xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโปง “โคตรส่วยตำรวจแม่สอด” ลุกลามถึงขึ้นพม่าปิดชายแดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดโปงโคตรส่วยชายแดนแม่สอด จากหลากหลายธุรกิจสำเทา-สีดำ ภายใต้การจัดการของนายตำรวจผู้ได้ฉายา “ไสว ใจร้าย” บานปลายลุกลามเป็นปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อทางการพม่าสั่งปิดช่องทางข้ามแดนระหว่างเมืองเมียวดีกับ อ.แม่สอดของไทย เป็นเวลา 1 เดือน เพราะไม่พอใจ จนท.ไทยข้ามฝั่งไปรีดไถส่วยมากเกินควร กองบัญชาการภาค 6 ตั้งนายตำรวจรุ่นเดียวกันสอบกันเอง ตัดจบแบบห้วนๆ ว่าไม่มีส่วย




ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงปัญหาส่วยในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งประกอบด้วยพิษณุโลก, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, พิจิตร, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, สุโขทัย และตาก ซึ่งถือเป็นพื้นที่ขุมทองคำ เพราะมันมีทั้งบ่อนการพนันฝั่งพม่า, บ่อนออนไลน์, ยาเสพติด, แรงงานเถื่อน, ท่าข้ามแดน ฯลฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก ที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองเมียวดี ประเทศพม่า ถ้า “แม่สาย จ.เชียงราย” เป็นขุมทองคำ“ แม่สอด จ.ตาก”ก็ปูด้วยทองคำ มีผลประโยชน์ทุกจุด เป็นเงินเป็นทองทุกตำแหน่ง อาจเรียกได้ว่านี่คือ “โคตรส่วยชายแดนแม่สอด ภาค 2”


วันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 หัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบชายแดน ของทางการพม่า ได้ออกประกาศ“ห้ามอนุญาตเดินทางผ่านไปมาพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า (หรือ พม่า) ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2566”

ใจความในประกาศซึ่งออกมาเป็นภาษาพม่าระบุว่า สั่งปิดไม่อนุญาต ให้คนไทย-จีน และชาวต่างชาติอื่น ๆ จาก เมืองใหม่ส่วยโก๊กโก่ แหม่ง หย่าไท้ ชายแดนไทย-พม่า เดินทางผ่านไปมาชั่วคราว(ระยะเวลาหนึ่งเดือน) หากไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะถูกดำเนินการเอาเรื่องอย่างถึงที่สุด


จากประกาศดังกล่าวทำให้ทั้งคนไทย และพม่า ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านช่องทางตามด่านต่างๆ บริเวณตะเข็บชายแดนแม่สอด จ.ตาก กับ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ต่างพากันกล่าวถึงจนเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ไปตลอดทั้งวัน

เนื่องจากท่าขนส่งสินค้าที่ถือเป็นช่องทางธรรมชาติ จำนวน 49 ท่า ซึ่งประชากรไทยและพม่าต้องใช้สัญจรไปมาระหว่างกันทุกวันถูกปิด การซื้อการขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่ 2 ประเทศดีลกันมายาวนานจะต้องหยุดชะงักลง


เหตุผลการปิดท่าขนส่งทั้ง 49 แห่ง ตามเส้นทางด่านพรมแดนระหว่างบ้านส่วยโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว หมู่ 4 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก และ บ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด จ.ตาก นั้น มีกระแสข่าวมาจากความไม่พอใจที่บิ๊กทหารสัญชาติกะเหรี่ยงชื่อ “พันเอก ซอ ชิตตู่” หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า “พันเอก หม่อง ชิตตู่” ผู้บัญชาการควบคุมพื้นที่ 3 กองกำลังบีจีเอฟ หรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝ่ายทหารพม่า และคุมกำลังทหารกะเหรี่ยงคอยดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนพม่า-ไทย ไม่พอใจพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบางส่วนที่ข้ามพรมแดนเข้าไปเจรจาหาผลประโยชน์จากการขนส่งสินค้าตามท่าต่าง ๆ มากจนเกินควร

พันเอก ซอ ชิตตู่
โดยพันเอก ซอ ชิตตู่ ซึ่งกำกับดูแลกำลังทหารกะเหรี่ยง จำนวน 1 กองพล หรือประมาณ 20,000 นายนั้น เป็นผู้มีความสำคัญกับพื้นที่บ้านส่วยโก๊กโก่ ซึ่งกำลังเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศพม่า ที่ยิ่งใหญ่มาก

เพราะปัจจุบันทาง “รัฐกะเหรี่ยง” กำลัง รังสรรค์พัฒนาที่ดิน บริเวณบ้านส่วยโก๊กโก่ซึ่งในอดีตเป็นเพียงที่รกร้าง ให้กลายเป็นสวรรค์ของผู้ไปเยือน เนื่องจากขณะนี้เต็มไปด้วยโครงการก่อสร้างตึกรามบ้านช่อง อาคารสรรพสินค้า ศูนย์ประสานงานการค้า และสถาปัตยกรรมคล้ายคอมเพล็กซ์ ซึ่งมีลักษณะเอาไว้ใช้ทำบ่อนคาสิโน ที่เพื่อนบ้านรอบด้านเราล้วนเติบโตจากธุรกิจเหล่านี้

พันเอก ซอ ชิตตู่
อาณาจักรคาสิโนเหล่านี้ที่มีอยู่รอบๆ บ้านเรา ล้วนเป็นทำเลสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรคิงส์โรมัน พื้นที่ สปป.ลาว สีหนุวิลล์ ในพื้นที่ ประเทศกัมพูชา มาถึง ส่วยโก๊กโก่ ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมงานได้ไปสังเกตการณ์แถว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ได้เห็นการพัฒนาพื้นที่ในฝั่งของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ฝั่งตรงข้ามอำเภอเชียงแสนแล้วก็ต้องพบว่าน่าตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับฝั่งเชียงแสนของไทย มีตึกรามบ้านช่อง คาสิโน โรงแรม รีสอร์ม แม้แต่สนามบินนานาชาติ ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว


ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 3 แห่งรอบ ๆ ชายแดนบ้านเราไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว, พม่า, กัมพูชา ต่างมีจุดเหมือน ๆ กัน คือ ใช้แรงงานหมุนเวียนกันภายใต้การบริหารจัดการของนายทุนจีน


ช่วงที่ผ่านมา ทีมงานสนธิทอล์กได้เดินทางไปพบกับแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้คนหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติของพันเอก ซอ ชิตตู่โดยแหล่งข่าวคนนี้มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ทั้งในประเทศไทยและในพื้นที่บ้านส่วยโก๊กโก่ ประเทศพม่า ที่ผ่านมา ราว 5-6 ปี ที่แล้ว พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอย่างบ้านส่วยโก๊กโก่ ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้ามากมายขนาดนี้ จนกระทั่งมีทุนต่างชาติจากประเทศจีน ภายใต้ชื่อบริษัท หย่าไท้ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด


บริษัท หย่าไท้ ใช้งบประมาณ 3-4 แสนล้านบาท กว้านซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าว เพื่อพัฒนาพื้นที่ดึงดูดผู้มาเยือน จะเห็นได้ว่าตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา เกิดโครงการก่อสร้างอาคาร ห้างร้าน และคอมเพล็กซ์มากมาย จนทำให้เม็ดเงินจากสารพัดธุรกิจหลั่งไหลเข้าสู่รัฐกะเหรี่ยง และประเทศพม่า เยอะเสียจนประเมินค่าไม่ได้


แหล่งข่าวคนเดียวกันให้ข้อมูลว่า ฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ซึ่งตรงกับชายแดนแม่สอดของไทย โดยมีลำน้ำเมยกั้นตรงกลาง ก็มีกฎหมายต่าง ๆ ออกมาบังคับใช้เรื่องการเดินทางเข้าออกของคน และบังคับใช้เรื่องการขนส่งสินค้า การค้าขายผลิตผลทางเกษตรกรรม ที่ต้องผ่านเข้าออกจากฝั่งบ้านเขาสู่บ้านเราเช่นกัน

ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ทั้งตำรวจท้องที่ ตำรวจ สังกัด บช.ภ.6 หลายหน่วย ,บช.สตม. กองทัพภาคที่ 3 และกรมศุลกากร ก็ทำงานด้านการรักษากฎหมายของฝ่ายประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศ

เรียกอย่างง่ายว่า เราต้องดำเนินการแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าระหว่างกัน เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขมานาน โดยการขนส่งสินค้าต่าง ๆ ผ่านพรมแดนไทย-พม่า ช่วงชายแดนแม่สอดนั้น จะมีด่านพรมแดนแม่สอด ช่วง “จุดผ่านแดนถาวรแม่ริมเมย” หรือที่ชาวบ้านในพื้นที่เรียกว่า “ด่านสะพาน 1” เป็นด่านหลัก ด่านทางการ ที่ใช้คนส่งพืชผลทางการเกษตร และคนเข้า-ออก ราชอาณาจักรทั้ง 2 ประเทศ ด่านนี้เป็นเรื่องของการบริหารจัดการระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลพม่า


“ด่านสะพาน 1” หน้าตลาดริมเมย เป็นช่องทางหลักของการนำเข้าส่งออก สินค้าระหว่างกัน ยังไม่รวมถึงผู้คนของทั้งไทยและพม่า ที่ไปมาหาสู่กันทำธุรกิจร่วมกัน มีเด็กและเยาวชนจากฝั่งพม่า เข้ามาเรียนหนังสือในโรงเรียนฝั่งไทยตอนเช้า และต้องกลับเข้าสู่พม่า ทุกวันตอนเย็น การบริหารจัดการ “ด่านสะพาน 1” นี้จึงเป็นภาพใหญ่ที่ไม่ค่อยน่าห่วงใย ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทย กับ รัฐบาลพม่า ทำงานร่วมกัน


แต่ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้นั้นมิใช่ “ด่านหลัก” แต่เป็น “ด่านช่องทางธรรมชาติ” หรือท่าขนส่งสินค้านอกเหนือจากด่านหลักที่มีอยู่กว่า 36 ท่า ตามแนวตะเข็บชายแดน ระหว่างบ้านส่วยโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว หมู่ 4 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก และ บ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด จ.ตาก

โดยท่าขนส่งหรือด่านช่องทางธรรมชาติทั้ง 36 ท่านั้น อันที่จริงแหล่งข่าวของเราระบุว่า มีอยู่ถึง 49 ท่า(เพราะมีบางท่าอยู่ระหว่างบริหารจัดการเปิดเพิ่มเติม)เป็นการบริหารจัดการกันของฝั่งเจ้าหน้าที่ไทยกับรัฐกะเหรี่ยง นำโดยพันเอก ซอ ชิตตู่ซึ่งแหล่งข่าวฝั่งพม่าเดิมที่มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนายพันคนดัง ยืนยันเป็นหนักเป็นแน่นว่า ที่ผ่านมาคนบริหารจัดการนั้นเป็น "นายตำรวจคนไทย ยศนายพัน"


เปิดตัว “ไสว ใจร้าย” กับข้อหาไล่เก็บส่วยชายแดน

นายตำรวจใหญ่คนดังกล่าว เป็นเจ้าของฉายาที่เป็นที่รู้จักกันว่า “ไสว ใจร้าย” หรือ พ.ต.อ.ไสว ครุธผาสุข ซึ่งล่าสุดได้รับการแต่งตั้งให้คุมงานสืบสวนระดับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 นั้น ออกอาละวาด เรียกรับประโยชน์จากธุรกิจสีเทา ตามแนวตะเข็บชายแดนมาตั้งแต่ตัวเองมียศเพียงแค่ “สารวัตร” แล้ว


ฉายา “ไสว ใจร้าย” หรือ“ครูไหวใจร้าย”เป็นเครื่องยืนยันความเขี้ยวลากดิน ที่ทั้งตำรวจด้วยกันและผู้ประกอบการในพื้นที่ บช.ภ.6 ขนานนามเอาไว้ให้ นายตำรวจผู้นี้ โดยมีการอ้างอิงจากชื่อละครไทยเรื่อง "ครูไหวใจร้าย" ที่สถานีโทรทัศน์ช่องดังนำมาออกอากาศตั้งแต่ปี 2547

แต่ "ไสว ใจร้าย" ในภาคชีวิตจริง เป็นข้าราชการตำรวจไทย จบจากรั้วนักเรียนนายร้อยสามพราน รุ่น 42 ชีวิตราชการวนเวียนอยู่ในพื้นที่ บช.ภ.6 ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ด้านการสืบสวน มานานหลายสิบปี

เป็นเด็กปั้นของ อดีต ผบก.ภ.จว.ตาก ที่เป็นนายตำรวจคนดังท่านหนึ่ง มีชื่อเล่น ว่า “จุ๋ม” จบรั้วสามพราน นรต.รุ่น 36 ซึ่ง“นายจุ๋ม”นั้นปลุกปั้น จน “ไสว ใจร้าย” ได้ดิบได้ดีมีคอนเนกชั่นมากมาย


โดยสมัยดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ จนถึงรองผู้บังคับการ “ไสว ใจร้าย” ก็เติบโตขึ้นในสังกัด บก.ภ.จว.ตาก นี้ ส่วนผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้านการ ประสานรับดูแลส่วนแบ่งทางธุรกิจสีเทา ให้ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าสถานี ตลอดจนข้าราชการตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.6 ด้วยกันเน้นเฉพาะ บก.ภ.จว.ตาก และจังหวัดข้างเคียงจนลงมาถึง บก.ภ.จว.นครสวรรค์

โดยหากใครจำได้ บก.ภ.จว.นครสวรรค์ นั้นเป็นพื้นที่เดียวกับที่เคยมีข่าวอื้อฉาวดังระดับประเทศในกรณี “ผู้กำกับโจ้ ถุงดำ” พ.ต.อ.ฐิติสรรค์ อุทธนพล ซึ่งผมเคยเอาหลักฐานมาเปิดเผยให้ดูแล้วว่า “ผู้กำกับโจ้” นั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา จนมาดำรงตำแหน่ง ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ก็มีเงินเก็บในบัญชีนับพันล้านบาท

ที่ผ่านมา ความอหังการ ของ "พ.ต.อ.ไสว" นั้นขึ้นชื่อลือชาจนติดอันดับนายตำรวจ ผู้ครอบครองส่วนแบ่งทางธุรกิจสีเทา มากเป็นอันดับต้น ๆ ของพื้นที่ บช.ภ.6 เพราะสามารถยึดครองตำแหน่งให้อยู่ในพื้นที่ประชิดพรมแดนแม่สอด ตลอดเส้นทางราชการ โดยมีเสียงร่ำลือ เสียงเล่าอ้าง ถึงวีรกรรมของ “พ.ต.อ.ไสว” ว่า นอกจากเชี่ยวชาญเรื่องวิ่งเข้าหาดีลงานกับผู้บังคับบัญชาแล้ว

เจ้าตัวยังกล้าที่จะลงพื้นที่ไปยื่นผลประโยชน์ให้กับตำรวจตามโรงพักต่าง ๆ ที่มีภารกิจตั้งด่านตรวจร่วมกับหน่วยงานทหาร กรมศุลกากร และป่าไม้ เพื่อเคลียร์เส้นทางการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวจากด่านช่องทางธรรมชาติ ชายแดนแม่สอด จ.ตากเข้าสู่เมืองหลวงราชอาณาจักรไทย โดยให้ค่าตอบแทนผู้มีส่วนควบคุมด่านให้เปิดไฟเขียว สนนราคาหัวละ 1,000 บาท


“ข้อมูลเหล่านี้จริงเท็จแค่ไหน ผมไม่ทราบ แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุคของท่าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต้องไปสืบค้นความจริงมาให้ผม กับสาธารณชนได้รับทราบ” นายสนธิกล่าว

แต่ก็มีบางช่วงเช่นเดียวกันที่ “พ.ต.อ.ไสว” เกือบจบชีวิตราชการ ถูกสอยลงจากเก้าอี้ขณะครองตำแหน่งรองผู้บังคับการ เนื่องจาก อดีต รอง ผบ.ตร.น้ำดี ท่านหนึ่งส่งทีมเข้ามาตรวจสอบพฤติกรรม นำกำลังเข้าจับกุมฐานเอี่ยวผลประโยชน์สีเทา

ครั้งนั้น "พ.ต.อ.ไสว" ถูกลูบคมโดนจับค้นรถ ยานพาหนะถูกส่งกองวิทยาการ เก็บดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงในรถ ทำให้ต้องชะลอดีกรีด้านการตีกินไประยะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเหตุผลให้"พ.ต.อ.ไสว"ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บังคับการเสียที โดยมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ นานถึง 9 ปี

จนวาระการแต่งตั้งล่าสุดนี้ "พ.ต.อ.ไสว" เข้าหลักเกณฑ์อาวุโส ถูกดันขึ้นตำแหน่งผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ในพื้นที่ทำเลทองของตัวเอง ซึ่งเวลาเดียวกันนี้มีพรรคพวกเพื่อนร่วมรุ่น นรต.42 ตบเท้าก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งที่เอื้อประโยชน์ต่อกันอีกหลายคนจนเป็นที่น่าจับตา


ยกตัวอย่างเช่น พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6 บุตรชาย พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ อดีต ผบ.ตร. ในยุคทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเจ้าตัวถือเป็นนายตำรวจสายตรงนายกปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว ว่ากันว่าตำแหน่งนี้ยิ่งลักษณ์ชินวัตรโทรศัพท์มาขอพี่ชายตัวเองบนชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจให้ พล.ต.ท.กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ มาเป็นผู้บัญชาการภาค 6 นอกจากนี้ยังมีพล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมศิริ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 42 รุ่นเดียวกับ พ.ต.อ.ไสว ทั้งสิ้น

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความซวยระลอกเก่า เมื่อครั้งถูก "อดีต รอง ผบ.ตร.น้ำดี" ซึ่งก็คือ พล.ต.อ.สุชาติ ธีรสวัสดิ์ ลากไส้ ซึ่งยังคาราคาซังแต่กำลังจะเลือนหายไปเพราะ อดีต รอง ผบ.ตร.ท่านนั้น เกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่คราวนี้"พ.ต.อ.ไสว"ต้องถูกผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายความมั่นคงจากประเทศเพื่อนบ้าน ประโคมข่าวแฉพฤติกรรมซ้ำ

พล.ต.อ.สุชาติ ธีรสวัสดิ์
หลังปรากฏชื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการตำแหน่งสำคัญ คำสั่งล่าสุดได้เพียงไม่กี่วัน แหล่งข่าวคนสำคัญของ ทีมงานสนธิทอล์ก เพิ่มข้อมูลให้ว่า "พ.ต.อ.ไสว" ได้ส่งลูกน้อง เดินทางไปประสานกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นนายทุนธุรกิจสีเทาทั้งฝั่งไทยและฝั่งรัฐกะเหรี่ยงโดยขอรับหน้าที่เป็นหน้าเสื่อเคลียร์ยอดส่วนแบ่งให้ผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าสถานีตำรวจต่างๆ เพื่อความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจสีเทาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่ทำกันอยู่ในพื้นที่ บช.ภ.6 และที่เชื่อมโยงการเดินทางข้ามไปข้ามมาระหว่างพรมแดนช่องทางธรรมชาติด้าน อ.แม่สอด-บ้านส่วยโก๊กโก่ ทั้งท่าข้ามที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการรวมทั้งหมด 49 ท่า

นอกจากนี้ยังมีการขอ “เพิ่มตั๋ว” บวกยอดที่จากเดิมเคยทำกันมา เจ้าละ 3-5 เท่า ไม่เว้นแม้แต่ผลประโยชน์จาก“การขนส่งสัตว์ข้ามไปมาระหว่างแดน” จะคิดค่าดำเนินการเพิ่มเติมเป็นรายตัว

หรือกระทั่ง “เจ้ามือหวย” รายเล็กๆ ที่เคยเสียกันอยู่เดือนละ 10,000 บาท จะถูกเรียกเก็บเงินอัตราใหม่ ในราคา 30,000-50,000 บาท พูดง่ายๆ ไม่ว่าพวกเทาจาง เทาเข้ม หรือดำสนิท ต่างรวมพลส่งเสียงร้องโอดโอยกันระงมเพราะธุรกิจล้วนได้รับผลกระทบ

จากคำสั่งปิดด่านที่ทางการพม่า โดยหัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบชายแดน ได้ออกประกาศ “ห้ามอนุญาตเดินทางผ่านไปมาพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2566” เป็นระยะเวลา 1 เดือน ที่เป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ตามที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้


ทำให้เมื่อ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ที่เพิ่งได้ตำแหน่งใหม่มาเช่นกัน ออกคำสั่งตำรวจภูธรภาค 6 เลขที่ 305/2566 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

อันมีใจความว่า

“ด้วยตำรวจภูธรภาค 6 มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ 0021(สง.)/21 ลงวันที่ 4 พ.ย. 2566 ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ปรากฏทางสื่อออนไลน์ ว่าพันเอก หม่อง ชิตตู่ ผู้บัญชาการควบคุม พื้นที่ 3 กองกำลังบีจีเอฟ พื้นที่บ้านส่วยก๊กโก่ รัฐกระเหรี่ยงด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว หมู่ที่ 4 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก และบ้านวังผา หมู่ที่ 4 ต.แม่จะเรา อ.แม่สอด จ.ตาก ประกาศปิดชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบด้านทิศเหนือ จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง

ตลอดเเนวชายแดนทั้งหมด เนื่องจากไม่พอใจ พ.ต.อ.ไสว ครุฑผาสุข รักษาราชการแทน ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 6 ที่ได้ส่ง พ.ต.ท.สนั่น เหล็กบุญเพชร สว.สส.สภ.พะวอ จ.ตาก พร้อมลูกน้อง จำนวน 10 นาย เข้าไปบริเวณช่องทางท่าข้ามธรรมชาติ ด้านตรงข้าม บ้านท่าวังผา หมู่ที่ 4 ต.แม่จะเรา อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อขอเรียกเก็บผลประโยชน์ในอัตราที่สูงขึ้นและไม่ได้ โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6

ทำให้ พันเอก หม่อง ชิตตู่ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง จึงตอบโต้ด้วยการประกาศปิดชายแดน เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.2566 เป็นต้นไป

ดังนั้นเพื่อให้ได้รายละเอียดพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นที่เพียงพอ ว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหา ข้าราชการตำรวจดังกล่าวกระทำผิดวินัยตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่ ประการใด

อาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 66, มาตรา 117 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ... ทั้งนี้ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน”



วันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 พ.ต.อ.สถาพรรอดโพธิ์ทองรอง ผบก.ภ.จว.ตากรักษาการ ผบก.ภ.จว.ตาก รับลูกทันควัน โดยมีบันทึกข้อความด่วนที่สุด เลขที่ 0021(ตก).3/4808 เรื่องให้สอบข้อเท็จจริงและเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ตามที่ พ.ต.อ.ไสวถูกกล่าวหามาจากผู้ประกอบการ

วันที่ 7 พฤศจิกายน มีภาพและข่าวสารความเคลื่อนไหวของ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งเป็นประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พฤติกรรม"พ.ต.อ.ไสว"โดยประธานกรรมการฯ ท่านนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า จบจาก นรต.รุ่นที่ 42 รุ่นเดียวกับทั้ง ผบช.ภ.6 คนใหม่ ผบก.ภ.จว.ตาก คนใหม่ และ ผบก.สส.บช.ภ.6


โดย พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ติดตามไปดูสถานการณ์ ว่า "ได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้มาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ทราบว่าไม่มีการปิดท่าขนส่งสินค้า และยังเปิดให้ขนส่งสินค้าไปมาตามปกติ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นมาตรการรักษาความสงบภายในเขตพม่า ส่วนเรื่องตำรวจไทยข้ามฝั่งไปเจรจากับผู้นำชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงนั้น ได้สอบถามแล้วได้รับคำตอบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยข้ามไปฝั่งพม่า เเละเจรจารับผลประโยชน์ใดๆ"

ในวันเดียวกันอีกนั่นเอง พล.ต.ต.อมรศักดิ์ รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ประธานคณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรม "ไสว ใจร้าย" กับพวก ได้ไปออกแอคชั่นริมน้ำเมย

พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ
บอกสื่อฯ ปาวๆ ว่า ไม่มีปัญหาอะไร ได้เจรจรกับผู้นำชนกลุ่มน้อยแล้ว ไม่พบว่ามีตำรวจลูกน้อง "พ.ต.อ.ไสว" ข้ามช่องทางไปเจรจา เรียกเก็บผลประโยชน์

“ผมอยากถามจริงๆ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ คุณถูกแต่งตั้งตามคำสั่งให้เป็นประธานคณะกรรมการมาได้แค่ 3-4 วัน ยังไม่ทันจะสืบทราบข้อเท็จจริงอะไรเลย แต่คุณกล้าออกมาการันตี ซุกขี้ไว้ในฝ่ามือตัวเองได้ยังไง

“ถามว่า คุณได้พูดคุยสอบถาม ผู้นำรัฐกะเหรี่ยงคนไหน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับใคร และเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า ?

“เพราะอะไรรู้ไหม?

“เพราะขณะที่คุณกำลังปฏิบัติการกลบเกลื่อนเรื่องโคตรส่วย มูลค่ามหาศาล กันอยู่นั้น แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ของพวกผมได้ประสานข้อมูลให้ทราบมาตลอด ว่า หลังจากที่พันเอก ซอ ชิตตู่หรือ“หม่อง ชิตตู่” ออกประกาศปิดพรมแดนไปเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกาน 2566 เจ้าตัวพร้อมคณะนายทหาร และผู้ที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดได้พากันเดินทางออกจากพื้นที่บ้านส่วยโก๊กโก่ ไปทำธุระห่างไกลกับฝ่ายรัฐบาล ที่กำลังมีข้อพิพาทระหว่างกองกำลังภายใน ในพื้นที่อื่นของประเทศพม่า ห่างจากบ้านส่วยโก๊กโก่ ไปเกือบ 200 กิโลเมตร

“โดยเดินทางไปหลายวัน ดังนั้นพันเอก ซอ ชิตตู่รวมถึงคณะทั้งหมด จึงไม่สามารถที่จะติดต่อกับใคร หรือสื่อสารกับผู้ใดในประเด็นที่เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น แล้ว พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เอาข้อมูลจากไหนมาให้ข่าวสื่อมวลชน” นายสนธิกล่าว

เรื่องน่าฉงนยังไม่จบ คล้อยหลังจากนั้นเพียง 1 คืน ช่วงเช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566  "หมาแก่" ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ คนในแวดวงสื่อมวลชนอีกคนที่สนิทสนมกับ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้ไลฟ์สด ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ทางช่อง MCOTพูดถึงประเด็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรม "พ.ต.อ.ไสว" เหมือนเป็นการสำทับข่าวที่ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ไปเล่นปาหี่ที่ริมน้ำเมยอีกชั้น โดย นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ กล่าวถึงในท้ายๆ รายการชูประเด็น "ส่วยข้ามชาติแม่สอด แม่ระมาด บ้านส่วยโก๊กโก่ เมียวดี"ว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพันตรี ซอ วินหรือ “หม่องวิน” นายทหารกะเหรี่ยงคสนิทของพันเอก ซอ ชิตตู่ ได้นำความเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยข้ามแดนไปเรียกรับส่วยเพิ่มเติมไปฟ้องลูกพี่ ทำให้เกิดเรื่องประกาศปิดท่าข้าม ช่องทางธรรมชาติทั้งหมด เป็นเวลา 1 เดือน

โดยขณะไลฟ์สด นายดนัย ได้ต่อสายโทรศัพท์ตรงไปถึง พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ผ่านเข้ามาในรายการว่า เมื่อวานเจ้าหน้าที่ไทยได้เชิญ "นายพะแค" ที่อ้างว่า เป็นเลขานุการ ของพันตรี ซอ วินข้ามมาเจรจากับฝ่ายเราในประเทศไทยแล้ว


พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ได้บอกข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์แบบสรุปรวดเดียว ว่า หลัง ผบช.ภ.6 แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง แล้วพบว่า ด่านทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนแม่สอด กับบ้านส่วยโก๊กโก่ ไม่ได้มีการปิดแต่อย่างใด

ประเด็นรื่องกระแสข่าวที่ทำให้มีการประกาศปิดด่าน เนื่องจาก "นายพะแค" หรือ ซอ ผา ฮาลให้ข้อมูลว่า ตนเองเป็นน้องชายของพันตรี ซอ วินโดยทำหน้าที่เป็นเลขานุการของพี่ชายด้วย

เรื่องของการมีคำสั่งปิดด่านทีแรก ที่มีหนังสือออกมาตั้งแต่ วันที่ 3 พ.ย.นั้น จุดประสงค์เพียง ต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่บ้านส่วยโก๊กโก่ เนื่องจากตรวจพบความเคลื่อนไหว ของนักเรียน นักศึกษา กลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่าออกมาประท้วงทางการ จึงต้องออกประกาศมาควบคุมไม่ให้กลุ่มนักศึกษาดังกล่าว เคลื่อนย้าย เคลื่อนไหว พาตนเองออกจากพื้นที่ประเทศพม่า ผ่านด่านพรมแดนแม่สอดกับบ้านส่วยโก๊กโก่

ประเด็นนี้ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ยังให้ข้อคิดเห็นผ่านรายการโดยอ้างว่า ที่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เป็นเพราะสื่อมวลชนบางสำนักกับกลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่ม ตีความกันผิด นำหนังสือภาษาพม่าไปแปลข้อมูลกันมาผิดๆ

เรื่องรายชื่อข้าราชการตำรวจ ที่มีการเปิดเผยออกมาตามสื่อมวลชนแล้ว ว่าใครถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เรื่องนี้ "นายพะแค" ยืนยัน ว่า ไม่รู้จักกับตำรวจที่มีรายชื่อดังกล่าว ประกอบกับไม่ได้มีการเจรจาเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ กันทั้งสิ้น !?!

“ในเมื่อไม่มีการปิดด่าน แล้วจะไปเรียกร้องทรัพย์สินกันทำไม เรื่องนี้ผมขอความเมตตาจากพี่ดนัย ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่ผมชี้แจงแบบนี้ ผมไม่อยากให้องค์กรตำรวจเสียหาย”พล.ต.ต.อมรศักดิ์ กล่าวแก้ข่าว กลบเกลื่อนเรื่องการเรียกเก็บส่วยในรายการ

“ข้อมูลที่ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ชี้แจงผ่านรายการของคุณดนัย ผมเองก็ไม่ทราบว่าประเด็นไหนจริง หรือไม่จริง แต่ผมขอพูดให้คุณผู้ชมฟังอย่างง่าย แบบเข้าใจง่ายที่สุดว่า คำตอบของ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ ไม่มีเหตุผล ไม่ทำให้ข้อสงสัยถูกเปิดเผยอย่างสิ้นกระแสความ” นายสนธิกล่าว

ประเด็นแรก คือ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ บอกว่า ด่านหรือท่าข้ามทั้งหมด ไม่ได้มีการปิดหลังมีคำสั่งประกาศจากทางพันเอก ซอ ชิตตู่แต่ประการใด แต่เมื่อช่วงเย็นวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน หลังจากการแสดงปาหี่ริมน้ำเมยของ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ จบลงไม่นาน ทีมงานสนธิทอล์ก ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารไทย ที่ไปทำหน้าที่ดูแลท่าข้ามบางท่าแล้ว พบว่า ทางผู้บังคับบัญชาได้สั่งห้ามบุคคลทุกสัญชาติผ่านทั้งหมด


โดยจะอนุญาตให้ก็เฉพาะรถขนสินค้าทางการเกษตรที่มีใบอนุญาตจากศุลกากรไทยผ่านไปได้เท่านั้น เพื่อเป็นการลดความแออัด และย่นระยะทางจากการใช้ “ช่องทางสะพาน 1” เป็นจุดผ่านแดนหลักโดยเจ้าหน้าที่ทหารจะทำการตรวจสอบรถ จดหมายเลขทะเบียนรถ และประเภทสินค้า ที่ขนส่งผ่านเข้าออกเอาไว้ทุกคัน


ประเด็นที่ 2 เรื่องที่ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ บอกว่า ทางรัฐกะเหรี่ยงต้องการสนองนโยบายรัฐบาลพม่าเรื่องการปิดพรมแดนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่บ้านส่วยโก๊กโก่ เนื่องจากตรวจพบความเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษา กลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่าออกมาประท้วงทางการ

เรื่องนี้ยิ่งไม่สมเหตุสมผลไปใหญ่ เพราะมีการแปลความหมายของคำสั่ง ปิดพรมแดนจากภาษาพม่าเป็นไทยแล้วว่า พันเอก ซอ ชิตตู่ ประกาศห้ามทั้งคนไทย คนจีน และชาวต่างชาติอื่น ๆ ไม่ให้ข้ามพรมแดน ไม่ได้ให้สแกนเฉพาะนักเรียน นักศึกษาของพม่าแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 3 พล.ต.ต.อมรศักดิ์ อ้างว่า "นายพะแค" ยืนยันไม่รู้จักกับตำรวจที่ปรากฏรายชื่อถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ และไม่ได้มีเหตุการณ์การเรียกรับสินบาทสินบนกันแต่อย่างใด เรื่องนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนในบริบทของเรื่องที่เกิดขึ้น

พันเอก ซอ ชิตตู่
ในเมื่อแนวทางการสืบสวนสอบสวนและการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วทุกฝ่ายว่าการที่พันเอก ซอ ชิตตู่สั่งปิดพรมแดนเกิดจากความไม่พอใจที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยข้ามพรมแดนไปลูบคมเรียกร้องเงินส่วยเพิ่มเติมถึงในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเรื่องนี้ตำรวจในสังกัด บช.ภ.6 ก็รู้ดีว่าพันเอก ซอ ชิตตู่สามารถต่อสายร้องทุกข์ถึงอดีต ผบ.ตร.ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “พ.ต.อ.ไสว” ได้โดยตรง

ประกอบกับ "นายพะแค" ที่เป็นแค่หัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบพื้นที่ชายแดน และเป็นแค่น้องชายเลขานุการ ของ พันตรี ซอ วิน ก็ไม่น่าจะอยู่ในเหตุการณ์ระหว่างการเจรจา เพราะไม่ได้มีส่วนตัดสินใจ ว่าจะให้หรือไม่ให้ผลประโยชน์เพิ่มเติม จึงไม่น่าแปลกใจที่"นายพะแค"จะบอกว่า ไม่รู้จักตำรวจทั้งหมดที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน

ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ได้แต่นั่งมอง “พ.ต.อ.ไสว” ดิ้นพล่านไปอย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ทุกประเด็นเรื่องคอร์รัปชั่นระดับองค์กรภาครัฐหลายๆ หน่วยร่วมมือกันขนาดนี้ ทันทีที่เรื่องแดงขึ้นก็มักจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเสมือนแพะคอยรับบาป เพราะตำรวจจะคอยเป็น “หัวเบี้ย” ทำหน้าที่เป็นตัวกลางบริหารจัดการประสานความร่วมมือส่วยระหว่างหน่วยงานข้างเคียงอยู่เสมอ

พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์
อย่างเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 หลังเกิดประเด็นร้อนฉ่า นานเกือบ 1 สัปดาห์ พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวการปิดชายแดนและปัญหาคนข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตากตามที่เป็นข่าว โดยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพียงว่า

ที่ผ่านมาทางทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง ได้เข้มงวดกวดขันในพื้นที่รับผิดชอบอยู่แล้ว โดยไม่ให้คนข้ามไปมาตามท่าข้ามต่าง ๆ ยกเว้นสินค้าเท่านั้น ทั้งนี้เป็นการส่งเสริมของกองทัพภาคที่ 3 ที่ต้องการให้คนข้ามแดนไปมาตามช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย คือ การเดินทางเข้า-ออกผ่านด่านพรมแดนถาวรแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 1 บ้านริมเมย ตำบลท่าสายลวด อ.แม่สอด

พลโทประสาน บอกด้วยว่า ทางกองทัพภาคที่ 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเพิ่มความเข้มงวดกวดขันการข้ามแดนไปมาของบุคคล ตามช่องทางที่ผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมให้มีการข้ามแดนในช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

เรื่องนี้ทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"ลงไปทำด้วยตัวเองส่งนักข่าวลงไป 2คนเจาะลึกเกือบ 2อาทิตย์ข้ามไปฝั่งเมียวดีคุยกับเจ้าหน้าที่คุยกับคนใกล้ชิดของทางฝ่ายพม่าที่สั่งปิดด่านคุยกับฝ่ายทหารซึ่งได้ข้อมูลลึก

“สรุปง่ายๆผมกล้าฟันธงกองบัญชาการภาค 6เป็นกองบัญชาการที่มีแต่ผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องมีแต่คนอยากจะวิ่งไปเป็นผู้การจังหวัดตากรองผู้บัญชาการผู้บัญชาการภาค 6อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าคนที่เป็นผู้บัญชาการภาค 6คนปัจจุบันนั้นเป็นคนสนิทของคุณยิ่งลักษณ์ชินวัตร

“งานนี้เดิมทีชื่อผู้บัญชาการภาค 6ไม่ใช่คนนี้เป็นคนอื่นแต่ท่านผู้บัญชาการภาค 6คนปัจจุบันท่านพึ่งพาบารมีของคุณยิ่งลักษณ์คุณยิ่งลักษณ์น้องสาวสุดรักของคุณทักษิณชินวัตรและโผตำรวจนั้นจริงๆแล้วพลตำรวจเอกต่อศักดิ์แทบจะไม่มีบทบาทเลยบทบาทที่คนจัดโผตำแหน่งใหญ่ๆนั้นก็คือทักษิณชินวัตรชั้นที่ 14ของโรงพยาบาลตำรวจ”
นายสนธิกล่าว

พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6
เมื่อ พล.ท.ประสาน แม่ทัพภาคที่ 3 ชี้แจงว่า ทหารทำได้แค่ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการเข้าออกพรมแดนให้ถูกต้อง ก็ควรเข้มงวดกับเรื่องจุดสกัดจุดตรวจต่าง ๆ ที่มีการส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น ๆ ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด่านตรวจตามเส้นทางแม่สอด จ.ตาก ไล่ลงมาทาง จ.นครสวรรค์ เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ปริมณฑลกับกรุงเทพมหานคร ควรใช้มาตรการตรวจสอบให้รัดกุม เพราะฐานข้อมูลที่ทีมงานได้มา ค่อนข้างชัดเจน ว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการเดียวกันการขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าสู่ประเทศไทย

โดยขบวนการนี้ จะวางแผนให้พวกเจ้าหน้าที่แนวหน้าที่รับงานตั้งแต่พรมแดนฝั่งไทย ส่งสัญญาณนัดหมายเคลียร์ใจกับพวกที่ทำงานตามด่านสกัด อย่างน้อย 3 ด่าน ให้ช่วยดำเนินการเปิดไฟเขียวปล่อยต่างด้าวผ่านจุดสกัดไปได้แบบสะดวกโยธิน มีการโยนเค้กไปแบ่งกันกินในราคาหัวละ 1,000 บาท

หัวละ 1,000 บาท พันหัวก็ 1 ล้านบาท หมื่นหัวก็ 10 ล้านบาท ลองไปไตร่ตรองและตรวจสอบดู

“อีกประการหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ ท่านนายกรัฐมนตรีครับ คุณเศรษฐา ท่านต้องรู้นะ ท่านบ่นไม่ใช่หรือ ท่านผู้ว่าฯ ททท.ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดถึงท่าน ว่าคนจีนไม่ค่อยอยากจะมาเมืองไทยเพราะว่าคนจีนนั้นมาเจอทุนสีเทาจีนที่แพร่ระบาดหนักมาก แม่สอดจังหวัดตาก แม่สาย นั่นคือทางผ่านของพวกทุนจีนสีเทาทั้งสิ้น

 พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล
“ผมอยากให้ท่าน พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ท่านมีเวลาอยู่เพียงไม่ถึง 1 ปีที่จะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านจัดการให้เด็ดขาดเสียทีได้ไหม อยากเป็นกันนักไม่ใช่หรือตำแหน่งใหญ่ๆ ที่ภาค 6 ตอนนี้มีเรื่องอยู่ ท่านสั่งโอนเรื่องการสอบสวนมาเลย ใช้อำนาจ ผบ.ตร.ให้กองปราบเป็นคนสอบสวน

“ตำรวจคนเดียวในน้อยคนมากที่ผมไว้ใจก็คือ พลตำรวจโท จิรภพ หรือ ผู้บัญชาการก้อง ท่านผู้ชมจำเรื่องกำนันนกได้ไหม วันนี้ผลงานของ พลตำรวจโท จิรภพ ชัดเจนแล้ว มีการสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว กำนันนกส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือตำรวจที่ให้ความร่วมมือเป็นยวงเลย นี่ล่ะคือคนจริง

“พวกตำรวจภาค 6 ที่ทำมาหากินกับสิ่งผิดกฎหมายใช้อำนาจ ป.วิฯ อาญา และตำแหน่งที่รับผิดชอบพวกคุณอายเขาบ้างหรือเปล่า คุณคือส่วนหนึ่งในการก่อให้เกิดการกำเนิดการเคลื่อนไหวของทุนจีนสีเทา ทำไมคุณเห็นเงินเศษสตางค์พวกนี้สำคัญกว่าความมั่นคงของชาติบ้านเมือง ประเทศจีนเขาไม่ให้คนของเขามาเที่ยวเมืองไทยอีกต่อไปแล้ว ท่านนายกฯ จะสั่งให้เปิดบาร์จนถึงตี 4 ฟรีวีซ่ามาไม่มีความหมายแล้ว พอบอกว่ามีการเสนอให้เอาตำรวจจีนเข้ามาทำงานร่วมกับตำรวจไทยในการเดินลาดตระเวน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็โวยวายกันหนัก ตำรวจไทยทำได้ แล้วที่แม่สอดทำไมตำรวจไทยไม่จัดการล่ะ”



นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่นำเรื่อง “โคตรส่วยแม่สอด ภาค 2” มานำเสนอครั้งนี้ เป็นแค่ปฐมบทเท่านั้น ยังมีข้อมูลอื่นอีกมาก และอยากจะฝากไว้ให้เป็นข้อคิดว่า
  • ที่ผ่าน ๆ มา ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า การร้องเรียนจากเพื่อนบ้านกรณีไหน ที่ระบุยศ ชื่อ สกุลตำแหน่ง ของข้าราชการตำรวจไทยอย่างชัดเจนขนาดนี้ ถือเป็นการร้องเรียนครั้งประวัติศาสตร์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เลยทีเดียว

  • ที่ผ่านมาหมัดเด็ดของพม่า ที่จะนำมาใช้กดดันไทย ก็คือ การปิดพรมแดน เพราะเมื่อปิดแล้ว ฝั่งไทยเสียผลประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยหากทุกด่านทุกพรมแดนรวมถึงท่าข้ามช่องทางธรรมชาติถูกปิด จะเกิดความสูญเสียไม่น้อยกว่าวันละ 2,000 ล้านบาท

  • ตอนนี้สะพาน 1 เปิดให้ขนสินค้า ผ่านคนเข้าออกไปมาได้ เนื่องจากเป็นนโยบายระหว่างรัฐต่อรัฐ สินค้าต้องผ่านพิธีการทางศุลกากร แต่ช่องทางธรรมชาติ เป็นเรื่องของกะเหรี่ยงบริหารจัดการกับเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย ซึ่งหากมีข้อพิพาทใหญ่โตขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะลุกลามบานปลายไปกระทบถึงการสั่งปิดด่านพรมแดนถาวร เพราะรัฐบาลพม่ากับรัฐกะเหรี่ยงตกลงและเจรจาส่งข่าวสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอด

  • การที่มีสัญญาณการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอดคล้องกับคำแก้ตัวของ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ และ การเผยแพร่ข้อมูลจากคุณดนัย ในรายการเจาะลึกทั่วไทยทางช่อง MCOT มีการตั้งข้อสงสัยว่า ปัญหาส่วย ในพื้นที่แม่สอด และ รวมถึงส่วย ใน บช.ภ.6 ตั้งแต่ครั้งอดีตน่าจะไปเชื่อมโยงกับบัญชีเงินสีเทาต่าง ๆ ที่เพิ่งตกเป็นข่าวอื้อฉาว และโด่งดังไปทั่วประเทศ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ด้วย

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ระดับชาติ เพราะมันเผอิญโยงไปถึงทุนจีนสีเทาที่อยู่ฝั่งเมียวดีหรือคิงโรมันที่อยู่ฝั่ง สปป.ลาว หรือแม่สายแล้วก็ทุนจีนสีเทาคนจีนที่เข้าไปมั่วสุมอยู่กับทุนจีนสีเทา มันมีขบวนการ ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด

“การที่คนจีนเขาไม่มาเที่ยวเมืองไทยนั้น เพราะเขากลัวเรื่องนี้ ท่านนายกฯ ครับท่านเศรษฐา ทวีสิน ครับ แก้ปัญหาทั้งทีแก้ให้ถูกจุด ผมยังยืนยันวันนี้ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ ท่านตั้งใจทำงาน ระยะเวลาเหลือแค่ปีเดียว ท่านก็เกษียณแล้ว ท่านเอาเสียทีได้ไหมครับ ท่านโอนเรื่องการสอบสวนพันตำรวจเอกไสว เพราะว่าทางพม่าได้แจ้งชื่อแจ้งยศมาเสร็จเรียบร้อยแล้วใครบ้างที่เข้าไปรีดไถชัดเจน โอนมาให้กองปราบกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้คุณจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นคนรับเรื่องนี้ไป และสอบสวนให้ถึงกึ๋นถึงแก่นเลย

“ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ ท่านให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 นายตำรวจรุ่น 42 ตั้งประธานกรรมการคือพันตำรวจเอก อมรศักดิ์ นายตำรวจรุ่น 42 สอบสวนผู้บังคับการคนใหม่ พันตำรวจเอก ไสว ใจร้าย ที่มีชื่อถูกกล่าวหามา ซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรุ่น 42 เหมือนกัน 42 ตั้ง 42 เป็นประธาน 42 เป็นจำเลย ข้อกล่าวหา ท่านผู้ชมครับ ท่านต่อศักดิ์ สุขวิมลครับ ประชาชนคนไทยจะพึ่งพาตำรวจได้อย่างไร” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น