มติที่ประชุมวุฒิสภาอุ้ม “สว.อุปกิต” ไม่เห็นชอบให้ตำรวจออกหมายเรียกไปรับแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนเพิ่มเติมคดีร่วมกันฟอกเงิน-ยาเสพติด แต่ไม่ต้องห่วง อีกไม่กี่วันก็หมดสมัยประชุม หนีไม่พ้นต้องไปพบตำรวจ วอน “โรม” อย่าดราม่า
จากกรณี เมื่อวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติ 174 ต่อ 7 เสียง ไม่เห็นชอบที่จะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกหมายเรียกนายอุปกิต ปาจรียางกูร หรือ "ส.ว.ทรงเอ" ในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา ไปทำการสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามมาตรา 11/7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดว่าถ้ายังอยู่ในสมัยประชุมสภาฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ ก่อน แม้นายนายอุปกิตจะประกาศสละสิทธิ์ ไม่ขอรับเอกสิทธิ์คุ้มครอง แต่ต้องทำตามกฎหมาย
ทั้งนี้ นายอุปกิตถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินกับกลุ่มค้ายาเสพติดชายแดนไทย-พม่า และได้ต่อสู้คดีโดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะก่อนเป็น ส.ว.ได้ออกจากกรรมการหุ้นส่วนของอัลลัวร์ กรุ๊ป แล้ว ที่ผ่านมาเกือบ 15 ปี ตนเป็นตัวแทนซื้อขายไฟระหว่างไทยกับพม่า ที่ด่านท่าขี้เหล็ก แต่ปี 2563-2565 ด่านท่าขี้เหล็กปิดจากสถานการณ์โควิด นายทุนมินลัต นักธุรกิจเมียนมาเข้ามาทำธุรกิจไฟฟ้าต่อจากตน
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ กล่าวในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า งานนี้สังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ส.ว. อย่างหนัก ทำนองว่า "ส.ว. อุ้มอุปกิต ปกป้องพวกพ้อง ศีลเสมอกันแล้วเลยต้องปกป้องกัน บ้างก็ว่า ส.ว. คนนี้มีปลอกคอ ส.ว. คนดีทั้งหลาย สุดท้ายสภาฯ คือที่หลบภัย ทำอะไรก็ไม่ผิด โตขึ้นมาอยากเป็น ส.ว." ฯลฯ นี่คือความเห็นที่ประชาชนออกมาถล่ม
แต่ความจริง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. มักจะมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้ว เพื่อให้ ส.ส. - ส.ว. สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างราบรื่น เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งฟ้องคดีจนกระทบถึงการลงคะแนนเสียงในสภาฯ
ตามพระราชกฤษฎีกาการประชุมสภาฯ 2566 กำหนดว่า วันเริ่มประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 1 ปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 จะครบกำหนด 120 วัน ในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 นี้ ส่วนสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 จะเริ่มจาก 12 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 9 เมษายน 2567
ทั้งนี้ นายอุปกิตถูกตรวจสอบว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายยาเสพติดใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า "เครือข่ายอัลลัวร์" ของนายทุนมินลัต ชาวพม่า ซึ่งถูกจับกุมพร้อมนายดีน ยัง จุลธุระ ลูกเขยนายอุปกิต เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา โดยพบว่านายทุนมินลัต กับนายอุปกิต เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ควบคุมกลุ่มที่เรียกว่า "อัลลัวร์กรุ๊ป" โดยอ้อม สั่งซื้อไฟฟ้าจากไทยโดยใช้เงินธุรกิจสีเทา อีกทั้งผู้ต้องหาคนสำคัญ คือ นายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ หรือ เอ็ดดี้ เจ้าพ่อบ่อนการพนันออนไลน์ซึ่งหลบหนีคดีอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ที่ซื้อธุรกิจโรงแรมกาสิโนท่าขี้เหล็ก อัลลัวร์ กรุ๊ป ในพม่า ซึ่งเคยเป็นของ ส.ว.อุปกิต อีกด้วย
เมื่อปี 2562 ส.ว.อุปกิต ระบุในบัญชีทรัพย์สินว่าได้ขายหุ้นอัลลัวร์ กรุ๊ป รวมทั้งโรงแรมอัลลัวร์รีสอร์ตก่อนจะเป็น ส.ว. ในปี 2562 ให้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อ นายชาคริส กาจกำจรเดช แต่พอตำรวจเรียกนายชาคริสไปสอบปากคำ กลับพบว่าไม่ได้มีการซื้อขายจริง เลยมีการตั้งคำถามว่า มีการฟอกเงิน มีนิติกรรมอำพรางหรือไม่
คดีนี้อำนาจการสอบสวนเป็นของอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน ในความผิดนอกราชอาณาจักร ตาม ป.วิฯ อาญา มาตรา 20 จึงมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดสอบสวนกับกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 ร่วมกันเป็นพนักงานสอบสวน ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2566 นายอุปกิตเข้าไปรับข้อกล่าวหารวม 3 ข้อหา ได้แก่ สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันมีส่วนร่วมในอาชญากรรมข้ามชาติ โดยในชั้นสอบสวน นายอุปกิตให้การปฏิเสธ
ต่อมา วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องนายอุปกิต ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะนำนายอุปกิต พร้อมสำนวนการสอบสวนมาส่งให้อัยการสำนักงานคดียาเสพติด เพื่อเสนอสั่งพิจารณาคดี โดยนัดเป็นวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 แต่พอถึงวันนั้นแล้ว พนักงานอัยการก็เลื่อนไปเป็นวันที่ 28 สิงหาคม 2566 โดยสั่งให้พนักงานสอบสวนไปสอบสวนเพิ่มเติม
แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึง นายอุปกิตได้แจ้งขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง โดยอ้างว่าอยู่ในสมัยประชุมสภาฯ จึงได้เอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย อัยการก็ให้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 12 ตุลาคม 2566
“ความเห็นผมเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องดรามา เพราะคดีนี้เหลือแค่เพียงนัดฟังคำสั่งจากอัยการสูงสุดเท่านั้น ประการต่อมา นายอุปกิตเองแสดงเจตนาพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องรอปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกทั้งต่อให้นายอุปกิตจะอ้างเอกสิทธิ์การคุ้มครอง อีกไม่กี่วันจะหมดสมัยประชุมฯ แล้ว ไม่กี่วันเอง ไม่เกินสองอาทิตย์ จะหมดสมัยประชุมแล้ว ส.ว. ชุดปัจจุบันก็จะหมดวาระ 5 ปี ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ก็ขอฝากตำรวจ อัยการสูงสุด ดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ หนึ่งเดือนครึ่ง ต้องมีความคืบหน้า
“สรุปง่ายๆ ว่า เอกสิทธิ์มีอยู่ ถ้าเขาใช้ก็ไม่ผิดอะไร ข้อเท็จจริง ความจริงที่มีหนึ่งเดียวก็คือว่า อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาปิดสมัยประชุมฯ แล้ว ถ้าใช้เอกสิทธิ์ก็คุ้มครองได้แค่ 10-20 วัน เท่านั้นเอง อย่าไปดรามาเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณรังสิมันต์ โรม โคตรจะดรามาเลย เรื่องของตั๋วปารีสผมไม่เห็นคุณดรามาเลยแม้แต่นิดเดียว” นายสนธิกล่าว