนและการทุจริต ด้วยว่า “ปัญหาที่แท้จริงคือโครงการปืนสวัสดิการ” โครงการนี้บุคลากรของรัฐจะได้รับส่วนลดสําหรับปืนส่วนบุคคลและซื้อโดยตรงผ่านหน่วยงานของพวกเขา แทนที่จะผ่านกระบวนการออกใบอนุญาตเหมือนอย่างพลเรือน
มหาดไทยเล่นปาหี่?
ไม่ได้อยากตั้งธงจับผิด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่เรื่องนี้จะปล่อยปละ ละเลย ไม่ว่าเตือนท้วงติงกันเลย ก็อดเสียมิได้ เพราะปัญหานี้หากโยงกันไปโยงกันมา สุดท้ายแล้วมันก็ชี้ไปที่ต้นตอ คือ กระทรวงมหาดไทยอีกแล้ว !?!
เพราะสถานการณ์การทะลักเข้ามาของแรงงานต่างด้าว และยาเสพติด จากเพื่อนบ้าน เนื่องจากผลกระทบเรื่องภัยสงคราม ประกอบกับการเร่งปั๊มยาบ้ามาขาย เพราะกองกำลังชนกลุ่มน้อยต้องการหาเงินทุนไปซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์สู้รบกับรัฐบาล ล้วนมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้ง กับข้อเท็จจริงในคดี “เบล 1,000 กระบอก” และขบวนการค้าอาวุธปืน และอาวุธสงครามเถื่อนแบบแยกแยะกันไม่ออกเลยทีเดียว
นายอนุทินทราบหรือไม่ว่า จากคดีนี้ และขบวนการนี้ ? นายดงพล รุจิธรรมธัช นายอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี คือ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมคดีนี้คาบ้านพัก โดนตำรวจชุดจับกุมตั้งข้อหาร้ายแรงในฐานะข้าราชการ ที่ร่วมขบวนการค้าอาวุธข้ามชาติ ขบวนการเดียวกันกับ“เบล 1,000 กระบอก”
ช่วงนั้นหลังถูกบุกจับกุมตัวเพียง 1 วัน คือวันที่ 14 มิถุนายน 2565 นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง ในตอนนั้นได้เด้ง นายดงพล ให้ไปช่วยราชการที่กรมการปกครอง โดยมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ที่วิทยาลัยการปกครอง เป็นการประจำ
แต่หลังจากนั้น 18 เดือนต่อมา นายดงพล ได้ถูกแต่งตั้งไปเป็นนายอำเภอ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดลพบุรี และจังหวัดนครสวรรค์สรุปง่าย ๆ ในระยะเวลา 18 เดือนต่อมาหลังถูกจับ เจ้าตัวกลับมีคำสั่งไปทำหน้าที่รับใช้ประชาชนได้ต่ออีก 3 จังหวัด
พวกท่านคิดจะเล่นปาหี่กันอย่างสนุกสนานแบบนี้จริงๆ หรือ???
ขณะนี้คดีที่ นายดงพล รุจิธรรมธัช อดีตนายอำเภอศรีราชา โดนจับ จะถูกพิพากษาหรือไม่? ไปแล้วอย่างไร? ไม่ทราบได้? แต่ 18 เดือนที่ผ่านมา พบว่า เมื่อ วันที่ 8 มกราคม 2566 หรือ ราวๆ 6 เดือนหลังโดนจับ มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 75/2566 เรื่องย้ายราชการ ที่ลงนามโดย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้ นายดงพล รุจิธรรมธัช นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ย้ายไปเป็น นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี
จากนั้นเมื่อ วันที่ 14 กรกฎาคม 2566 หรือประมาณ 5 เดือนที่แล้ว ยังมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 2042/2566 เรื่องย้ายราชการ ลงนามโดย นายสุทธิพงษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย คนเดิม ให้ นายดงพล รุจิธรรมธัช นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี ช่วยราชการกองวิชาการและแผนงาน กรมการปกครอง ย้ายไปเป็น นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และทำหน้าที่จนถึงปัจจุบัน
เป็นเรื่องตลกและสร้างความงุนงงว่า กระทรวงมหาดไทยกำลังเล่นอะไรกัน? นายอำเภอซึ่งถูกดำเนินคดีอาญา หลังโดนจับ 18 เดือน ยังได้มีโอกาสไปทำงานในพื้นที่ต่างๆ ตั้ง 3 จังหวัด คือ บุรีรัมย์, ลพบุรี และ นครสวรรค์
ก็ทำกันอย่างนี้บริหารงานกันอย่างนี้ เมื่อไหร่ปัญหาปืนเถื่อน ปัญหาข้าราชการทุจริตสมคบกับพวกอาชญากรมันจะหมดสิ้นไปเสียที
“วันวาน” “วันนี้” กับนโยบายเปิดผับถึงตี 4 ของ “เสี่ยหนู”
นายอนุทินต้องจริงจังกับปัญหาที่เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ไปมัวออกนโยบายเอาใจเด็ก เปิดผับถึงตี 4 อ้างเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
วันที่ 11 ธันวาคม 2566นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามกฎกระทรวงขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ สถานบริการในท้องที่กรุงเทพมหานคร, จังหวัดภูเก็ต, จังหวัดชลบุรี, จังหวัดเชียงใหม่ และท้องที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งสถานบริการที่ตั้งอยู่ในสถานที่ตั้งโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมทั่วประเทศ
เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยจะอนุญาตเป็นการชั่วคราวก่อน และให้เปิดได้เฉพาะสถานบริการในพื้นที่ที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดหรือมีการจัดโซนนิ่ง
นอกจากนั้นคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 สถานบริการทั่วประเทศเปิดได้ถึง 6 โมงเช้า
ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่เริ่มมีผับเปิดถึงตี 4 นายอนุทินก็ลงพื้นที่ตรวจผับ ทั้งย่าน RCA ทั้ง ถนนข้าวสาร มี ไทยรัฐออนไลน์ ตามถ่ายทอดสด ออกข่าวว่านโยบายนี้แนวโน้มดี เจ้าของร้านให้ความร่วมมือดี บรรยากาศคึกคัก เชื่อจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว
แต่ปรากฏว่า สิ่งที่ปรากฏในโลกออนไลน์ หลังนโยบายปิดผับตี 4 คือข่าวเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น
18 ธันวาคม 2566 โลกโซเชียลฯ แชร์ภาพเหตุการณ์เจ้าหน้าที่เทศกิจ และผู้ปกครอง กำลังหามร่างของเยาวชนหญิงรายหนึ่ง ซึ่งมีอายุเพียง 16 ปี ขึ้นรถเก๋งกลับบ้าน หลังมีข้อมูลว่า เยาวชนหญิงคนดังกล่าวแอบออกมาสังสรรค์กับเพื่อนที่ถนนข้าวสาร ตามนโยบายปิดผับตี 4 ของกระทรวงมหาดไทย เด็กคนนี้อยู่ในอาการเมาสุราขาดสติ และนอนอยู่ที่หน้าอาคารกองสลากเก่า ถนนราชดำเนิน ทำให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์ถึงกับส่ายหัวด้วยความอนาถใจ
17 ธันวาคม 2566 หนุ่มชาวกานาออกจากผับตี 3 เมาขับรถชนกลุ่มคนงานขณะทำงานฝังสายเคเบิลกลางเมืองเชียงใหม่ เสียชีวิต 1 ศพ สาหัสอีก 3
จำได้ว่าสมัยที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทินค้านการเปิดผับตี 4 อย่างหัวชนฝา อ้างเรื่องความปลอดภัยต่างๆ นานา
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์คัดค้านถึงประเด็นที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอให้เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ว่า
"คิดว่าช่วงเวลาในปัจจุบันก็เหมาะสมดีแล้ว มีความเป็นสากล ไม่ต่างจากประเทศท่องเที่ยวอื่น เมืองใหญ่ของบางประเทศเปิดถึงเที่ยงคืนถึงตี 1 ด้วยซ้ำ จริงๆ ตี 2 ก็ดึกแล้ว ถ้าคนต้องทำงาน 8 โมงเช้า ก็นอนไม่พอแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานต่างๆ ก็จะลดลง"
"พรรคการเมืองจะมุ่งมั่นเอาแต่คะแนน โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนไม่ได้ อะไรก็ตามที่มันเกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโทษกับประชาชน แม้แต่ 1% ก็อย่าทำ"
นายอนุทินพูดอีกว่า "ถ้าต้องแลกกับเสียชีวิต ได้มากี่ล้านก็ไม่คุ้ม โดยเฉพาะชีวิตคนบริสุทธิ์ด้วย เพราะทุกวันนี้หลายคนตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเตรียมตัวมาทำงาน ทั้งคนในเมืองและในจังหวัดท่องเที่ยว ฉะนั้น เวลาตี 4 มีคนหนึ่งกำลังมึนเมากลับบ้าน กับอีกคนที่กำลังออกไปทำงาน เปิดร้านขายของ ส่งลูกไปโรงเรียน ถ้า 2 คนต้องมาบรรจบกัน เราจะบอกเรื่องของความคุ้มไม่ได้"
นี่คือคำพูดเท่ๆ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 สมัยที่เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข
"คุณลืมไปแล้วหรือ หรือว่าอะไรที่คุณจะได้คะแนนเสียงจากวัยรุ่น เฮกัน แล้วในที่สุดคุณก็ไม่ได้หรอก เหมือนกับคุณไม่ได้คะแนนเสียงจากคนที่ต้องการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค เพราะคุณทิ้งเขาไปหมดแล้ว
"ก็อย่างที่คุณพูด วันนี้มีคนตายแล้ว ถูกนักท่องเที่ยวเมาขับรถชนขณะที่ฝังสายเคเบิล แล้วคุณจะว่าอย่างไรล่ะ สิ่งที่คุณพูดว่าไม่คุ้มกับชีวิต วันนี้ทำไมมันคุ้มล่ะ หรือเพราะว่าคุณย้ายมานั่งกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้อยู่กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ก็ช่างมัน ไม่เป็นไรหรอก
"หรือเพราะว่าคุณเป็นนักการเมือง คุณพูดอะไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องจำใส่ใจ ขอให้พูดแล้วได้แสง ได้คะแนน คุณก็พอใจแล้ว นี่คือหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ครับท่านผู้ชม" นายสนธิกล่าว