“สนธิ” ชี้ การเพิ่มสมาชิกกลุ่ม BRICS เป็น 11 ประเทศ กลายเป็น BRICS+ และมีอีกหลายประเทศจ่อคิวเป็นสมาชิก คือการก่อเกิดมหาอำนาจใหม่ ที่จะรุกฆาตมหาอำนาจเก่าที่นำโดย “พญาอินทรี” สหรัฐอเมริกา โดยที่ BRICS มีข้อได้เปรียบถึง 10 ด้าน และมีเงื่อนไขที่เสมอภาคและเป็นกันเองกับสมาชิกมากกว่า จนอีกไม่นานอาจมีสมาชิกถึง 100 ประเทศ กลายเป็น UN 2 ที่มีบทบาทแทน UN เดิมซึ่งถูกครอบงำโดยชาติตะวันตก
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการประชุมคลุ่ม “บริกส์ (BRICS)” ที่ประเทศแอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่ง กลุ่มบริกส์เป็นประเทศกําลังพัฒนายักษ์ใหญ่ที่มีการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบไปด้วย B - บราซิล R - รัสเซีย I - อินเดีย C - จีน S - แอฟริกาใต้
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเข้าไปดูเนื้อหาของการประชุม BRICS ครั้งล่าสุดว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมของโลกอย่างไรบ้าง อยากจะเอาที่มาที่ไปและการล่มสลายของแต่ละจักรวรรดิ ที่มีมาตั้งนานแล้ว และมีบทความที่น่าสนวจ เขียนโดยนายบิล โฮลเตอร์ (Bill Holter) ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์และอยู่ในแวดวงหลักทรัพย์ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เล่นหุ้นตัวฉกรรจ์ เกือบสามสิบปี โดย “สายัณห์ รุจิรโมรา” ได้แปลออกมา แล้วก็ปรากฏในเพจของ “ทนง ขันทอง” จึงขอเอาบางส่วนเอามาเล่าให้ฟัง ซึ่งจะทำให้เข้าใจว่าทำไม BRICS ถึงมีความสำคัญมาก
พวกเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มีเกิดขึ้นมาก่อนหลายๆ ศตวรรษ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในหลายๆ ศตวรรษ ตอนนี้ที่กำลังถกเถียงคือเงินกระดาษ แบงก์กระดาษที่เราเรียกว่า "เฟียตมันนี่" (Fiat Money) เผอิญมีมหาอำนาจใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วพังลงไป ย้อนประวัติศาสตร์กลับไปยุคจักรวรรดิโรมัน พังหมดในอดีต ยุคนี้มีจักรวรรดิอเมริกัน จักรวรรดิอเมริกันนี่เสวยสุขมาช่วงไหน ? จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะว่าชนะสงคราม(สงครามโลกครั้งที่2) หรอก จริงๆ เขารบกันมาตั้งนานแล้ว อเมริกาเพิ่งเข้าไประยะสองปีสุดท้าย ก็คือว่ามีความพร้อมมากกว่า มีความสด ไม่บอบช้ำ อเมริกาเข้าไปก็เลยทำให้ชนะสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด แต่ว่าที่เสริมอาวุธให้อเมริกากลายเป็นอเมริกาทุกวันนี้ก็คือ การประชุมที่เมืองเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods)
นั่นคือวันที่อเมริกาประกาศว่าจะให้โลกทั้งโลกใช้ดอลลาร์เป็นเงินสำรอง ยกเลิกทองคำ สมัยก่อนเงินดอลลาร์ทุกคนผูกติดกับทองคำ อเมริกาในยุคประธานาธิบดีนิกสัน ทิ้งไปเลย บอกเอาเงินดอลลาร์ ตอนนี้เงินดอลลาร์มันกำลังจะพังแล้ว ถ้ามันพัง จะไม่ใช่แค่ศูนย์อำนาจในเขตเดียว หรือแค่อเมริกา มันทั้งโลกเลย มันมีปัญหาว่าถ้าดอลลาร์พังไป อำนาจทางการเมือง การทหาร ปัญหาทางการเมืองในสหรัฐฯ การบังคับใช้กฎหมาย การเงิน ประเด็นสังคม ปัญหาเหล่านี้ ขณะนี้ในอเมริกาดุเดือดเลือดพล่านเลย การปล้นสะดม การขโมยของเกิดขึ้นในทุกรัฐ คนที่ยังต้องการความฝัน หรือที่เรียกว่า American Dream ลืมไปเลย ประเด็นต่างๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น
ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอำนาจทางการเมือง การทหาร การเมืองภายในสหรัฐฯ การบังคับใช้กฎหมาย การเงิน ประเด็นสังคม มันเกิดขึ้นมาตลอด แต่มันเกิดขึ้นทีละเรื่องๆ มางวดนี้มันเกิดขึ้นพร้อมกันหมดเลย แล้วเกิดขึ้นในระดับโลกด้วย
ถ้าเรามองย้อนหลังประวัติศาสตร์ที่มหาอำนาจก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าจักรวรรดิของโลกหลายรายแล้ว มีอำนาจทางการทหาร การเงิน ในโลกตะวันตกตั้งแต่สมัยดัตช์ ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐฯ แต่ละราย ซึ่งเหมือนกับรายก่อนๆ ที่ล่มสลายไป การมีอำนาจทำให้ทุกคนแสวงหาความมั่งคั่งเพิ่มไม่สิ้นสุด ประชาชนในประเทศตัวเองก็ปลื้มกับผู้นำ ใช้จ่ายกันอย่างสนุกสนาน จนในที่สุดก็ถึงเวลาต้องม้วนเสื่อ และนี่เป็นช่วงเวลาอันตรายเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้
บิล โฮลเตอร์ บอกว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่มีคนบ้าคลั่ง มีอำนาจกดปุ่มทำลายล้างได้ทันที เราอยู่ในช่วงที่มีหนี้จำนวนมากแบบไม่เคยเห็นมาก่อน เขาบอกเลยว่า หนี้ของอเมริกานั้นไม่มีวันชำระคืนได้ด้วยเงื่อนไขปัจจุบัน อยู่ในช่วงที่ห่วงโซ่การผลิต หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Supply Chain เปราะบางที่สุดในประวัติศาสตร์
ตอนนี้โลกอยู่ในยุคของตะวันตกสู้กับตะวันออกมาตลอดนับพันปี โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีให้หลังมานี้ ประเทศทั่วโลกต่างรับรู้ได้ชัดเจนที่สุดว่าโลกตะวันตกกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ เหยียบหัวคนทั่วโลก และกำลังหนักขึ้น ด้วยเหตุนี้คนที่ถูกเหยียบหัว ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย หรือประเทศทางใต้ ที่เขาเรียกว่า South กำลังร่วมมือกันเพื่อสร้างเส้นทางการส่งสินค้าและการค้าที่เป็นของตัวเอง เพื่อหลีกห่างจากการเอารัดเอาเปรียบของอเมริกา โดยเริ่มแรกก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ
BRICS มีอายุประมาณ 15-17 ปี ตั้งมาแล้ว ค่อยๆ ไปทีละปีๆ แต่ตอนนี้เส้นทางและกลไกดังกล่าวกำลังถูกเร่งเครื่องอย่างรวดเร็ว
การประชุมของกลุ่ม BRICS มีการเพิ่มสมาชิกใหม่ 6 ประเทศ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน ที่เข้ามาพร้อมกันนี้ไม่ธรรมดาแน่ ต้องไม่ลืมว่าซาอุดีอาระเบียนี่เองที่เป็นผู้แจ้งเกิดให้กับเปโตรดอลลาร์ คือการบังคับให้คนที่ซื้อน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียให้ใช้เงินดอลลาร์ ซึ่งอเมริกาไปบีบบังคับให้ซาอุดีอาระเบียว่า เขาจะป้องกัน ประกันความปลอดภัยของซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียต้องบังคับให้ทุกคนที่ซื้อน้ำมันใช้เงินดอลลาร์ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2516 หรือห้าสิบปีที่แล้ว ถ้าโลกไม่มีเปโตรดอลลาร์ ชาวโลกทุกวันนี้คงไม่ต้องทุกข์ยากแบบที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวันนี้ นี่คือกลุ่มประเทศที่เป็นตัวแทนชาวโลก ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ชาวโลกทั้งโลกส่งสินค้าตัวจริง สินค้าก็คือปลูกข้าวมา 1 เกวียน ผลิตสินค้ามาเป็นเครื่องจักร โน่นนี่นั่น คือพูดง่ายๆ ว่า Real goods สินค้าตัวจริง ให้กับโลกตะวันตก เพื่อแลกกับเงินตราปลอมๆ หรือกระดาษดอลลาร์มาตลอด
เอาเปรียบขนาดนี้ยังไม่สะใจ อเมริกายังไปแซงก์ชันประเทศอื่นๆ ที่ขัดใจเขา ที่หนักที่สุดเหมือนฟางเส้นสุดท้ายคือ อเมริกายึดทองคำของเวเนซุเอลา เพราะนโยบายทางการเมืองไม่เหมือนกัน พูดแล้วไม่เชื่อ กระด้างกระเดื่อง ก็เลยยึดทองคำไปเลย สหรัฐฯ ก็ยึดเงินทุนสำรองของรัสเซียที่เป็นดอลลาร์ไป ยังไม่พูดถึงการข่มขู่ประเทศที่ไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายสหรัฐฯ ตัดออกจากระบบการเงินการทำธุรกรรมของ SWIFT ที่อเมริกาอยู่เบื้องหลัง เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้ทุกประเทศกระโดดกันตัวยาว เผ่นหนีกันกระเจิดกระเจิง แล้วก็หาทางเลือกการเงินการค้าที่ไม่ได้ถูกควบคุมจากโลกตะวันตก
ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ทองคำมีการไหลจากตะวันตกมาสู่ตะวันออกเป็นจำนวนมาก อำนาจก็เลยไหลตามมาด้วย ตอนนี้โลกอยู่ในยุคที่น่ากลัวกว่าตอนปี 1929 หรือในช่วงที่เศรษฐกิจในอเมริกาล่มสลาย แล้วกระเทือนมาจนถึงปี 1932 ในยุคที่มีการยึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง 2475 การเปลี่ยนแปลงนั้น ข้าวยากหมากแพง ที่ทำให้ทหารขึ้นมายึดอำนาจกษัตริย์ แล้วล้มระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปก็เพราะว่าการล่มสลายของเศรษฐกิจในโลกนี้
อเมริกาตอนนั้น ปี 1929 เป็นอำนาจใหม่ กำลังจะมาแทนที่จักรวรรดิอังกฤษที่กำลังถดถอย อเมริกาได้ลดมูลค่าเงินดอลลาร์ลงต่อทองคำเพื่อสู้กับเงินฝืด และสงครามก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นำมาใช้
มาตอนนี้จีนเป็นอำนาจใหม่ อเมริกากำลังถอย ครั้งนี้สงครามจะเป็นเครื่องมือต่อสู้ของอเมริกาด้วยหรือเปล่า คือพูดง่ายๆ ว่าอเมริกาสู้ทางเศรษฐกิจไม่ได้ก็จะสร้างสงครามขึ้นมา แต่คำถามคือ อเมริกาวันนี้กล้าไหม เพราะว่าทั้งจีน และรัสเซีย ต่างพัฒนาปรับปรุงแสนยานุภาพ คือรอมาเป็นสิบๆ ปี ที่สร้างตัวเองให้แข็งแกร่งทางด้านแสนยานุภาพ เพราะคู่ต่อสู้วันนี้ของอเมริกาเหมือนในอดีต ไม่หมูแล้ว เทคโนโลยีทางการทหารหลายๆ เรื่อง รัสเซีย กับจีนเหนือกว่าอเมริกาเยอะ ส่วนเรื่องทองคำนั้นเป็นเรื่องที่ต่างจากในอดีต ไม่ช้าจีนจะปรับเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองประเทศเพิ่มสูงจากปัจจุบันหลายเท่าตัว การผลักปรับค่าทองคำคงจะมากจนเกิดหลุมดำในงบดุล นั่นจะเป็นการช่วยธนาคารชาติอื่นๆ ที่เก็บทุนสำรองในรูปทองคำไปด้วย
ที่สำคัญคือ จากการที่อเมริกาไม่เคยตรวจสอบปริมาณทองคำที่ตัวเองมีอยู่เลย ตั้งกี่ปีมาแล้ว ? ปี 1956 ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อได้ว่าอเมริกาไม่มีทองคำเหลือแล้ว นอกจากมีอยู่ใต้เหมืองที่ยังไม่ได้ขุดออกมา
ปกติแล้วประเทศที่มีหนี้มากกว่าจีดีพีมาก จะถูกเรียกว่า Banana Republic หรือสาธารณรัฐกล้วยหอม แต่สำหรับอเมริกาแล้ว หนี้อย่างเป็นทางการคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP คือ 125 เปอร์เซ็นต์ ต่อจีดีพีประเทศไปแล้ว นี่คือหนี้ที่ปรากฏ ที่เปิดเผยนะ แต่ยังมีภาระหนี้ผูกพันที่สัญญาจะจ่ายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการสังคมที่อเมริกาจะต้องจ่ายต่อไปในอนาคตให้กับคนจำนวนมากเข้ามารวมด้วย เขาบอกว่ายอดหนี้ของอเมริกาจะขึ้นจาก 125 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี น่าจะขึ้นถึง 1 พันเปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี แต่ อเมริกายึดถือว่าจะมีหนี้เท่าไร กูไม่สนใจ เพราะว่าใช้เงินดอลลาร์เป็นทุนสำรองของโลกอยู่แล้ว แต่พอมาตอนนี้อัตราดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้นเหมือนช่วงปี ค.ศ. 2001 การทำการรัดเข็มขัดแต่ละครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 หรือช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา มันทำให้เกิดปัญหาทางการเงินจนต้องมีอะไรสักอย่างพังลงไป ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ขยะ ที่เขาเรียกว่า Junk Bond หุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่คราวนี้มันจะเป็นทุกอย่างเลยที่ต้องพังไป เพราะทุกทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์ทั้งนั้น มันจะลากเอาธนาคารกลางทั้งหลาย หรือกระทรวงการคลังพังไปด้วย รวมทั้งเงินกระดาษ หรือเงินเฟียต (เงินกระดาษ ภาษาอังกฤษเรียกว่า เงินเฟียต : Fiat Money)
จะขอเพิ่มเรื่องน่าตื่นเต้นหน่อย ตอนนี้ Money Supply ลดลงมาเกินกว่า 18 เดือนแล้ว แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1930 การหมุนเวียนก็ลดต่ำกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจที่อเมริกาอ้างอิงนั้น เขาตั้งคำถามถามว่ามันเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ปลอม แต่งบัญชีกัน ที่บอกว่าอัตราว่างงานอเมริกาอยู่ระดับ 3.6 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้อย่างไร แล้วเงินเฟ้อที่บอกแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ใช่ เขาเข้าใจว่าเงินเฟ้อน่าจะอยู่ระดับ 7-8 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าราคาสินค้าในตลาดยังพุ่งขึ้นไม่หยุด เงินฝากในอเมริกาไหลออกจากแบงก์ไม่หยุด อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนเช่า ก็ไม่มีใครต้องการ ซึ่งในที่สุดอีกหน่อยตึกต่างๆ พวกนี้ก็จะเป็นบ้านที่พักอาศัย งบประมาณ ภาครัฐ รัฐบาลอเมริกาต้องกู้มาเพื่อใช้จ่ายอีกอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์
พวกอนุพันธ์ต่างๆ ที่มีมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้น จะไปได้สวยหรืออย่างไร มันก็ต้องพังอีกเช่นกัน ทุกอย่างมันจะพังลงทันทีที่เครดิตไปต่อไม่ได้ เครดิตนั้นอยู่ได้เพราะความน่าเชื่อถือ แล้วคนอเมริกันหรือในโลกนี้เชื่อถืออะไรได้บ้าง
ประเด็นของนายบิล โฮลเตอร์ คือ ย้อนไปเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว ค.ศ. 1929 หรือ พ.ศ. 2472 ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก The Great Depression ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นในเชิงทั่วโลกนะ แต่ทุกวันนี้ภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาที่กำลังจะพังลงไป มันเชื่อมผ่านไซเบอร์ เชื่อมผ่านระบบดิจิทัล วันนี้เกิดขึ้นในอเมริกา วันนี้ประเทศไทยรู้เรื่อง ได้รับผลกระทบ บิล โฮลเตอร์ ก็เลยมองว่าวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นการมัดรวมวิกฤตในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สะสมมาเรื่อยๆ และรวมมาเลย บิล โฮลเตอร์ บอกว่าชีวิตเขาเคยทำงานในวงการเงินผ่านช่วงวิกฤตมาแล้วทุกช่วง แต่ครั้งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้คือวิกฤตในวิกฤตอีกที แล้วหลังจากนั้นจะเป็นการเอาคืนของธรรมชาติ ก็คือมันก็ต้องล่มสลายไปตามหลักธรรมชาติ
ถ้าดูในเชิงคณิตศาสตร์ ระบบการเงินของโลกพังแน่ ถ้าในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เราเห็นว่าจักรวรรดิหนึ่งกำลังล่มสลาย ล้มละลาย ก็คืออเมริกา ไม่มีกฎหมายใดจะพึ่งได้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ บิล โฮลเตอร์ บอกว่าระวังจะไม่ระบุเวลาแน่นอน ไทม์ไลน์วิกฤตจะเริ่มเมื่อไร ตอนนี้บิล โฮลเตอร์ เชื่อว่าถ้ามันเกิด มันจะเกิดแบบฉับพลัน บิล โฮลเตอร์ เชื่อว่าเมื่อมีเรื่องใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าที่ไหนในโลก มันจะมีเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ที่จะเปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หน้ามือเป็นหลังมือ แล้วพวกเราจะมีพฤติกรรมแบบนกกระจอกเทศ คือเอาหัวมุดดิน ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น บิล โฮลเตอร์ แนะนำทิ้งท้ายว่า ให้ทุกคนเตรียมพร้อมทางการเงิน สังคม สุขภาพ ให้มากที่สุด
นั่นคือประวัติศาสตร์ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ เรามาพูดถึงจุดเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
กลุ่ม BRICS ก่อตั้งเมื่อปี 2549 ภายหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ วันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกจำนวนมาก ต่างเห็นพ้องกันว่า ดุลอำนาจของโลกกำลังจะเปลี่ยนไป โดยกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่จากซีกโลกตะวันตกกำลังจะมีบทบาทต่อโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ และโลกในอนาคตจะมิได้ถูกกำหนดตามรูปแบบของอเมริกานุวัตร (Americanization) แต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดผู้นำ BRIC ครั้งแรกถูกจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2552 ที่เมืองเยคาเตรินบุร์ก รัสเซีย ขณะที่การประชุม BRICS เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถือเป็น ครั้งที่ 15 แต่ถือว่ามีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจากเดิมทีตอนก่อตั้งเมื่อ ปี 2549 BRIC มี สมาชิก 4 ชาติ อีก 5 ปีต่อมาคือคือ ปี 2554 ก็เพิ่มแอฟริกาใต้เข้ามากลายเป็นสมาชิกลำดับที่ 5 ของกลุ่มอย่างเป็นทางการ ทำให้จาก BRIC กลายเป็น BRICS โดยหลังจากนั้นก็ไม่ได้เพิ่มจำนวนสมาชิกอีกเลยเป็นเวลา 12 ปี จนกระทั่งปีนี้ในปี 2566
ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม BRICS ระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม 2566 ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ได้มีมติต้อนรับสมาชิกใหม่อีก 6 ประเทศ ทำให้ขณะนี้กลุ่ม BRICS มีสมาชิก 11 ประเทศ โดยมีสมาชิกใหม่ คือ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อาร์เจนตินา อิหร่าน และเอธิโอเปีย ที่จะเข้าร่วมกลุ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า หรือปี 2567
การขยายกลุ่ม BRICS เป็นBRICS+ ครั้งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก โดยได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศ BRICS ที่จะรวมตัวกันและร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตลาดเกิดใหม่ ยุติการเป็นผู้บงการโลกของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศชาติตะวันตก
สังเกตได้ว่าประเทศที่เข้ามาใหม่เริ่มมากจากตะัวนออกกลาง และประเทศเล็กอย่างเอธิโอเปียเข้ามา ซึ่งมีนัยสำคัญมาก เพราะเอธิโอเปียเดิมเป็นประเทศยากจน ได้รับการช่วยเหลือด้านการพัฒนาประเทศจากจีนจนเป็นประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนลาตินอเมริกาก็เพิ่ม อาร์เจนตินาเข้ามา ตะวันออกกลางก็เพิ่มอิหร่าน ยูเออี เข้ามาอีก สรุปง่ายๆ ว่าสมาชิกทั้ง 11 ประเทศตอนนี้ครอบคลุมภูมิรัฐศาสตร์ทุกทวีปแล้ว
10 หมาก BRIC+ รุกฆาต พญาอินทรี
1. ขนาดเศรษฐกิจ - เมื่อรวมขนาดของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเหล่าสมาชิกกลุ่ม BRICS+ เข้าด้วยกัน ขนาดของ GDP จะใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 30%
GDP รวมของกลุ่ม BRICS+ มีสัดส่วนมากถึง 30% ของขนาดเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีอนาคตที่เศรษฐกิจจะเติบโตไปอีกนานหลายปีด้วย ต่างจากสหรับอเมริกาและยุโรปที่มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
2. การส่งออก - การขยายตัวของกลุ่ม BRICS+ จะทำให้สัดส่วนการส่งออกของชาติสมาชิกเพิ่มจาก 20% ของปริมาณการค้าทั่วโลก เป็น 25% และที่สำคัญของชาติสมาชิก BRICS+ ล้วนแต่เป็นชาติที่มีฐานทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ มีเศรษฐกิจที่เกิดจากการผลิตจริง หรือ Real Sector ไม่ใช่ประเทศที่มีฐานเศรษฐกิจจากการ “ปั่นเงิน” เหมือนสหรัฐและชาติตะวันตก
3. BRICS+ จะเป็นมหาอำนาจใหม่ด้านน้ำมันและพลังงาน สหรัฐฯ จะสูญเสียความสามารถในการควบคุมการไหลเวียนของน้ำมันในตลาดโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การสูญเสียสถานะของ เปโตรดอลลาร์ (Petrodollar) หรือ ปริมาณสำรองน้ำมันของโลกกว่า 60% จะตกอยู่ในการควบคุมของเหล่าสมาชิกกลุ่ม BRICS+
การที่กลุ่มสมาชิก 5 ชาติเดิมของ BRICS ประกาศรับสมาชิกใหม่อีก 6 ชาติ เข้าร่วมกลุ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม ปีหน้า หรือ ปี 2567 โดยมีสมาชิกใหม่เป็นมหาอำนาจทางด้านพลังงานในตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอิหร่าน จะทำให้ BRICS+ กุมกำลังการผลิตน้ำมันมากถึง 43% ของกำลังการผลิตของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเลยทีเดียว
4. แร่ธาตุสำคัญ -สมาชิกกลุ่ม BRICS+ จะเป็นกลุ่มที่ควบคุมแร่ธาตุสำคัญในทางเศรษฐกิจทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการผลิตไมโครชิป, แบตเตอรี่ เช่น แร่ ลิเธียม แกลเลียม เจอร์เมเนียม นีโอดิเมียม เป็นต้น
5. ประชากรส่วนใหญ่ของโลก - BRICS+ จะเป็นกลุ่มตัวแทนคนส่วนใหญ่ของประชากรโลกอย่างแท้จริง โดย 11 ชาติสมาชิก BRICS+ มีจำนวนประชากรรวมมากกว่า 3,700 ล้านคน หรือคิดเป็น 46% ของประชากรโลก
ขณะที่ประชากรของสมาชิกกลุ่ม G7 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาติตะวันตกและคนผิวขาว (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีจำนวนประชากรราว 800 ล้านคน หรือราว 10% ของประชากรโลกเท่านั้น
ยิ่งสหรัฐฯ ซึ่งทำตัวเป็น"เจ้าโลก และ ตำรวจโลก"ยิ่งมีสัดส่วนจำนวนประชากรน้อยนิดเท่านั้นเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรโลกทั้งหมดคือ 340 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียงราว 4% เท่านั้น
การที่ BRICS+ ประกาศรับประเทศที่มีประชากรมากเข้าร่วม และเตรียมจ่อคิวเข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนตินา เอธิโอเปีย อียิปต์ อิหร่าน อินโดนีเซียฯลฯ ก็จะยิ่งทำให้สัดส่วนของประชากรของสมาชิกกลุ่ม BRICS+ นั้นใหญ่โตขึ้นและจะมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอย่างแน่นอน
6. ทลายกำลังผูกขาดด้านการเงิน - การที่กลุ่ม BRICS แสดงความประสงค์ และมีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการลดการผูกขาดของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปลดแอกชาติต่าง ๆ จากสภาพการเป็นข้าทาสทางเศรษฐกิจ และการเงิน ของสหรัฐฯ ที่ดำรงมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
อย่างที่ผมเคยอธิบายให้ฟังไปหลายครั้งแล้วว่า BRICS จะสร้างเงินสกุลใหม่ขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการทำการค้ารวมถึงการเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยเงินสกุลใหม่จะเป็นเงินดิจิทัล หรือ เป็นเงินสกุลใหม่ โดยจะอ้างอิงทองคำ หรือ ตะกร้าเงินชาติสมาชิกก็แล้วแต่ แต่เงินสกุลใหม่ที่ชาติสมาชิก BRICS จะนำมาใช้นั้นจะสั่นคลอนการผูกขาดของดอลลาร์สหรัฐฯ และการเป็นเจ้าโลกทางด้านเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
ทั้งนี้จีนจะเป็นหัวหอกในการสร้างเงินสกุลใหม่ของ BRICS นี้ขึ้นมา โดยปัจจุบันมีประเทศต่าง ๆ กว่า 15 ประเทศ ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ธนาคารบริกส์ (BRICS bank) เรียบร้อยแล้ว
7. ก่อกำเนิดองค์กรโลกบาลที่หลุดจากการครอบงำของตะวันตก – BRICS+ จะกลายเป็นกลุ่มสมาชิกของประเทศที่สร้าง องค์กรโลกบาล (Intergovernmental Organization) ที่ไม่ได้ถูกครอบงำจากชาติตะวันตกอย่างแท้จริง
อย่างที่ ในอดีตผมเคยเล่าให้ฟังหลายครั้งว่า องค์กรโลกบาล ด้านเศรษฐกิจและการเงินทั้งหลายในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารโลก (World Bank), กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) นั้นต่างมีมาเฟียใหญ่ เหล่าประเทศมหาอำนาจยืนอยู่ข้างหลังทั้งสิ้น สังเกตได้จากประธาน หรือ ผู้อำนวยการใหญ่ของแต่ละองค์กร จะถูกผูกขาดโดยบุคลากรของประเทศ หรือ ทวีปนั้น ๆ กล่าวคือสหรัฐอเมริกา คุมธนาคารโลกยุโรปคุมไอเอ็มเอฟญี่ปุ่นคุมเอดีบี
8. ระบบโอนเงินโลกที่มาทดแทนระบบ S.W.I.F.T.จากสงครามยูเครน-รัสเซีย ทั่วโลกได้เห็นฤทธิ์เดชของ ระบบ S.W.I.F.T. (สวิฟต์) เครือข่ายในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบคำสั่งข้อความที่ช่วยให้การโอนเงินข้ามประเทศจากธนาคารทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแม้ว่าสมาคมที่ควบคุมระบบ S.W.I.F.T. นั้นจะตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยม แต่แท้จริงแล้วเป็นที่รับรู้กันว่า ผู้ที่ควบคุมระบบนี้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็คือ สหรัฐอเมริกา ทำให้เมื่อเกิดสงครามในยูเครนขึ้น ชาติตะวันตกสมาชิกนาโต้ นำโดยสหรัฐอเมริกา และประเทศในอียูจึงสามารถแซงก์ชันรัสเซียได้ด้วยการตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงิน หรือ การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศอย่าง S.W.I.F.T. ได้ทันที
ทำให้ปัจจุบันรัสเซียต้องหันไปพึ่งพาระบบโอนเงินระหว่างประเทศของจีนแทน ส่วนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่เดินทางไปยังต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยก็ไม่สามารถใช้บัตรเครดิตของตะวันตกอย่าง Visa และ Mastercard ได้ ต้องหันไปใช้ระบบ UnionPay ของจีนแทน และล่าสุดได้ขอให้ไทยเปิดระบบเงินโอนเงินระหว่างประเทศที่ชื่อ Mir Payment ซึ่งเป็นระบบโอนเงินที่รัสเซียพัฒนาขึ้นเองแทน
การจับมือร่วมกัน และเพิ่มจำนวนสมาชิกของ BRICS+ จะทำให้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ธนาคารบริกส์” (BRICS bank) นั้นมีบทบาทอย่างสูงในการสามารถหาระบบการโอนเงิน และระบบการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแบบใหม่ ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจการครอบงำ และการแทรกแซงทางการเมืองของชาติตะวันตกอย่าง S.W.I.F.T. ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
9. หยุดยั้งการแซงก์ชัน และยึดทรัพย์โดยมิชอบจากมหาอำนาจตะวันตก จากกรณีก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นกรณีการสั่งให้แคนาดาควบคุมตัว นางเมิ่ง หว่านโจว อดีต CFO ของหัวเว่ย หรือ กรณีตัดรัสเซียออกจากระบบ S.W.I.F.T., การแช่แข็งบัญชีพ และยึดทรัพย์ของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในต่างแดนไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน อิรัก รัสเซีย หรือ พม่า แสดงให้เห็นถึง การใช้อำนาจรัฐนอกดินแดน ในการแทรกแซงรัฐบาล รวมถึงเอกชนของประเทศต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา เพื่อสกัดกั้น หรือ ทำร้ายทำลายประเทศ และบริษัทเอกชนต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
การรวมตัวกันของประเทศกลุ่ม BRICS+ ที่ใช้ระบบการเงินที่เป็นเอกเทศจากระบบของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก จะทำให้สหรัฐฯ และชาติตะวันตก ไม่สามารถใช้มาตรการทางการเงินและเศรษฐกิจ ผ่านการใช้อำนาจรัฐนอกดินแดน มาจัดการกับประเทศ หรือ เอกชนในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาได้อีกต่อไป
10. โลกหลายขั้วอย่างแท้จริง - การขยายตัวของ BRICS กลายเป็น BRICS+ จะเป็นการก่อกำเนิดระเบียบโลกใหม่อย่างแท้จริง ที่หลุดพ้นจาก โลกขั้วเดียว (Unipolar World) ที่ครอบครองโดยสหรัฐฯ ไปสู่ โลกหลายขั้ว (Multipolar World) ที่จะนำโดยชาติที่หลากหลาย และเป็นกลุ่มประเทศที่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของโลกอย่างแท้จริง
สรุป : การขยายตัว และเพิ่มจำนวนสมาชิกของกลุ่ม BRICS+ จะยังเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมครั้งล่าสุดที่แอฟริกาใต้ มี40 ประเทศส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ โดยในจำนวนนี้มี 20 ประเทศที่แสดงความจำนงขอเข้าร่วมกลุ่ม BRICS+ ในอาเซียนก็มีประเทศไทย อินโดนีเซียและเวียดนาม ที่ขอสมัครเป็นสมาชิกของ BRICS+ ด้วย
สาเหตุที่กลุ่ม BRICS+ ได้รับความสนใจการประเทศต่าง ๆ มากมาย ก็เพราะการเข้าร่วมที่เปิดกว้าง เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช้เรื่องการเมืองและประชาธิปไตยมาเป็นเงื่อนไขในความร่วมมือ
BRICS ประกาศท่าทีของตนต่ออเมริกาและกลุ่ม G7 ว่า BRICS ไม่ได้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ไม่ได้ต้องการสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ตรงกันข้ามกลับยินดีที่จะร่วมมือกันในระดับสากลเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่างเช่น กรณีพิพาทระหว่างรัสเซียกับยูเครน BRICS ก็ไม่ได้ถือหางฝ่ายใด ไม่ได้ส่งกำลังและอาวุธไปช่วยรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกของ BRICS และนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันโดยสันติ
ปณิธานของกลุ่ม BRICS แตกต่างจากมหาอำนาจตะวันตก ที่ต้องการผูกขาดอำนาจ ปิดล้อม-สกัดกั้นประเทศโลกใหม่ที่จะผงาดขึ้นในเวทีโลก เหมือนที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง กล่าวในการประชุม BRICS ว่า “บางประเทศไม่เต็มใจที่จะสูญเสียสถานะมหาอำนาจของตน ชาติใดที่พัฒนาได้ดีก็จะสกัดกั้น ข้าพเจ้าเคยกล่าวหลายครั้งแล้วว่า การดับไฟของคนอื่นจะไม่ทำให้ตัวเองสว่างไสวขึ้นเลย”
“BRICS จะยังคงใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง ไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ แต่ว่านี่คือการกบฏ เมื่อมีการกบฏขึ้นมาแล้วก็ต้องค่อยๆ หาพรรคพวกเข้ามา แล้ว BRICS ก็จะมีคนสมัครเข้ามาทุกปีเพิ่มเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่ออยู่กับ BRICS แล้วมีความเท่าเทียมกัน ไม่ได้ถูกกดขี่ใดๆ ทั้งสิ้น ค้าขายอย่างตรงไปตรงมา และก็สามารถใช้เงินสกุลท้องถิ่น อเมริกาก็จะถูกกัดกร่อนลงไปเรื่อยๆ
“ไม่นานหรอกครับ ผมคิดว่าไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า BRICS จะขยายใหญ่จนกระทั่งมีสมาชิกเกือบ 100 และในที่สุดแล้วถึงวันนั้น บทบาทของ BRICS จะเริ่มเปลี่ยน เปลี่ยนยังไง เปลี่ยนเป็นสหประชาชาติอันที่ 2 เพราะสหประชาชาติอันแรกนั้นถูกครอบงำโดยประเทศทางตะวันตก เมื่อ BRICS เกิดขึ้นแล้วนัยของ G7 หรือ G20 ที่ถูกออกแบบโดยโลกตะวันตกจะไม่มีความหมาย นี่คือเหตุผลว่าทำไม ประธานาธิบดีปูติน และสีจิ้นผิง ไม่ไปประชุม G20 ที่อินเดีย เพราะเขามองว่า G20 นั้นคือเครื่องมือของกลุ่ม G7 สงครามค่อยๆ เริ่มแล้วทีละนิดและจะเพิ่มดีกรีขึ้นมาเรื่อยๆ” นายสนธิกล่าว