xs
xsm
sm
md
lg

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกนำทีมอาสาสมัคร คนรัก “พายซัป” ร่วมแคมเปญ “บึ๊ด จ้ำ บึ๊ด ฮึดสู้เพื่อสัตว์ฟาร์ม” รณรงค์ต้านเชื้อดื้อยาจากฟาร์มอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มารีญา พูลเลิศลาภ ทูตองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ร่วมกิจกรรม “บึ๊ด จ้ำ บึ๊ด ฮึดสู้เพื่อสัตว์ฟาร์ม” ลงพื้นที่พายซัป ล่องแม่น้ำสายที่ 2 แม่น้ำนครชัยศรี จ.นครปฐม สร้างความตระหนักรู้ถึงภัยของเชื้อดื้อยา จากฟาร์มอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ นักวิชาการเรียกร้อง กระทรวงศึกษาฯ ควรมีส่วนร่วมพัฒนาคนและสร้างความตระหนักรู้ เตรียมจัดกิจกรรมใหญ่ส่งท้าย พายซัพล่องแม่น้ำเจ้าพระยา จ.กรุงเทพฯ วันที่ 21 พ.ย. 2566 

วันนี้ (14 พ.ย,) องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย World Animal Protection Thailand เดินหน้าแคมเปญ “บึ๊ด จ้ำ บึ๊ด ฮึดสู้เพื่อสัตว์ฟาร์ม” ผ่านกิจกรรมพายซัปบอร์ด ล่องแม่น้ำนครชัยศรี จ.นครปฐม โดยผนึกกำลังกับภาคส่วนต่างๆ เช่น เทศบาลตำบลนครชัยศรี อาสาสมัคร นักซัปบอร์ดจาก The Sup Area ตลอดจนเยาวชนให้มีส่วนร่วมสร้างสังคมตระหนักถึงปัญหา และภัยของเชื้อดื้อยาเพื่อป้องกันและสร้างความปลอดภัยในชุมชนพร้อมเผยผลตรวจเชื้อแบคทีเรียดื้อยาล่าสุดในแหล่งน้ำรอบฟาร์มอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ โดยมี มารีญา พูลเลิศลาภ ทูตองค์กรฯ ร่วมนำกิจกรรมรณรงค์ และสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน บริเวณพื้นที่ตลาดท่านา อ.นครชัยศรี นอกจากนี้ภายในงานยังได้จัดกิจกรรมเสวนา “รณรงค์เพื่อสัตว์ฟาร์ม เกี่ยวอะไรกับเชื้อดื้อยา” โดยได้รับเกียรติจาก โชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์เฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา และ อำนาจ เรียนสร้อย เจ้าของแทนคุณ ออร์แกนิคฟาร์ม จากเครือข่าย Patom Organic Farm มาแลกเปลี่ยนทัศนะ

จากรายงานล่าสุดขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ในเดือนตุลาคม 2566 ยังคงพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียดื้อยาในแหล่งน้ำสาธารณะ และบริเวณฟาร์มอุตสาหกรรรม เช่น ฟาร์มสุกร และฟาร์มไก่ ใน จ.นครราชสีมา จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.นครปฐม ซึ่งสถานการณ์นี้ไม่ต่างจากผลตรวจเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา และเป็นที่น่าวิตกอย่างมากที่ยังคงพบเชื้อดื้อยา เช่น E.coli และ Klebsiella ในยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในฟาร์มอุตสาหกรรม เช่น Ampicillin, Amoxy-clavulanate และ Tetracycline ยาเหล่านี้ยังใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ของคน เช่น โรคผู้ป่วยที่ติดเชื้อต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ ภาวะติดเชื้อที่หู ในกระแสเลือด รวมถึงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ฯลฯ หากประชาชนติดเชื้อดื้อยาและป่วยด้วยโรคเหล่านี้อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล ซึ่งปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาปีละ 38,000 คน ติดเชื้อปีละ 88,000 ครั้ง นำไปสู่การรักษาที่โรงพยาบาลนานขึ้น 3.24 ล้านวันต่อปี ค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็น 2,539-6,084 ล้านบาท และมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 40,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก https://amrthailand.net) 

ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์เฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา เผยว่า ในวารสารการแพทย์ชื่อดัง The Lancet มีการเก็บข้อมูลจากหลายประเทศทั่วโลกระบุว่าปัจจุบันมีจำนวนผู้เสียชีวิต 44,000 คน หรือ 12 คนต่อนาที ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยามาจากทางตรงคือตัวผู้บริโภคเอง เช่น การซื้อยาปฏิชีวนะกินเองหรือกินยาไม่ครบตามแพทย์สั่ง ส่วนทางอ้อม คือ ผ่านระบบอาหารและจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันองค์กรสิ่งแวดล้อมโลกได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องเชื้อดื้อยาอย่างมากเนื่องจากเชื้อดื้อยาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคน และการรักษาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการรักษาที่ยากขึ้นใช้เวลานานขึ้นรวมถึงราคายาที่แพงขึ้นด้วย 

“รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับแผนยุทธศาสตร์ฉบับที่สอง อย่างน้อย 3 กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง พร้อมกันนี้ กระทรวงศึกษาธิการก็ต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาคนเพื่อให้มีความตระหนัก รู้จักตั้งคำถาม และคิด วิเคราะห์มากขึ้น รวมถึงสิทธิผู้บริโภคซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการให้ข้อมูลและที่มาของผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลกลางของแหล่งสินค้าออร์แกนิกเพื่อผู้บริโภคในการเข้าถึงสินค้าปลอดภัยได้ง่ายขึ้น และสุดท้ายคือ รัฐบาลควร ต้องมีหน้าที่ให้ข้อมูล และความรู้แก่ประชาชนในการเผยแพร่เรื่องเชื้อดื้อยาไปยังโรงเรียน และขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ ให้มากขึ้นด้วย” 

โชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวทิ้งท้ายว่า ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ที่ผลิตมาบนโลกใบนี้ 3 ใน 4 ผลิตมาถูกใช้ในฟาร์มปศุสัตว์ ดังนั้นโอกาสเสี่ยงที่เชื้อดื้อยาจะออกมาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์จึงเกิดขึ้น เนื่องจากวิธีการเลี้ยงสัตว์แบบฟาร์มอุตสาหกรรม ในพื้นที่หนึ่งต้องเลี้ยงสัตว์เป็นจำนวนมาก การที่สัตว์อยู่ในพื้นที่จำกัดขาดอิสระและได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ ส่งผลต่อความเสี่ยงในด้านการเจ็บป่วย จึงนำมาซึ่งการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อให้สัตว์สามารถทนอยู่ในสภาพแบบนั้นให้ได้ นอกจากนี้ การใช้ยาบางตัวอย่างไม่ถูกต้อง เช่น โคลิสติน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะชนิดรุนแรง จึงสร้างความกังวลแก่ผู้บริโภคอย่างมาก

“แม้ว่าประเทศไทยจะมียุทธศาสตร์ชาติเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ แต่ปัญหาการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาจากฟาร์มสัตว์ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับผล “การตรวจหาแบคทีเรียดื้อยาที่สำคัญจากสิ่งแวดล้อมบริเวณฟาร์มเลี้ยงสุกรและไก่ เดือนตุลาคม 2566” ในครั้งนี้ ยังคงพบเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่แทบไม่ได้แตกต่างจากการตรวจเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา การพบเชื้อเหล่านี้ก่อความกังวลต่อสุขภาพ และชีวิตของประชาชนในพื้นที่รอบๆ ฟาร์มอุตสาหกรรม ซึ่งบ่งชี้ว่าสวัสดิภาพสัตว์ที่ย่ำแย่ต้อตอสำคัญของการใช้ยาปฏิชีวนะแบบเกินความจำเป็นในฟาร์มยังคงไม่ได้รับความสำคัญมากเท่าที่ควร การส่งเสริมให้มีการใช้สารทดแทนยาปฏิชีวนะก็ไม่ได้แปลว่า สวัสดิภาพสัตว์จะดีขึ้น ดังนั้น องค์กรฯจึงเรียกร้องต่อภาครัฐให้ความสำคัญด้านการพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์มและการบังคับใช้กฎหมายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรค เพื่อแก้ไขถึงวิกฤตด้านสุขภาพ ที่เราทุกคนกำลัง เผชิญอยู่ อย่างเร่งด่วน” 

เราจำเป็นต้องเริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้ ก่อนที่เชื้อดื้อยาจากฟาร์มอุตสาหกรรมจะคร่าชีวิตเราหรือคนใกล้ตัวเรา องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทโดยตรงในเรื่องนี้ ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้โดยเร่งด่วน ได้แก่

ยกระดับมาตรฐานขั้นต่ำสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์มให้สูงขึ้นให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำในการเลี้ยงสัตว์ฟาร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (FARMS: Farm Animal Responsible Minimum Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะลดลง 

ควบคุมและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันการเข้าถึงยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้อง รวมถึงจัดให้มีการพัฒนาความรู้ด้านการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม เพื่อหยุดปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะที่เป็นวิกฤตสุขภาพของคนไทยในขณะนี้

ดำเนินการภายใต้แนวคิด “หลักสวัสดิภาพหนึ่งเดียว” (One Health, One Welfare Concept) โดยมีการบูรณาการและการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาทั้งในคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

จัดทำกลไกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ในการติดตามและตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง














กำลังโหลดความคิดเห็น