“สนธิ” ชี้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกอาการเมาหมัดหลังถูกค้นบ้าน ยิ่งพูดยิ่งดูแย่ อ้างมีข้อมูลหมด เปิดออกมาตายทั้ง สตช.แต่กลับไม่ทำอะไร ทำให้ถูกมองว่ากำลังแบลกเมล์ฝ่ายตรงข้าม ประชาชนรับไม่ได้ เผยเบื้องหลังเพราะเชื่อหมอดูบอกต้องขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในปีนี้ ไม่เช่นนั้นต้องรอ 4 ปี จึงหิวแสง ดิสเครดิตคู่แข่ง ด้วยความมั่นใจว่ามีเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นพวก ชี้หากเชื่อคำเตือนให้ใจเย็นๆ หรือทำงานตรงไปตรงมาถ้ามีข้อมูลฝ่ายตรงข้ามทำผิด ก็เล่นงานเลย สภาพจะเป็นแบบนี้ ฝากเตือน ผบ.ตร.คนใหม่จะเป็น 1 ปีที่ทุกข์ทรมาน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงเบื้องหลังและนัยของปฏิบัติการบุกค้นที่พักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) เพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนใหม่ในวันที่ 27 กันยายนเพียง 2 วัน
โดเหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. หรือ ตำรวจไซเบอร์ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ รักษาราชการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง สนธิกำลังเจ้าหน้าที่เกือบ 100 นาย นำหมายค้น เข้าตรวจค้นบ้านพัก 5 หลัง ในหมู่บ้านอเวนิว ซิกซ์ตี้ ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.
ทั้งนี้ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือ ได้แบ่งกันเข้าตรวจค้นบ้านจำนวน 5 หลัง ประกอบไปด้วย บ้านเลขที่ 9/146, 9/147, 9/148, 9/157 และ 9/158 ภายในหมู่บ้านดังกล่าว หลังสืบทราบว่ามีผู้ต้องหาคดีเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ เบตฟลิกซ์รอยัล (www.betflikroyal.net) อาศัย ใช้ชีวิต วนเวียนอยู่ในบ้านทั้ง 5 หลัง
เมื่อหัวหน้าชุดนำกำลังไปถึง ก็พบว่า ในบ้านเลขที่ 9/147 และ 9/148 นั้น มีลักษณะเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น เชื่อมหากันได้ทั้ง 2 คูหา ที่ว้าวไปกว่านั้นคือมีภาพที่ปรากฏออกสื่อฯ ระบุชัดเจน ว่า ผู้อาศัยอยู่ในบ้านที่ชุดปฏิบัติการต้องปลุกขึ้นมาเจรจาคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.
ขณะที่พนักงานสอบสวนผู็รับผิดชอบการค้น อ่านรายละเอียดหมายค้น ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ที่ยังอยู่ในสภาพชุดนอน สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว นุ่งกางเกงบ็อกเซอร์สีฟ้า ใส่ถุงเท้าสีขาว ยืนเท้าสะเอวฟังจนจบ
ทั้งนี้ ประโยคแรกที่ รอง ผบ.ตร.พูดกับเจ้าหน้าที่ชุดดำเนินการคือ"กูไม่ให้ค้น พวกมึงกลับไป" ทำให้ชุดปฏิบัติการพิเศษหรือหน่วยคอมมานโด ต้องกลายสภาพจากการสังเกตการณ์ธรรมดา เป็นการประกอบทีมเข้าสแตนด์บายในที่กำบัง นำกำลังเข้าประจำการฝั่งตรงข้ามเป้าหมายโดยใช้ฝากระโปรงรถเป็นที่มั่น
การเจรจาระหว่างตำรวจชั้นผู้น้อย กับผู้พักอาศัย ซึ่งเป็นถึง รอง ผบ.ตร. ผ่านไปนานเกือบ 2 ชั่วโมง กว่าจะมีการตกผลึก โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ขอประสานทนายความของตนเองให้เดินทางมาที่บ้าน และต่อรองให้พนักงานสอบสวน ตามผู้บังคับบัญชาระดับสูงซึ่งรับผิดชอบในภารกิจนี้เข้ามาร่วมตรวจค้นด้วย จึงเป็นเหตุให้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ต้องเดินทางไปปรากฏกายในพื้นที่เป้าหมาย ก่อนได้รับอนุญาตให้เข้าตรวจค้น ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่อนุญาตให้บุคคลนอกภารกิจโดยเฉพาะผู้สื่อข่าวเข้าไปในตัวบ้าน
จากการตรวจค้นบ้าน 2 หลังเชื่อมต่อกัน ที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ใช้พักอาศัย พบว่า ไม่ได้มีทรัพย์สินมีค่าเก็บเอาไว้มากมาย นอกจากรถหรู จำนวน 3 คัน
จุดนี้ใช้เวลาตรวจค้นประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนบ้านเลขที่ 9/157 และ 9/158 ซึ่งเป็นบ้านทาวน์โฮมเจาะถึงลักษณะเดียวกัน พบตัว พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ตำแหน่ง นนต.รอง ผบ.ตร.(นายตำรวจติดตาม รอง ผบ.ตร.)ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ เลขที่ จ.879/2566 ลงวันที่ 22 ก.ย.66 ข้อหา"สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน"อยู่ในบ้านแฝดหลังดังกล่าว ชุดจับกุมจึงดำเนินการควบคุมตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ พื้นที่ที่เกิดเหตุตั้งแต่ต้น
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่อีกหลายชุดซึ่งเกิดจากการสนธิกำลังกันแบบเฉพาะกิจ ยังได้บุกไปตรวจค้นเป้าหมาย อีก 30 แห่ง ในพื้นที่ 6 จังหวัด ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร เพชรบุรี นครปฐม ขอนแก่น เลย สมุทรปราการ เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาจากคดีเดียวกัน เบื้องต้นสามารถรวบตัว ตำรวจคนสนิทพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้เพิ่มเติมอีก 7 ราย ประกอบด้วย
1.พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล
2.พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง จ.จันทบุรี
3.พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4
4.พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมือง จ.ฉะเชิงเทรา
5.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรสำโรงเหนือ
และชั้นประทวนอีก 2 ราย
นอกจากนี้ยังมีพลเรือนตามหมายจับคดีเดียวกัน ถูกตามจับกุมได้อีก 9 คน
สรุปแล้ว ผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 8 นาย และพลเรือน 9 คน ล้วนตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาเดียวกัน มีเพียงพ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ที่โดนหนักกว่าเพื่อนคือ"ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอบายมุขล่อ ช่วยประกาศโฆษณาโดยทางตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น เข้าพนัน ในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน"
จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย เข้าวอร์รูม กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค.(ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 4 ซึ่งเป็นน้องชายของ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ "เสธ.หิ" อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มารอแยกตัวผู้ต้องหาในฐานะหัวหน้าทีมสอบสวน
ในช่วงที่ชุดจับกุมทยอยนำตัว ผู้ต้องหาเข้าวอร์รูมนั้น ปรากฏว่ามีผู้ที่ปล่อยคลิป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กำลังร้องเพลงอยู่ในงานเลี้ยงกับ “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ น.ส.ธันยนันท์ หรือสุชานันท์ สุจริตชินศรี ชื่อเล่น "มินนี่" เจ้าแม่วงการเว็บพนันออนไลน์
รวมถึงมีการปล่อยภาพพ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัยนั่งโอบ "น้องมินนี่" น.ส.ธันยนันท์ อย่างใกล้ชิดสนิทสนม ให้กับผู้สื่อข่าว
นอกจากนั้น ยังมีคลิปวีดีโอ จำนวน 3 คลิป
คลิปแรก เป็นคลิปที่ "ทนายตั้ม" ถ่ายปรากฏภาพ "บิ๊กโจ๊ก" ยืนถือไมค์คู่กับ "มินนี่"
คลิปที่ 2 เป็นคลิปปรากฏภาพคู่กันระหว่าง "บิ๊กโจ๊ก" กับ "มินนี่" ร้องเพลง "มหาลัยวัวชน" ของศิลปินวงพัทลุง
คลิปที่ 3 เป็นคลิปที่เจ้าหน้าที่ PCT ชุดที่ 4 เคยเข้าจับกุมตัว "มินนี่" ฐานกระทำความผิดเกี่ยวกับเว็บการพนันออนไลน์
ส่วนภาพคู่ที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ นั่งโอบ "มินนี่" นั้นมีการปล่อยข้อมูลว่าทั้งคู่มีสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า คดีนี้ต้องย้อนรอยไปถึง ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2566 วันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 หรือ PCT 4 ได้ดำเนินการจับกุมตัว ผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์เบตฟลิกซ์รอยัลเอาไว้ได้ 3 ราย หลังทั้ง 3 ราย ถูกดำเนินคดี สามารถขยายผลดำเนินการออกหมายจับผู้ร่วมเครือข่าย ได้อีก 23 ราย โดย 8 รายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีก 15 ราย เป็นพลเรือน ซึ่งถูกจับกุมได้แล้ววันนี้ 9 ราย ยังเหลือที่ยังหลบหนี อีก 6 ราย
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังปฏิเสธด้วยว่าปฏิบัติการดังกล่าว ไม่ได้ดิสเครดิต รอง ผบ.ตร.แต่อย่างใด การประสานกับกำลังหลายฝ่ายผ่านปฏิบัติการชื่อว่า Big Cleaning Day กวาดบ้านตำรวจ ปูพรมลงพื้นที่ 6 จังหวัด 30 เป้าหมาย ครั้งนี้ทำไปเพราะพยานหลักฐานเชื่อมถึง
นอกจากนี้ยังอ้างด้วยว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านดังกล่าว มีนายตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร. อาศัยอยู่ เพราะชื่อเจ้าของบ้านทั้ง 5 หลังไม่ใช่ชื่อ รอง ผบ.ตร. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ชุดทำงานทราบเพียงเบาะแส ว่า พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตามไปพักอาศัยอยู่เท่านั้น จึงขอหมายค้นเข้าดำเนินการตามกฎหมาย
นายสนธิ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกิดอารมณ์ขึ้นมา ทั้งที่โดยเนื้อหาของคดีแล้วคดีที่เกิดขึ้นไม่ใช่คดีที่หนักกนาสาหัสอะไร เป็นเรื่องเว็บพนัน ก่อนเกิดเหตุนั้น ตนเคยเตือน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์แล้ว ว่าให้ใจเย็นๆ อย่าล้ำเส้น แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นเป็นคนประเภทนักสู้ คนโบราณว่าประดาบก็เลือดเดือด ลุยเต็มที่ ไม่สนหน่าอินทร์หน้าพรหม
ระหว่างที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาตอบโต้นั้น ความที่ตัวเองรนและโกรธ ที่โดนหักหน้า ตอนที่ตำรวจเข้าไปนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์บอกว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านผม แต่ในข้อเท็จจริง กลายเป็นบ้านเสี่แต๋มจากอุดรฯ ต่อมาก็อ้างว่าเป็นบ้านญาติเช่าอยู่ เคยให้ข้อมูล ป.ป.ช.ไปแล้ว
เรื่องบ้าน 5 หลัง ตอนโดนบุกค้น ข่าวออกมาว่า “บิ๊กโจ๊ก” ซื้อบ้าน 5 หลัง ให้ลูกน้องมาอยู่รวม ๆ กัน แต่ตอนหลัง “บิ๊กโจ๊ก” แก้ข่าวว่า “บ้าน 5 หลัง” เป็นของญาติที่เป็นคนสงขลาด้วยกัน ให้เขาได้อยู่ฟรีๆ แต่ต่อมา วันอังคารที่ 26 กันยายน “บิ๊กโจ๊ก” ก็ให้ข่าวใหม่ บอกว่าบ้าน 5 หลัง เป็นบ้านเช่า ต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท
โดยยอมรับว่าเจ้าของคือ “เสี่ยแต๋มอุดรฯ” นายชินรัตน์ วัฒนกูล นักธุรกิจขนส่งรายใหญ่แห่งอุดรธานีพร้อมอ้างว่า เหตุที่ “เสี่ยแต๋ม” คิดค่าเช่าไม่แพง ก็เพราะเป็นญาติกัน โดยจ่ายค่าเช่า 2 หลังอีก 3 หลังไม่มีคนอยู่ เสี่ยแต๋มก็เลยฝากให้ “บิ๊กโจ๊ก” ดูแล
แต่ “เสี่ยแต๋ม” เหมือนไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม พอมีนักข่าวโทรศัพท์ไปสอบถามเรื่องบ้านเจ้าปัญหา“เสี่ยแต๋ม” ก็บอกมาเลยว่า เขาไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ตั้งหลัก ต่อสู้ว่าเป็น “บ้านเช่า” ไม่ใช่ “บ้านฟรี”ความตึงเครียดก็ไปตกที่ “เสี่ยแต๋มอุดรฯ” เขาจะต้องถูกพนักงานสอบสวนเรียกสอบปากคำ และต้องมีหลักฐานมายืนยันให้ตรงกับของ “บิ๊กโจ๊ก” ด้วย
แต่การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ต่อสู้ว่า เช่าบ้าน 5 หลัง มาจาก “เสี่ยแต๋ม” ก็อาจเป็นการแก้ตัวแบบเมาหมัดของ “บิ๊กโจ๊ก” เพราะค่าใช้จ่ายส่วนกลางหมู่บ้าน จำนวน140,000 บาท ที่เสี่ยแต๋มออกให้นั้น อาจเท่ากับบิ๊กโจ๊ก ได้รับของขวัญเกิน 3,000 บาท ตามประกาศของ ป.ป.ช. ใครฝ่าฝืน มีโทษจำคุกถึง 3 ปี นี่เป็นอีกคดีที่อาจต้องไปสู้กัน
อ้างหมายค้นไม่ถูกต้อง
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล มอบหมายให้ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ดำเนินการยื่นคำร้องขอศาลไต่สวนการละเมิดอำนาจของศาล อ้างว่ามีการขอออกหมายจับและการขอออกหมายค้นของชุดปฏิบัติการกรณีเมื่อวันจันทร์ที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมาว่าไม่มีการระบุยศหรือตำแหน่งของนายตำรวจ โดยถ้าหากมีการระบุต่อศาลให้ละเอียด ศาลจะไม่มีการอนุมัติหมายจับ แต่จะต้องออกหมายเรียกก่อน
อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริง ตามกฎหมาย การอออกหมายค้นเจ้าหน้าที่ต้องยึดตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ดังนั้นถึงแม้จะมียศตำรวจ ก็จะมีคำนำหน้าเป็นนาย นางสาว เหมือนประชาชน อีกทั้งการขัดขวางเพื่อเข้าประวิงเวลาในการตรวจค้นก็มีความผิด
และคดีนี้เป็นคดีการพนันที่ขยายผลมาจากคดี“มินนี่” ที่ต้องขึ้นศาลเดียวกัน อุปมาเหมือนตำรวจไปนั่งเล่นไฮโลกับชาวบ้าน ก็ต้องขึ้น “ศาลอาญาธรรมดา” ไม่ใช่เป็น “คดีข้าราชการทุจริต” ที่ต้องไป“ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ”ตามที่ทนายบิ๊กโจ๊กอ้าง
พบชื่อผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติด เครือข่ายมินนี่ จ่ายค่าไฟบ้านทั้ง 5 หลัง
มีหลักฐานการจ่ายค่าไฟโดยใช้บัญชีม้าของเครือข่ายมินนี่ ที่เป็นผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติด เจ้าของบัญชีม้าคือ นายครรชิต สองสมาน เคยต้องโทษคดีค้ายาเสพติด เป็นคนจ่ายค่าไฟทั้ง 5 หลัง
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า เส้นทางการเงินทั้งหมดไม่ได้มาที่ตัวเอง เป็นเรื่องของลูกน้อง ส่วนตัวไม่ได้รู้จัก “มินนี่” แต่ลูกน้องรู้จักส่วนประเด็นเรื่องลูกน้องเดี๋ยวจะต้องไปถามดูว่าติดพนันหรือเปล่า เล่นเว็บพนันหรือไม่ ใช้บัญชีม้าเพราะอะไร
นายสนธิ กล่าวว่า สรุปง่ายๆ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์พลาดตั้งแต่ตอนแรก จริงๆ ถ้าตำรวจมาค้นต้องระงับความโกรธเพราะตัวเองรู้อยู่แล้วว่าค้นก็ไม่เจออะไร ต้องนิ่งให้เป็น ตัวเองเป็นถึงรอง ผบ.ตร.ต้องรู้อยู่แล้วว่าคดีนี้มันคดีขี้หมา แต่อาจจะเป็นขี้ช้างถ้าเส้นทางเงินโยงถึงใคร เรื่องนั้นน่ากังวลมากกว่า แต่มาถกเถียงกันเรื่องบ้าๆ บอๆ แสดงว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์อาการหลุด ไม่มีทรง
“แล้วเรื่องทั้งหมดมันจะจบลงอย่างง่ายที่สุดสำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล คำพูดของคนที่มีสติ คิดเป็น ไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง คือคำพูดที่บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ของผม ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และผมมั่นใจว่าผมไม่ผิด เชิญตามสบาย จะทำอะไรก็ทำไป” ตรงนั้นต่างหาก”
นายสนธิกล่าวต่อว่า แต่คนอย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์นั้น เป็นคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ใช้ผู้สื่อข่าว ใช้เครือข่ายนักข่าวซึ่งตนเองมีส่วนผูกพันให้การสนับสนุนมาตลอด ซึ่งตอนหลังก็ยอมรับว่าเคยให้เงินนักข่าว ให้แม้กระทั่งคนที่ชื่อ “เค” นักข่าวที่เป็นมือเป็นไม้ให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ทนายความที่ใช้คือนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความนายชูวิทย์ ก็แสดงว่า “บิ๊กโจ๊ก” กับ“ชูวิทย์” มีความสนิทสนมกันมาก จึงส่งนายเคมาช่วย
การออกมาแก้ตัวในขณะที่จิตใจสับสน คำพูดที่ออกมาจึงไม่เหมือนกับที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เคยพูดว่าความจริงมีหนึ่งเดียว แต่พลาดอย่างแรงที่ไม่ยอมแพ้ใคร คิดว่าตัวเองมีเครือข่ายสื่อมวลชน ซึ่งตอนนี้สมาคมนักข่าวก็เริ่มจยับตัวแล้ว หลังจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์บอกว่าเคยให้เงินนักข่าวครั้งละหมื่น จะตั้งกรรมการสอบแล้ว
และมีข้อน่าสังเกตว่านายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ มักจะให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไปออกรายการเพื่อแก้ข้อกล่าวหาเรื่องต่างๆ บ่อยครั้ง ไม่แน่ใจว่าได้จ่ายเงินให้นายดนัยหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องผิดปกติที่หลายครั้งไม่ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะไปเปิดงานอะไรก็ตามนายดนัยก็จะเอามาออกตลอดซึ่งผิดธรรมชาติเนื้อหาของรายการ จึงมีคนถามว่านายดนัยอยู่ในรายชื่อที่จ่ายเงินให้หรือเปล่า ตนไม่ทราบ
“ความที่คุณไม่มีทรงเลย ทำให้คุณพูดออกไปด้วยความคั่งแค้น และคำพูดที่ออกไปทำให้คุณติดลบมาก ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดว่า “เรื่องนี้ผมไม่เอาคืนหรอกครับ แต่ข้อมูลผมมีมาก ผมเปิดเมื่อไรก็ตายกันหมด แต่ยังไม่ขอบอก ผมไม่เอาคืน แต่ข้อมูลมีเยอะ”
“ทำไมคุณสุรเชษฐ์ไม่เปิดเลยหละ ถ้าคุณมีข้อมูลเยอะว่าตำรวจใน สตช.หรือใครบางคนที่เป็นศัตรูของคุณ ทำอะไรผิดพลาดไว้เยอะ คุณเป็นเจ้าหน้าที่ คุณรู้ว่าคนนี้ทำผิด คุณต้องดำเนินคดีเขา การที่คุณไม่ทำแล้วคุณมาอ้างว่าคุณมีข้อมูลเยอะ นอกจากเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว คุณจะถูกมองว่ากำลังใช้ข้อมูลนี้แบล็กเมล์คน อันนี้ไม่ถูกต้องคุณสุรเชษฐ์
“เพราะคุณพูดมากจนเกินไป แทนที่จะเงียบๆ สงบๆ พูดสุภาพๆ ว่าผมไม่มีอะไรตอนนี้ ผมยืนยันในความบริสุทธ์ของผม ผมไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เชิญตามสบายครับ ผมพร้อมที่จะสู้คดีทุกเรื่อง เพราะผมไม่ผิด คุณพูดแค่นี้ก็จบแล้ว แต่นี่คุณมาท้าทายว่าถ้าเปิดตายหมู่ทั้ง สตช. คนอีกด้านเขาก็บอกว่าเฮ้ย นี่คุณกำลังแบล็กเมล์ใครหรือเปล่า ประชาชนก็รับไม่ได้” นายสนธิกล่าว
นายสนธิกล่าวอีกว่า หลายๆ เรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดออกมา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอาการเมาหมัดหรือเปล่า เพราะเรื่องทั้งหมดยิ่งพูดยิ่งดูแย่ ทั้งลูกน้องตัวเอง ลามไปจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้แต่สมาคมนักข่าวก็นั่งกันไม่ติด
“ข้อผิดพลาดของคุณเรื่องความหิวแสง ตอนนั้นผมเตือนด้วยความหวังดี แต่คุณก็เข้าใจผิด หาว่าผมไปเล่นงานคุณ คุณฟาดงวงฟาดงาจนกระทั่งวันนี้ผมเข้าใจว่าคุณเริ่มรู้ตัวละ คุณบอกว่าจะไม่พูดอีกละ คุณไม่ควรจะพูดตั้งแต่วันที่ตำรวจไปค้นบ้านแล้ว คุณต้องออกมาแล้วพูดบอกว่า ผมไม่ผิด หรือพูดสั้นๆ เพียงว่าผมมั่นใจว่าถูกกลั่นแกล้ง ก็จบแค่นั้นเอง แล้วความจริงก็จะปรากฏเมื่อสู้คดีต่อไป” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เชื่อเรื่องโหราศาสตร์มาก ทราบมาว่า มีหมอดูที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้ความเชื่อถือมากบอกว่า ถ้าไม่ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในปีนี้ ต้องรออีก 4 ปีจึงจะมีโอกาส ความที่อยากเป็น ผบ.ตร.มากทั้งที่ยังเหลืออายุราชการอีก 7-8 ปี จึงพยายามดิสเครดิตใครก็ตามที่เป็นคู่แข่ง และคู่แข่งก็มีอยู่คนเดียว คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล
ทั้งนี้ หากพูดถึงหลักเกณฑ์การคัดเลือก ผบ.ตร.โดยใช้อาวุโสแล้ว ถ้าไปอ่านกฎหมายจริงๆ บอกเพียงว่าให้คำนึงถึงเรื่องอาวุโสเอาไว้ คือพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ ถ้าพิจารณาแล้วไม่ใช้หลักอาวุโสก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนว่าคนที่จะเป็น ผบ.ตร.ต้องมีอาวุโสเท่านั้น
“เท่าที่ผมทราบมามีเส้นทางการเงินอยู่ 152 เส้นทาง ในเส้นทางการเงินนั้นพาดพิงไปถึงหลายๆ คน รวมทั้งคนที่ใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผมเป็นห่วงคุณสุรเชษฐ์ คุณกับผมรู้จักกันดี ถ้าคุณจำได้ผมเคยเตือนคุณไว้ ผมบอกว่า โจ๊ก คุณมีเวลาตั้ง 7-8 ปี อย่ารีบร้อน แล้วผมก็เตือนว่าถ้าคุณได้ขึ้นโดยที่คุณยังมีเวลาอีก 7-8 ปี คนอื่นเขาขวางคุณแน่นอน เขาไม่ให้คุณขึ้น
“คุณก็พยายามที่จะสร้างชื่อเสียงของคุณมา ให้ประชาชนเห็นว่าคุณเป็นไอดอล เป็นตำรวจน้ำดี จริงๆ คุณขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร.แล้วหาทางวิ่งไปเป็นอธิบดีดีเอสไอเสียงยังจะดีกว่า แต่เป็นเพราะคุณเชื่อหมอดูคนนั้นมากเกินไป ว่าถ้าไม่ขึ้นภายในปีนี้ อีก 4 ปีก็ไม่ได้ขึ้น ต้องรอปีที่ 5 ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมไม่ได้เกลียดคุณ ผมก็ยังเตือนคุณด้วยความหวังดี ถ้าคุณพลาดผมจะคอยเตือนคุณ และผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นตำรวจที่ดีได้ถ้าคุณใจเย็น”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตำรวจชั้นทุกคนใน สตช.ไม่มีใครไม่รับเงิน บางคนอาจจะรับด้วยวิธีทำเป็นพระยืน“เปิดบาตร”เอีกแบบคือก็จัดทีม“นายพราน”ออกล่าเอง กรณี “มินนี่” เป็นขาใหญ่หน้าเสื่อเก็บส่วยเว็บพนันส่งตำรวจและเกี่ยวข้องกับตำรวจมือซ้ายมือขวาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะไม่รู้เรื่อง แต่ความรับรู้ของประชาชน เขาจะไม่คิดว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของหลักฐานแล้ว กลายเป็นว่าความเชื่อถือของประชาชนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า perception นั้นมีมากน้อยแค่ไหน
นายสนธิ กล่าวว่า ตอนนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เหมือนโดนต่อยก่อน จริงๆ แล้ว ถ้ายึดหลักตรงไปตรงมา มีข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูคู่อาฆาต และเป็นข้อมูลจริง แล้วเล่นงานเขาไปก่อน สภาพจะไม่เป็นแบบนี้ พอโดนต่อยก่อนก็เมาหมัด กว่าจะรู้ตัว ก็ผ่านไป 2-3 วันถึงออกมาบอกว่าหยุดพูดแล้ว
นายสนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า แวดวงตำรวจ ณ ปัจจุบันนั้นแม้แต่การใช้คำว่า“ปฏิรูป”ไม่เพียงพอแล้ว ต้องถึงขั้น“ปฏิวัติ”เสียด้วยซ้ำ ปัญหาใหญ่ที่อยากฝาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ที่มีเวลา 1 ปี ต้องทำงานให้เข้าตาประชาชน ผลประโยชน์ที่อาจจะเคยมีมาก่อนหรืออย่างไรก็ตาม ที่มาล่อใจต้องไม่รับทั้งสิ้น นั่นเป็นทางออก แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีเครือข่ายสื่อมวลชนเต็มไปหมด และมีพรรคการเมืองคือพรรคก้าวไกลหนุนหลังอยู่ นายรังสิมันต์ โรม ก็จะพูดในสภา เอาข้อมูลมาจากไหนก็พอจะรู้ เอามาฟาดฟัน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพราะฉะนั้นจะเป็น 1 ปีที่ทุกข์ทรมานสำหรับ ผบ.ตร.คนที่ 14