คดี“แป้ง นาโหนด” พิสูจน์ชัดกระบวนการยุติธรรมไทยระดับต้นน้ำและกลางน้ำเน่าเฟะเกินเยียวยา หลังเจ้าตัวออกคลิปพร้อม จม.แฉ อัยการ-ตำรวจไถเงินล้มคดีเพิ่ม แต่ตนเองไม่ยอมจ่ายจึงถูกฟ้องเพียงคนเดียว ยังมีอีกหลายกรณีที่มีเรื่องราวคล้ายๆ กัน ซึ่งคนในวงการยุติธรรมทำลายระบบยุติธรรมเสียเอง
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีนายเชาวลิต ทองด้วงหรือแป้ง นาโหนด ผู้ต้องขังคดีปล้นทรัพย์ ความผิดต่อเสรีภาพ พ.ร.บ.อาวุธปืน โทษรวม 21 ปี 3 เดือน 25 วัน กำหนดพ้นโทษในวันที่ 6 พฤษภาคม 2586 ได้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โดยการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และพลเรือน ไปหลบซ่อนตัวที่เทือกเขาบรรทัด ตั้งแต่ วันที่ 22 ตุลาคม 2566 จนขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถจับกุมตัวได้
ซึ่งต่อมา วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 นายเชาวลิตได้กล่าวผ่านวิดีโอคลิปอ้างสาเหตุที่ต้องหลบหนี เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยได้เล่ารายละเอียดว่า วันนั้น (วันที่เกิดคดี) อัยการคนหนึ่งใช้โทรศัพท์ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นของ จ.พัทลุง โทรศัพท์มาหาตนเอง ให้ไปช่วยหลานที่ถูกอุ้ม แต่ตนเองคิดว่าทำไมไม่แจ้งตำรวจ ซึ่งเขาบอกว่าแจ้งเรียบร้อยหมดแล้วทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะเขารู้ว่ามาอุ้มเรื่องยาเสพติด หลอกให้ตนเองไปอุ้ม โดยอัยการคนดังกล่าว เป็นคนบอกให้ตนเองไปดำเนินการ หลังจากนั้นจึงมีการดำเนินคดียาเสพติดกับตนเอง
“เสี่ยแป้ง” ยังกล่าวอ้างถึงเหตุปะทะบนเขาบรรทัดหลังจากหลบหนีออกจากโรงพยาบาลว่า ตำรวจมีเป้าหมายไปวิสามัญฆาตกรรมตนเอง เพราะเปิดฉากด้วยการยิงจรวด M79 ใส่ทันที จำนวนกว่า 10 นัด แต่ตนเองไม่ได้ยิงตอบโต้ เพราะไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าหน้าที่ แต่ขอให้กระทรวงยุติธรรมนำอัยการคนดังกล่าว นักการเมืองท้องถิ่น ผอ.คนหนึ่ง และ ตำรวจยศจ่าอีก 2 คน ไปดำเนินคดี แล้วตนจะไปมอบตัวทันที
หลังจากนั้น “เสี่ยแป้ง” ก็เผยแพร่คลิปที่ 2 ตามมา โดยระบุถึงสาเหตุที่ต้องหนี เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิจารณาคดีของศาล ไม่ได้รับการประกันตัวเพียงคนเดียว แต่บางคนได้รับการประกันตัวในคดีพยายามฆ่าพนักงานรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ มีตนที่ถูกตั้งข้อหาปล้น และมีอาวุธปืนกลับไม่ได้ประกันตัว
ในขณะเดียวกันผู้ต้องหาคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการวางแผนและร่วมก่อเหตุ อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ตนสงสัยว่า ทำไมจึงสั่งไม่ฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาที่ตกเป็นคดีดังกล่าว “เสี่ยแป้ง” ยังพาดพิงถึง อัยการรายหนึ่งที่เป็นผู้รับเงินล้มคดีแต่ไม่มีการตรวจสอบ
นอกจากนี้ คลิปที่ 2 นี้ นายเชาวลิตยังอ้างถึงเหตุที่ตำรวจต้องการวิสามัญตน เพราะตนมีปัญหากับตำรวจภาค 9 และนายตำรวจรายหนึ่งที่เคยร้องเรียนจากการที่ใช้ปืนจี้ศีรษะชาวบ้านขณะเข้าจับกุมยาบ้า ตนนำชาวบ้านไปประท้วงที่โรงพัก และยืนยันอีกครั้งว่าหากไม่มีการนำผู้ร่วมการกระทำความผิดมาดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ตนจะไม่เข้ามอบตัว 100 เปอร์เซ็นต์ หากไปก็เป็นเพียงศพเท่านั้น
นอกจากนี้สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีการเปิดจดหมายฉบับใหม่ และคลิป เป็นรอบที่ 3 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญคือ มีตำรวจ 3 นาย แบ่งเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร 2 นาย และชั้นประทวน 1 นาย เรียกรับสินบนแลกกับการไม่ดำเนินคดี เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ต่อมาได้มีอัยการเรียกเพิ่มอีก 500,000 บาท
แต่ “เสี่ยแป้ง” ได้ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินให้ไป จึงดำเนินการสั่งฟ้องเสี่ยแป้งเพียงแค่คนเดียว นอกจากนี้จะเรียกร้องให้ตรวจสอบสินค้าในเรือนจำ เนื่องจากมีการขายสินค้าเกินราคากว่าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้คุมเรือนจำ ซึ่ง“เสี่ยแป้ง”อ้างว่าผู้คุมเรือนจำได้มีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องขัง รวมทั้งให้มีการรื้อฟื้นคดีของตนด้วย
นายสนธิ ได้ให้มุมมองในเรื่องนี้ว่า เรื่อง “เสี่ยแป้ง” เป็นเรื่องที่พิสูจน์ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระบวนการยุติธรรม ต้นน้ำ และกลางน้ำ คือ ตำรวจ และอัยการ มันเน่าเฟะจนเกินจะเยียวยาได้
“เสี่ยแป้ง” ไม่ใช่คนที่ดี เป็นคนที่มีความชั่วร้ายอยู่ในตัวมากมาย แต่เมื่อตัวเองหลังชนกำแพง ถูกจับติดคุก และตัวเองก็ได้หนีรอดออกไปด้วยความคั่งแค้น จนทุกวันนี้ก็ยังจับตัว“เสี่ยแป้ง”ไม่ได้
การปล่อยคลิป 2-3 ครั้งของ “เสี่ยแป้ง” นั้น เป็นเรื่องราวที่น่าจะเป็นความจริงอย่างใกล้เคียงที่สุด การที่บอกว่า ต้องเอาพวกตำรวจ และอัยการมาดำเนินคดีด้วย เขาถึงจะยอมมอบตัว มันสะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอิทธิพลในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ ซึ่งมีผลประโยชน์มากมายมหาศาลสามารถอนุมานได้เลยว่า ผู้ที่ร่วมกระบวนการความชั่วต่าง ๆ เหล่านี้ของผู้มีอิทธิพลต้องมีกระบวนการยุติธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระบวนการยุติธรรมต้นน้ำคือ ตำรวจ และกลางน้ำคือ อัยการ
พอ “เสี่ยแป้ง” ออกมาพูดแบบนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ถึงขยับตัว
“ต้นน้ำ” กระบวนการยุติธรรม ก็คือ “ตำรวจ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ก็ออกโรงสั่งจเรตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริง มีตำรวจคนใดบ้างที่ถูกพาดพิง ขณะเดียวกันก็สั่งการฝ่ายสืบสวนพิสูจน์ทราบสถานที่แหล่งกบดาน“เสี่ยแป้ง” ผู้ให้การช่วยเหลือ โดยขอให้มอบตัว
“กลางน้ำ” กระบวนการยุติธรรม “อัยการ” ภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็สั่งการปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ป.ป.ส. ก็แอคชั่นเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกัน มีข่าวว่า พ.ต.ท.คนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตตำรวจในชุดจับกุม นาย จ. ที่เป็นลูกน้องอัยการ ได้ออกมายืนยันคลิปที่“เสี่ยแป้ง” ออกมาระบายว่าเป็นเรื่องจริง ต้นเหตุมาจากเบี้ยวค่ายาบ้ากว่า 10 ล้านบาท โดยอ้างว่า ตนเองซึ่งเป็นคนที่รู้เหตุการณ์และรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ซึ่งตนก็ยังคงมีหลักฐานบางส่วนที่ยังเก็บไว้ “เชื่อว่าการออกมาของ ‘เสี่ยแป้ง’ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง น่าจะเกิดมาจากตัว ‘เสี่ยแป้ง’ ถูกตั้งข้อหาและโดนจับกุม ทั้ง ๆ ที่ ‘เสี่ยแป้ง’ ไม่ได้เป็นคนทำ และไม่ได้เป็นคนยิงตำรวจ แถมยังห้าม นาย จ. ไม่ให้ทำร้ายร่างกายตำรวจด้วย เหตุการณ์วันนั้นถ้าหากอัยการไม่ได้เป็นคนสั่ง หรือขอให้ช่วยเหลือ ‘เสี่ยแป้ง’ เองก็คงนิ่งเฉยและไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยอยู่แล้วหากรู้ว่าเป็นตำรวจจริง แต่หลังจากถูกจับกลับถูกสั่งฟ้องไม่ให้ประกันตัวเพียงคนเดียว”
การที่ “เสี่ยแป้ง” ซึ่งเป็นคนที่ทางการต้องการตัวด้วยข้อหาอาญาแผ่นดินหลายข้อหา แต่ถึงแม้ “เสี่ยแป้ง” จะไม่ใช่คนที่ดี เป็นคนที่มีความชั่วร้าย แต่การที่นักโทษคนหนึ่งยอมควักเงินซื้อตัวเจ้าหน้าที่รัฐเปิดทางหลบหนี เสี่ยงคมกระสุนออกมาชนตำรวจ ทหาร อัยการ แสดงว่าได้รับความคับแค้นใจมากจากกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว
เรื่องราวที่คล้าย ๆ กันกับเรื่องของ“เสี่ยแป้ง” ยังมีอีกมากมายมหาศาล การล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมแบบนี้ เป็นเรื่องราวที่ประชาชนทั่วไป รับทราบกันอยู่ แต่เจ้าหน้าที่รัฐ และรัฐบาลที่มีอำนาจปกครองประเทศชาติอยู่ กลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเสมือนว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ยกตัวอย่างหลายๆ อันในอดีต
ไม่ว่าจะเป็น “คดีเผาสวนงู” ของ “ตู้ห่าว” กับเมียตำรวจหญิงไทย คดีอัยการสั่งไม่ฟ้องเจ้าของเว็บพนันหลายแห่ง
รวมคดีอื่น ๆ ที่อัยการสูงสุดคนที่แล้ว คือ นางสาวนารี ตัณฑเสถียร สั่งให้สอบแต่กลับไม่มีการเปิดเผยผลสอบออกมา คดีมหากาพย์ “บอส กระทิงแดง” วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ ตาย
“คดีบอส อยู่วิทยา” ที่ต้องใช้เวลาร่วม 10 กว่าปี กว่าเรื่องจะแดงขึ้นมา จนในที่สุด ผู้กระทำความผิดก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใน ป.ป.ช. รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ก็โดนแจ้งข้อกล่าวหาด้วย สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่คนที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก็คือต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ก็ยังเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำลายกระบวนการยุติธรรมเสียเอง !