“กันยาพลิกเกม” ลุ่มเจ้าพระยา - ลุ่มน้ำชี รอดจากภัยแล้งเพราะฝนเดือนกันยายน 2566 แต่ผู้เชี่ยวชาญ ยังเสนอให้ “ผันน้ำเข้าทุ่ง” เพื่อประหยัดน้ำเตรียมแปลง
รายงานพิเศษ
เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2566 สถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างหนักที่จะเกิดภัยแล้งรุนแรง เพราะปีนี้เป็นปีที่มีปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะทำให้ฝนทิ้งช่วง ประกอบกับน้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งเป็นน้ำที่ต้องใช้ทั้งอุปโภค บริโภค และทำการเกษตรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด มีรวมกันอยู่แค่ประมาณ 3,500 ล้านลูกบาศก์เมตร จากที่ควรจะต้องมีอย่างน้อย 9,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อสิ้นสุดหน้าฝน เพื่อให้มีน้ำพอใช้ไปถึงปลายเดือนเมษายน 2567
นั่นเป็นสถานการณ์ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อประมาณ 1 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ซึ่งหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งไม่ใช่ในเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง แต่มีปัญหากระจายไปในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
“ผมขอเรียกว่า กันยาพลิกเกม เลยครับ”
“เดือนกันยายนเดือนเดียว มีฝนตกมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติในทั้ง 4 สัปดาห์ และที่สำคัญ คือ ฝนตกตรงเข้าพื้นที่เป้าหมายเกือบทั้งหมด คือ ตกที่เหนือเขื่อนในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้มีน้ำเติมเข้าสู่ 4 เขื่อนหลักของลุ่มเจ้าพระยาในปริมาณที่มากพอที่จะผ่านช่วงหน้าแล้งนี้ไปได้แล้ว และยังได้น้ำเติมเข้าที่เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นลุ่มน้ำชี จนเต็มความจุเขื่อนแล้วด้วย”
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยโดย นายวรรธนศักดิ์ สุปะกิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ซึ่งชี้ให้เห็นข้อมูลจาก ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ที่ร่วมกันถึง 52 หน่วยงาน ถึงสถานการณ์น้ำของประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา
โดยมีข้อมูลผ่านการวิเคราะห์ตรงกันว่า แม้จะอยู่ในช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปรากฏการณ์เอลนีโญในมหาสมุทรแปซิฟิก จนอาจทำให้ฝนทิ้งช่วงและเกิดปัญหาภัยแล้งรุนแรง แต่ประเทศไทยกลับยังได้ฝนเพิ่มจากมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนเหนือด้วย จึงทำให้ยืนยันข้อมูลอย่างชัดเจนไปด้วยว่า “เอลนีโญ่ไม่ใช่ดัชนีชี้วัดน้ำฝนของไทยเพียงอย่างเดียว”
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน นายวรรธนศักดิ์ จึงอธิบายสถานการณ์น้ำของเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ตลอดปี 2566 ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งจะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอย่างมาก
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 สิงหาคม 2566 เป็นระยะเวลารวม 8 เดือน มีน้ำไหลลงเขื่อนภูมิพลรวมกันเพียง 900 ล้านลูกบาศก์เมตร
แต่ในเดือน กันยายน 2566 เพียงเดือนเดียว มีน้ำไหลลงเขื่อนภูมิพล 1,900 ล้านลูกบาศก์เมตร
และในช่วง ครึ่งเดือนแรกของเดือนตุลาคม 2566 มีน้ำไหลลงเขื่อนภูมิพลเพิ่มอีก 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร
จนวันนี้ (19 ตุลาคม 2566) มีปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนภูมิพล อยู่ที่ 5,240 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 67% ของความจุเขื่อน (54% ของน้ำใช้การ)
“สถานการณ์ในเขื่อนอื่นๆของลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็เป็นเช่นเดียวกันครับ ทำให้จากเดิมที่เรากังวลกันว่าสิ้นสุดหน้าฝนปีนี้ เราจะมีน้ำใน 4 เขื่อนหลักน้อยมาก เพราะปลายเดือนสิงหาคมยังมีน้ำทั้ง 4 เขื่อนรวมกันแค่ประมาณ 3500 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น และน่าจะได้น้ำไม่ถึง 9000 ล้านลูกบาศก์เมตรแน่นอน ...
แต่ตอนนี้ ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนที่ทั้ง 4 เขื่อนจะเริ่มปล่อยน้ำให้ภาคเกษตรใช้ เรามีน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาแล้วมากกว่า 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร นั่นหมายความว่า พื้นที่ภาคกลางบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งหมดน่าจะพ้นจากวิกฤตภัยแล้งไปถึงเดือนเมษายนปีหน้าได้แล้วครับ และยังจะช่วยให้ปัญหาภัยแล้งในปีหน้าเบาบางลงไปด้วย”
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายวรรธนศักดิ์ อธิบายว่า เกิดจากฝนตกหนักที่แพร่ สุโขทัย ลำปาง ไล่ลงมาจนถึงพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในขณะนี้ ถูกวิเคราะห์ร่วมกันจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญว่า เป็นผลกระทบมาจากปัญหา “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)” ซึ่งอาจมีปัจจัยจากเอลนีโญเข้ามาผสมด้วย
“เราเห็นน้ำท่วมที่แพร่ สุโขทัย ลำปาง ถ้าเราไปดูข้อมูลจะพบว่า เกิดจากฝนตกหนักติดต่อกันแค่ 2 วัน คือวันที่ 27-28 กันยายน 2566 แต่ตกแช่เป็นจุดๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักทันทีเลย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า เป็นรูปแบบของฝนที่เกิดจากการสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นไปได้ว่าในอนาคตก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครับ”
“และถ้าวิเคราะห์แยกกันไปตามแม่น้ำต่างๆ ก็จะเห็นว่า น้ำที่ผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท (เขื่อนทดน้ำ) ซึ่งต้องระบายน้ำผ่านเขื่อนมากในช่วงที่ผ่านมานี้ จนทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่ท้ายเขื่อน เช่นที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา จริงๆ แล้วน้ำที่มาจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำวังผ่านไปเกือบหมดแล้ว
ส่วนน้ำท่วมที่แม่น้ำยม จ.สุโขทัย ส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
ที่ยังเป็นปัญหาลงมาเติมที่เขื่อนเจ้าพระยาอยู่ คือ น้ำจากแม่น้ำน่าน ซึ่งมีฝนตกหนักที่ อ.เนินมะปราง ก่อนหน้านี้ แต่แม่น้ำน่านเป็นแม่น้ำที่ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน จึงยังทยอยมาเติมที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขื่อนเจ้าพระยายังต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น” (19 ตุลาคม 2566 เขื่อนเจ้าพระยา ระบายน้ำ 1,650 ลบ.ม./วินาที)
จากสถานการณ์นี้ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการใช้เทคโนโยลีและสารสนเทศทรัพยากรน้ำ จึงพยายามชี้ให้เห็นแนวทางการจัดการน้ำในช่วงนี้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางได้ทันที และยังจะช่วยเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ที่ไทยยังจะต้องพบปรากฏการณ์เอลนีโญ่ต่อไปจนสิ้นสุดฤดูแล้งหน้าได้ด้วย โดยเสนอให้ผันน้ำที่ท่วมอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เข้าสู่ทุ่งรับน้ำทั้งหมดในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางทันที
“เรามักจะบอกว่า เรามีทุ่งรับน้ำอยู่ 10 ทุ่ง แต่จริงๆ ในพื้นที่ภาคกลางเรามีทั้งหมด 34 ทุ่งนะครับ ผมคิดว่าในสถานการณ์นี้ เราสามารถผันน้ำที่ท่วมอยู่ และน้ำที่กำลังผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ลงมาเข้าสู่ทุ่งได้ทั้ง 34 ทุ่งเลย เพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนให้ชาวนาได้ทำนาในช่วงเดือนพฤศจิกายนต่อไปเลย โดยไม่ต้องใช้น้ำจากเขื่อนหลัก”
“ตามหลักการแล้ว วันที่ 1 พฤศจิกายน จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะเริ่มปล่อยน้ำในหน้าแล้งให้เกษตรกรใช้เพื่อทำการเกษตร ซึ่งอย่างที่บอกไปว่า ตอนนี้เราได้น้ำมาอยู่ใน 4 เขื่อนประมาณ 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และถ้าเราอยากเก็บน้ำในเขื่อนไว้ให้ยืดเวลาใช้ไปถึงหน้าฝนปี 2567 ที่ประมาณเดือนกรกฎาคม เราก็สามารถระบายน้ำที่ท่วมอยู่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในขณะนี้เข้าสู่ทุ่งรับน้ำทั้งหมด 34 ทุ่ง โดยต้องอธิบายให้พี่น้องเกษตรกรเข้าใจว่า ไม่ใช่การระบายให้น้ำท่วมทุ่ง แต่เป็นการระบายน้ำเฉลี่ยลงไปให้ไปใช้ทำนา เพื่อใช้เตรียมแปลง แทนการปล่อยน้ำจากเขื่อน มันจะมีค่าเท่ากับเราสามารถลดการปล่อยน้ำจากเขื่อน หรืออาจเรียกได้ว่าได้น้ำมาเพิ่มอีกประมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรครับ”
“ทุกๆ ปีเวลาน้ำท่วม เราจะเห็นชาวบ้านที่เขาอยู่นอกคันกันน้ำหรืออยู่ใน 10 ทุ่งรับน้ำ ต้องอพยพมานอนบนถนน มองฝั่งบ้านที่นาตัวเองถูกน้ำท่วมและเห็นอีกฝั่งที่นอกจาก 10 ทุ่ง ปลูกข้าวเขียวขจี ดังนั้นในเมื่อปันี้เรามีโอกาสที่จะเฉลี่ยน้ำให้เข้าไปปลูกข้าวได้ทุกทุ่ง ทำไมเรายังต้องกำหนดอยู่ว่ามีทุ่งรับน้ำได้แค่ 10 ทุ่ง ถ้าเราปล่อยน้ำเข้าไปทั้งหมด 34 ทุ่ง เราก็ได้เก็บน้ำในเขื่อนไว้ด้วย ได้สร้างความเท่าเทียมให้ชาวบ้านด้วย โดยน้ำจะเข้าไปที่ระดับเตรียมแปลงเท่านั้น แค่นี้ก็ช่วยเก็บน้ำได้มากแล้ว” วรรธนศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
แต่จากสถานการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด แม้ “ฝนเดือนกันยาจะพลิกเกม” ช่วยให้พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ภาคอีสานตอนบน อาจจะรอดพ้นจากวิกฤตภัยแล้งในช่วงนี้ไปได้ แต่ก็ยังจะมีบางพื้นที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เป็นพื้นที่เฝ้าระวังจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำ เนื่องจากฝนน้อยและแหล่งน้ำในพื้้นที่มีน้อย เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ บางส่วนของจังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่ภาคกลางฝั่งตะวันตก โดยที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ด้านตะวันตกของจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี (ฝั่งที่ติดกับจังหวัดกาญจนบุรี) กาญจนบุรี และราชบุรี เพราะที่เขื่อนทับเสลา และเขื่อนกระเสียว ยังคงมีน้ำน้อยมาก
ส่วนพื้นที่ภาคใต้ ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมามีฝนตกน้อยกว่าปกติในภาพรวม แต่ก็จะยังคงมีฝนตกหนักเป็นระลอกและเป็นบริเวณแคบๆ จนทำให้เกิดน้ำท่วมได้ ตามการเปลี่ยนแปลงภาวะภูมิอากาศ การรับมือตอนนี้จึงต้องทำควบคู่กันทั้ง เตรียมท่วมและเตรียมแล้งในเวลาเดียวกัน จะทำอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป