“สนธิ” ชี้ “ลิซา” ร่วมเวที Crazy Horse Paris เปรียบเป็นการทะลุกำแพงเคป๊อป พร้อมปลดแอกจากค่าย YG ขึ้นเป็นศิลปินระดับโลกเต็มตัว ระบุคาบาเรต์โชว์ ไม่ใช่โชว์อนาจาร แต่เป็นศิลปะการเต้นชั้นสูง สาวนักเต้นต้องผ่านการคัดเลือกด้วย "กฎทอง" มีศิลปินระดับโลกเคยร่วมแสดงหลายคน
ภายหลังจาก“ลิซ่า BlackPink”หรือ“ลลิษา มโนบาล” ศิลปินสาวชาวไทย ที่กำลังโด่งดังสุดขีดในวงการเคป๊อป ได้ไปร่วมโชว์บเวทีคาบาเรต์ชื่อดังของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสอย่าง Crazy Horse รอบพิเศษ 5 รอบ เมื่อวันที่ 28 - 30 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ได้เกิดข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในบรรดาแฟนคลับของ ลิซ่า ถึงภาพลักษณ์และความเหมาะสม เพราะหลายคนยังเข้าใจว่า “คาบาเรต์โชว์” คือระบำเปลื้องผ้าที่มีแต่ความอนาจาร
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า จริงๆ แล้ว คาบาเรต์โชว์ ที่ Crazy Horse Paris เป็นการโชว์ศิลปะการแสดงหลายองค์ประกอบ ตั้งแต่การออกแบบท่าเต้น ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไปจนถึงออกแบบเวที
ทั้งนี้ “Crazy Horse Paris” ถือเป็นหนึ่งในคาบาเรต์โชว์ ที่มีค่าบัตรเข้าชมราคาสูง ราคาเริ่มต้นของบัตรเข้าชมโชว์อยู่ที่ประมาณ 115 ยูโร หรือประมาณ 4,000 บาท และราคาที่สูงที่สุดอยู่ที่ 295 ยูโร หรือประมาณ 11,319 บาท เป็นศิลปะการแสดงเก่าแก่ที่ถูกสืบทอดมายาวนาน
ก่อตั้งขึ้นในปี 2494 โดยชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ “อแลง แบร์นาร์ดอง” ซึ่งเคยเป็นจิตรกรก่อนผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจ เขามองว่า การแสดงอันวาบหวิวนั้นก็ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แม้ตอนแรกคนปารีสไม่ตอบรับกับไอเดียของเขานัก จนต้องเลิกกิจการไปสองครั้งในช่วงก่อตั้งแรก ๆ แต่ก็เปิดใหม่และดำเนินงานเรื่อยมาจนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง
Crazy Horse ตั้งอยู่ในทำเลทองของกรุงปารีส ใกล้กับถนนฌ็องเซลิเซ่ อันโด่งดัง เวทีโชว์แห่งนี้เคียงข้างอยู่ข้างร้านแฟชั่นแบรนด์หรูอย่าง YSL, Givenchy และ Balenciaga
การแสดงที่ Crazy Horse Paris ไม่ใช่แค่การเอาผู้หญิงมาโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งเท่านั้น แต่เป็นการแสดงธีมศิลปะอันน่าตื่นเต้นผสมผสานองค์ประกอบของความเป็นผู้หญิงและศิลปะต่าง ๆ อย่างลงตัว โดยมีแดนเซอร์ผู้หญิงแต่งกายเซ็กซี่และเปลือยอกเพื่อแสดงให้เห็นถึงสรีระของผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นศิลปะชนิดหนึ่งมาประกอบการแสดง พร้อมแนวคิดโชว์ที่ว่าเป็นสัญลักษณ์ความภาคภูมิใจของผู้หญิง และความเป็นอิสระ
สำหรับนักเต้น ที่เรียกว่า "Crazy Lady" ก็มีการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน มีข้อมูลจาก เว็บไซต์ Come to Paris บอกว่า สำหรับหญิงสาวที่ต้องการเป็นนางโชว์ที่ Crazy Horse นั้น มีกฎเหล็กที่เรียกว่า ‘Golden Rules’
โดยนอกจากกฎเกณฑ์ทั่วไป อายุที่ต้องมากกว่า 18 ปีและมีทักษะการแสดง รวมถึงการเต้นคลาสสิก แจ๊ซ และคอนเทมโพรารี่แล้ว Golden Rules ซึ่งหญิงสาวทุกคนต้องผ่านหมดทุกข้อถึงจะได้เข้ามาเป็นนักแสดงคาบาเรต์หรือที่เรียกว่า ‘Crazy Lady’
เริ่มต้นด้วย สัดส่วนความสูงจะต้องอยู่ระหว่าง 168 ถึง 173 เซนติเมตรแบบไม่ขาดไม่เกิน มีขายาว ระยะห่างของหน้าอกทั้งสองข้างอยู่ที่ 21 เซนติเมตร ระยะจากกระดูกหัวหน่าวถึงสะดืออยู่ที่ 13 เซนติเมตร
ซึ่งกฎเหล่านี้เป็นกฎดั้งเดิม แต่ปัจจุบันไม่ยืนยันว่ายังคงใช้อยู่หรือไม่ หรืออาจจะปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม
แต่ที่แน่ ๆ สาว ๆ บนเวทีเต้นเก่ง แสดงเก่ง จนทำให้ “ลิซ่า” ที่หลงใหลการเต้นมากๆ เพราะตัว “ลิซ่า” เองก็เต้นเก่ง ก็เลยสนใจในศาสตร์นี้
ข่าวออกมาว่า “ลิซ่า” เป็นแฟนคลับ Crazy Horse ก่อนหน้านี้ก็มาดูหลายครั้ง และมักจะไปด้านหลังเวทีเพื่อพบปะกับสาว ๆ หลังจบโชว์ ในที่สุดก็เลยเกิดเป็นไอเดียที่สุดท้าย “ลิซ่า” จึงมาร่วมโชว์กับสาว ๆ ของ Crazy Horse เสียด้วยเลย
ด้านกลุ่มที่โพสต์คัดค้านการร่วมงานระหว่าง ลิซ่า กับ Crazy Horse มีในประเด็นอย่างเช่น“โอ้ว ตั้งใจจะเข้าร่วมโชว์ที่มีอยู่แล้ว ฮาๆ ดูเหมือนตอนนี้เธอไม่อยากรันวงการเค-ป็อปแล้ว งั้นเอาตำแหน่งไอดอล เค-ป็อป ออกด้วยนะ”
“ลิซ่า มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ฉันขอนะ อยากให้เธอคิดดีๆ ว่าเธอทั้งดังและมีอิทธิพลมากแค่ไหน ขอร้องล่ะ อย่าพูดว่าการแสดงนั่นคือศิลปะ เพียงเพราะว่า ลิซ่า เข้าร่วมแสดงด้วย”
“ฉันตกใจยิ่งกว่าที่เธอไปดูโชว์แบบนั้น ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นของเรื่องมีอยู่ว่าหลังจากค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ลิซ่า ไม่ต่อสัญญากับ YG Entertainment ค่ายศิลปินยักษ์ใหญ่ของเกาหลี(ข่าวนี้อ้างอิงจาก Koreaboo.com เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งรายงานว่า ลิซ่า BLACKPINK ได้ปฏิเสธข้อเสนอการต่อสัญญากับ YG ที่เสนอให้เธอ 40 ล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 1,400 ล้านบาท)แต่ลิซ่าก็ยังคงเป็นศิลปิน ที่มีอิทธิพลสูงมากในวงการบันเทิงระดับโลก อาจจะมากกว่าเมื่อตอนอยู่ YG ด้วยซ้ำ เพราะเธอมีอิสระที่จะคิดและตัดสินใจรับงาน ได้หลากหลายมากขึ้น การไปไหนมาไหนก็ไม่ได้เป็นความลับและไม่ได้เข้าถึงยากอีกต่อไป
การเข้าร่วมโชว์ที่ Crazy Horse ครั้งนี้เหมือนเป็นการปลดล็อก ประกาศอิสรภาพ จากการคุมเข้มของยักษ์ใหญ่ต้นสังกัดเคป๊อปของลิซ่า
จริงๆ แล้ว คาบาเรต์โชว์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่มีแบบแผน และอาศัยการฝึกฝน ลิซ่าก็ หลงใหลในการเต้น เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าการฝึกซ้อมการเต้นนั้น ต้องฝึกจนเมื่อเพลงขึ้นแล้วกล้ามเนื้อขยับไปเองตามธรรมชาติ ก็เลยไม่น่าแปลกใจอะไรที่ลิซ่า จะชอบดู คาบาเรต์โชว์
ที่ผ่านมาก็เคยมีซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ขึ้นไปร่วมเวที Crazy Horse Paris มาก่อนแล้ว อย่าง คริสตินา อากีเลรา,ไคลี มิโนก,ดิต้า วอน ทีส, ส่วน "Beyoncé" (บียอนเซ่) ก็เคยขึ้นเวทีนี้ ถ่ายทำฉากใน MV เพลง "Partition (Explicit Video)" ของตัวเอง เมื่อ 9 ปีที่แล้ว
ดังนั้น ลิซ่า ซึ่งเป็นศิลปินระดับโลกเช่นกัน จะขึ้นเวทีนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร
และถึงแม้จะมีกระแสคัดค้านอยู่ แต่พอถึงวันแสดงโชว์จริง ก็มีแฟนๆ ไปดูกันอย่างล้นหลาม ตั๋วขายเกลี้ยง แฮชแท็ก #LISAxCRAZYHORSEPARIS และ LALISA CRAZY GIRL SHOW ติดเทรนด์ X (ทวิตเตอร์) ไปทั่วโลก
ตอกย้ำว่า การเข้าร่วมโชว์ของลิซ่า เป็นการขยายฐานผู้ชม “คาบาเรต์โชว์” ซึ่งปัจจุบันคือการแสดงศิลปะในการเต้นรำให้กว้างขวางออกไปอีกหลายเท่า
ในอเมริกา ยุโรป คาบาเรต์ได้รับการยอมรับในแง่ศิลปะมานานแล้ว คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเงิน ไม่ใช่ วันนี้น้องลิซ่า ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลย เงินทองที่เธอทำมาตลอดเวลาจากการเป็น ลิซ่า BlackPink นั้น เธอมีในระดับพันล้านบาท อาจจะหลายพันล้านบาทเสียด้วยซ้ำ เหมือนกับล่าสุดที่เธอเพิ่งเซ็นสัญญาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสินค้ายี่ห้อหนึ่ง ก็คือกระเป๋า CELINE 2,800 ล้านบาท
นายสนธิกล่าวว่า ลิซ่า เป็นศิลปินที่มีจิตใจเป็นศิลปินจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ลิซ่าชอบคาบาเรต์ เพราะว่าการสนใจศิลปะของลิซ่าได้ก้าวข้ามขั้นตอนความเป็นศิลปินธรรมดาไปสู่ศิลปะชั้นสูงไปแล้ว คือการเต้นในฐานะเป็น BlackPink นั้น มันก็ทำได้ระดับหนึ่ง มีโชว์ มีกรอบบังคับ ความเป็นศิลปินของลิซ่านั้นขึ้นสู่ระดับโลกไปแล้ว ในบรรดาคนที่อยู่ใน BlackPink สัญชาติญาณของความเป็นศิลปินของอีก 3 คนนั้น สู้ลิซ่าไม่ได้เลย
ลิซ่าอยากจะก้าวออกนอกกรอบเดิมๆ ไปสู่สิ่งใหม่ๆ จนกระทั่งไม่มีกรอบอีกต่อไป เหมือนกับจอมยุทธคนหนึ่งที่ฝึกกระบี่จนเชี่ยวชาญทุกท่า จนกระทั่งไม่มีท่าอะไรในกรอบนั้น จนในที่สุดวันหนึ่งจอมยุทธตัดสินใจว่าจะทิ้งกระบี่ เพราะสำหรับจอมยุทธคนนั้น กระบี่กลายเป็นกระบี่ที่อยู่ที่ใจไปแล้ว ก็คือไม่ต้องมีกระบี่ ทุกอย่างรอบตัวเป็นกระบี่ในตัวเองได้หมด จับอะไรก็เป็นกระบี่หมด
“ก่อนที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์น้องลิซ่าอย่างไรก็ตาม เราต้องคิดถึงคุณูปการที่เธอได้ทำให้กับประเทศไทยอย่างมาก สำหรับผมแล้ว เธอรักประเทศไทยมาก เธอรักเมืองไทย เธอรักพระเจ้าอยู่หัว เธอรักสถาบันกษัตริย์ เวลาเธอมาเมืองไทย เธอมีความสุขมาก อยู่กับแม่ เธอไปอยู่กับแม่ที่บุรีรัมย์ เธอทานอาหารพื้นบ้าน มีอะไรถ้าเธอสามารถโปรโมตให้กับประเทศไทยได้ เธอทำตลอดเวลา ซึ่งถ้าพูดไปอีกแง่หนึ่งแล้ว คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าน้องลิซ่าเป็น Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ไม่มีใครสามารถจะเทียบได้เลย
นายสนธิกล่าวว่า ลิซ่า เป็นศิลปินที่มีจิตใจเป็นศิลปินจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ลิซ่าชอบคาบาเรต์ เพราะว่าการสนใจศิลปะของลิซ่าได้ก้าวข้ามขั้นตอนความเป็นศิลปินธรรมดาไปสู่ศิลปะชั้นสูงไปแล้ว คือการเต้นในฐานะเป็น BlackPink นั้น มันก็ทำได้ระดับหนึ่ง มีโชว์ มีกรอบบังคับ ความเป็นศิลปินของลิซ่านั้นขึ้นสู่ระดับโลกไปแล้ว ในบรรดาคนที่อยู่ใน BlackPink สัญชาติญาณของความเป็นศิลปินของอีก 3 คนนั้น สู้ลิซ่าไม่ได้เลย
ลิซ่าอยากจะก้าวออกนอกกรอบเดิมๆ ไปสู่สิ่งใหม่ๆ จนกระทั่งไม่มีกรอบอีกต่อไป เหมือนกับจอมยุทธคนหนึ่งที่ฝึกกระบี่จนเชี่ยวชาญทุกท่า จนกระทั่งไม่มีท่าอะไรในกรอบนั้น จนในที่สุดวันหนึ่งจอมยุทธตัดสินใจว่าจะทิ้งกระบี่ เพราะสำหรับจอมยุทธคนนั้น กระบี่กลายเป็นกระบี่ที่อยู่ที่ใจไปแล้ว ก็คือไม่ต้องมีกระบี่ ทุกอย่างรอบตัวเป็นกระบี่ในตัวเองได้หมด จับอะไรก็เป็นกระบี่หมด
“ก่อนที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์น้องลิซ่าอย่างไรก็ตาม เราต้องคิดถึงคุณูปการที่เธอได้ทำให้กับประเทศไทยอย่างมาก สำหรับผมแล้ว เธอรักประเทศไทยมาก เธอรักเมืองไทย เธอรักพระเจ้าอยู่หัว เธอรักสถาบันกษัตริย์ เวลาเธอมาเมืองไทย เธอมีความสุขมาก อยู่กับแม่ เธอไปอยู่กับแม่ที่บุรีรัมย์ เธอทานอาหารพื้นบ้าน มีอะไรถ้าเธอสามารถโปรโมตให้กับประเทศไทยได้ เธอทำตลอดเวลา ซึ่งถ้าพูดไปอีกแง่หนึ่งแล้ว คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าน้องลิซ่าเป็น Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ไม่มีใครสามารถจะเทียบได้เลย
“ผมคิดว่าเราน่าจะให้กำลังใจน้องลิซ่าได้พัฒนาตัวเอง ซึ่งน่าสนใจมาก ว่าจากนี้ไปแล้ว เธอผ่านคาบาเรต์แล้ว เธอจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตเธอ
“อีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าก็เริ่มมีคนกระแนะกระแหน จากการที่เธอมีแนวโน้มสนิทสนมกับลูกชายเจ้าของสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก เฟรเดอริก ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเราต้องปล่อยวาง ความรักความชอบของคนนั้นไม่มีการจำกัดเชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น แม่ของลิซ่า ก็มีสามีเป็นฝรั่ง เป็นเชฟฝรั่ง ลิซ่า เคยชินมากกับการที่อยู่กับฝรั่้ง เพราะคุณพ่อเธอ ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงก็ตาม ก็เป็นคนที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก
“ในเมื่อเธอเป็นคนของโลกแล้ว ใครก็ตามที่เธอรัก เธอชอบ อย่างน้อยที่สุดคนเราถ้าไม่ถูกโฉลกกัน ผมคิดว่าเรื่องเงินเรื่องทองเธอ นายเฟรเดอริก เป็นลูกชายของคนที่มีทรัพย์สินมหาสมบัติอันดับหนึ่งของโลก แล้วไปหาว่าลิซ่าเห็นแก่เงินนั้น ผมคิดว่าเข้าใจผิดมาก ต้องให้เกียรติน้องลิซ่านิดหนึ่ง ผมเชื่อว่าเธอตามที่หัวใจเธอต้องการ แล้วถ้าหัวใจเธอต้องการเฟรเดอริก ก็เป็นเรื่องของเธอ
“ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ยังเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย และพร้อมจะทำชื่อเสียงให้ประเทศไทยต่อไป การที่เธอไปเป็นนักเต้นระบำในคาบาเรต์ CRAZY HORSE นั้น มันไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงเธอตกต่ำเลย มิหนำซ้ำในทางตรงกันข้าม ในทางตะวันตกกลับมองว่าเธอเป็นดาวเด่น ดาวรุ่ง เธอทำลายสถิติทุกอย่างที่เคยมีมาในโลกนี้ในเรื่องของการเป็นนักเต้น จนไม่มีใครจะเทียบเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ลิซ่า ทำไมเธอถึงปฏิเสธ 1,400 ล้านบาท จากการอยู่ค่าย YG ต่อไป ท่านผู้ชมก็ดูสิครับ ลิซ่าแค่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ CELINE ยังได้ตั้ง 2,800 ล้านบาท ทำไมจะต้องไปพึ่งพา YG มิหนำซ้ำ ที่สำคัญที่สุด YG คือกรอบ คือกุญแจมือที่ใส่ตัวลิซ่าเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอแสดงออกได้อย่างเต็มที่ในเชิงศิลปะที่เธอก้าวข้ามมากกว่าการเป็นเค-ป๊อปไปแล้วตอนนี้” นายสนธิกล่าว