xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึก “จีน” เผยไต๋ ระบบป้องกันสุดล้ำ รับมือ “นาโต้เอเชีย” เตือนสหรัฐฯ อย่าทะลึ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” เผยจีนวางระบบเรดาร์ป้องกันภัยที่ทันสมัยที่สุดในโลก สามารถตรวจจับเครื่องบินล่องหน โดรน เฮลิคอปเตอร์ และขีปนาวุธได้จากระยะไกลถึง 4,500 กิโลเมตร พร้อมติดติดขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่ล้ำสมัยกว่าสหรัฐฯ นักวิจัยชี้หากเปิดสงครามกับอเมริกา จีนจะชนะภายใน 7 วัน ทั้งหมดนี้สื่อทางการของจีนนำมาเปิดเผยละเอียดยิบทั้งที่เป็นความลับทางทหาร แต่จีนไม่ปกปิดแล้ว เพื่อบอกให้อเมริการู้ว่า ถ้ามาก่อกวนแทรกแซงไต้หวันไม่หยุดก็พร้อมเอาคืนทุกเมื่อ



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการขยายแสนยานุภาพทางทหารของจีน โดยในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมากองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) ซึ่งประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังขีปนาวุธที่มีกำลังพล 2.3 ล้านนาย ได้แปลงสภาพจากกองทัพที่ล้าหลัง กลายมาเป็นกองทัพที่ก้าวหน้าทันสมัยเข้มแข็งและใหญ่ที่สุดในโลก เพราะประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จีน พูดจริงทำจริง หลังประกาศปฏิรูปกองทัพขนานใหญ่ตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ปรับปรุงกองทัพปลดปล่อยประชาชน ให้ทันสมัยและแข็งแกร่ง


ปัจจุบัน กองทัพจีนกลายเป็นหนึ่งในกองทัพที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยทหารกว่า 2 ล้านคนและการลงทุนด้านกลาโหมจำนวนมาก จีนได้พัฒนาอาวุธขั้นสูง ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธ โดรนความเร็วเหนือเสียง เครื่องบินรบล่องหน เรือรบพิฆาตติดขีปนาวุธ และขีปนาวุธต่อต้านเรือความเร็วเหนือเสียง ล้วนเป็นอาวุธที่ทรงพลังและก้าวหน้าทันสมัย


การที่สหรัฐฯ พยายามวางกรอบยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก (U.S. Indo-pacific Strategy) เพื่อปิดล้อมเขาเอาไว้ และใช้ความร่วมมือด้านความมั่นคงต่าง ๆ กับพันธมิตรมาล้อมกรอบเขาไว้ทุกทิศทุกทางไม่ว่าจะเป็น
-ความพยายามขยายสมาชิกกลุ่มนาโต้ มายังภูมิภาคเอเชีย
-พันธมิตรไตรภาคี “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้” ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น
-จตุภาคี QUAD ระหว่าง “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-อินเดีย-ออสเตรเลีย”
-พันธมิตรไตรภาคี AUKUS ระหว่าง “ออสเตรเลีย-อังกฤษ-สหรัฐฯ”
-พันธมิตรใกล้ชิดทางสนธิสัญญาทางทหารของสหรัฐฯ ในอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ และไทย

ทวิตเตอร์ Indo-Pacific Defense Forum ซึ่งเป็นสื่อในสังกัดของ กองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโดแปซิฟิก (US Pacific Command) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมาระบุเรื่อง “โอลิมปิกเกมสงคราม” ที่กล่าวถึง การฝึกซ้อมระหว่างออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาทุก 2 ปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2566 โดยมีประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมประกอบไปด้วย แคนาดา ฟิจิ ฝรั่งเศส เยอรมนี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เกาหลีใต้ ตองกา และสหราชอาณาจักร ในขณะที่อินเดีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทยเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์
จากความตึงเครียดเหล่านี้ ทางจีนย่อมอยู่นิ่งไม่ได้ และต้องมีการขยับเขยื้อน พัฒนาเพื่อยกระดับด้านความมั่นคงของเขาเช่นกัน

ล่าสุดมีการเปิดเผยเกี่ยวกับ การที่ “จีน” กำลังเตรียมติดตั้งเรดาร์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ซึ่งล้ำหน้ากว่าสหรัฐฯ หนึ่งรุ่น รวมถึง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic) ที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกซึ่งนำหน้าสหรัฐฯ หนึ่งรุ่นเช่นกัน โดยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงดังกล่าวสามารถดัดแปลงเพื่อไปใช้ทั้งในอากาศ ในทะเล และใต้น้ำ


เหตุใดจีนจึงสร้างระบบป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อต่อต้านภัยคุกคามที่มาจากรอบด้าน ?

ประเด็น ก็คือตลอดระยะเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษ หรือ ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา จีนซึ่งเคยมีฉายาว่าเป็น คนป่วยแห่งเอเชีย (Sick Man of Asia) จีนถูกคุกคามทั้งทางวาจาหรือเชิงยั่วยุอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ปี พ.ศ.2492 (ค.ศ.1949) จีนก็ถูกแบน ถูกคว่ำบาตร นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น สงครามเกาหลี 3 ปี, สงครามเวียดนาม 20 ปี, สงครามชายแดนอินเดียในปี 2505

โดยผู้อยู่เบื้องหลังก็คือชาติตะวันตกที่ให้การสนับสนุน ยุยง ส่งเสริม ผู้ก่อการร้ายและผู้ก่อความไม่สงบนับเป็นพัน ๆ ครั้งในมณฑลซินเกียงตั้งแต่ปี 2533 ถึงปัจจุบัน เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์การประท้วงในฮ่องกง และปัจจุบันคือ ช่องแคบไต้หวัน

จีนทราบดีว่า หากเมืองหลวงของจีนคือ กรุงปักกิ่ง และเมืองใหญ่ทั้งหลาย เช่น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หางโจว เซินเจิ้น เฉิงตู ฉงชิ่ง เทียนจิน ฯลฯ ถูกโจมตีโดยตรงด้วยจรวด หรือ อาวุธนิวเคลียร์ ย่อมจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงจนถึงขั้นประเมินค่ามิได้ ด้วยเหตุนี้จีนจึงมีการออกแบบ และสร้าง “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense System)” ของตนขึ้นมา

ระบบป้องกันภัยทางอากาศของจีนสามารถแบ่งออกเป็น ระบบป้องกันภัยทางอากาศระดับชาติ (National Air Defense System) และ ระบบป้องกันภัยทางอากาศตามภูมิภาค (Military Region Air Defense System)

สำหรับระบบป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ เป็นเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ ซึ่งควบคุมสถานการณ์ทางอากาศและกองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ ระบบตรวจจับสถานการณ์ทางอากาศของประเทศทั้งหมดประกอบด้วย เรดาร์เตือนภัยล่วงหน้า,เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้า และ เครือข่ายดาวเทียมเตือนภัยล่วงหน้า

ฐานทัพอากาศหลัก ๆ ของจีนทั่วประเทศ
ปัจจุบัน มีการสร้างสนามเรดาร์ต่อเนื่องในน่านฟ้าของจีน และระยะการเฝ้าระวังขยายไปทางตะวันออก ถึง อเมริกาเหนือ ไปทางตะวันตก ถึง ยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ยังครอบคลุม เอเชียตะวันตกและ ภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วย

ส่วนช่องแคบไต้หวันทั้งหมดเป็นพื้นที่ระบุของเขตระบุการป้องกันทางอากาศของจีน ทางทิศตะวันออก หมายความว่า 200 ไมล์ทะเลเหนือชายฝั่งตะวันออกของช่องแคบไต้หวันเป็น เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของจีน (China’s air defense identification zone)


จากแผนที่ด้านบน เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของจีน (China’s air defense identification zone) จะครอบคลุมหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกาะเตี้ยวหยู (ญี่ปุ่นเรียกว่าเซนกากุ) ใกล้กับเกาะโอกินาว่า ซึ่งทับซ้อนกับเขตระบุการป้องกันทางอากาศทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น

ระยะทางจากฐานทัพอากาศเหวยฝัง (潍坊) บนคาบสมุทรซานตง ไปถึงกรุงโซล หากลากเป็นเส้นตรงก็จะมีระยะทางเพียง 423 กิโลเมตร ด้วยวิธีนี้ ชายฝั่งของเกาหลีใต้จะกลายเป็นเขตระบุการป้องกันทางอากาศของจีน


ทางทิศใต้ ฐานทัพอากาศหลิงสุ่ย (陵水机场) และฐานทัพอากาศเล่อตง (乐东机场) บนเกาะไหหลำ ก็อยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนเหนือและตอนกลางของเวียดนามเพียง 240 กิโลเมตร

เกาะหวงเหยียน ในทะเลจีนใต้ ก็อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของฟิลิปปินส์เพียง 237 กิโลเมตรเท่านั้น จากการยึดกุมจุดยุทธศาสตร์เหล่านี้ ทำให้ผืนแผ่นดินส่วนใหญ่อันเป็นเขตแดนของเวียดนามและฟิลิปปินส์ ต่างอยู่ในระยะตรวจจับ และจับตามองอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานด้านการป้องกันภัยทางอากาศของจีน

ฐานทัพอากาศหลิงสุ่ย บนเกาะไหหลำ
ช่วงเดือนมิถุนายน 2566 ในแวดวงการทหาร และความมั่นคงมีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่งคือ จีนได้โชว์ศักยภาพด้านเรดาห์ที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ตามพาดหัวของสื่อ South China Morning Post


China is building the most powerful warship radar on record แปลเป็นไทยก็คือ จีนกำลังสร้างเรดาร์เรือรบที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เนื้อข่าวเขาบอกว่า นักวิจัยชาวจีนเปิดเผยว่าเรือตรวจการณ์ของกองทัพเรือจีนที่ติดตั้งเรดาร์ใหม่สามารถตรวจจับขีปนาวุธจากระยะไกลหลายพันกิโลเมตร โดย “ระบบเรดาร์” ของจีนรุ่นใหม่นี้ สามารถพลิกสมดุลของกำลังทางเรือในมหาสมุทรของโลกด้วยความสามารถในการตรวจจับขีปนาวุธที่เข้ามาจากระยะไกลหลายพันกิโลเมตร


นักวิจัยกล่าวในรายงานที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 โดย วารสารภาษาจีน Electric Machines and Control ระบุว่า เรือตรวจการณ์ของกองทัพจีนที่ติดตั้งเรดาร์จะสามารถตรวจจับขีปนาวุธนำวิถีได้ไกลถึง 4,500 กิโลเมตร (2,800 ไมล์) หรือ ประเมินระยะทางได้จาก ตอนใต้ของประเทศจีน ถึง ตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย


เรดาร์ยังสามารถติดตามเป้าหมายได้หลายเป้าหมายภายในระยะ 3,500 กิโลเมตร หรือประมาณระยะทางจากชายฝั่งตะวันออกของจีนถึงเกาะกวม

ทั้งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร นำโดย รศ.ซุน ตงหยาง จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาร์บิน กล่าวว่า เรดาร์นี้เหมาะสำหรับการติดตั้งบนเรือรบจีนลำใหม่ โดยระบบแรกอยู่ในระหว่างการก่อสร้างแล้ว

ไม่เพียงแต่ระบบเรดาร์บนเรือตรวจการณ์เท่านั้น แต่เรดาร์รุ่นใหม่ ที่ได้รับการออกแบบและผลิตในประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น มีความก้าวหน้า และมีประสิทธิภาพที่สูงยิ่ง

 เรือตรวจการณ์ ไห่สวิน 6 (Haixun 06) ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจีน ณ ปัจจุบัน โดยมีระวางขับน้ำเต็มพิกัด 6,600 ตัน และสามารถออกปฏิบัติการได้นาน 60 วันโดยไม่ต้องแวะเติมเสบียง
เรดาร์ที่พัฒนาขึ้นเองที่ทันสมัยที่สุดคือเรดาร์เตือนขีปนาวุธ ระบบเรดาร์แบบ Phased-Array ขนาดใหญ่ ประกอบกันเป็น “ระบบเฝ้าระวังป้องกันขีปนาวุธชายฝั่งขนาดใหญ่ (Large Coastal Missile defense surveillance)” เพื่อตรวจจับการยิงของ ขีปนาวุธร่อน (Cruise Misslie) ขีปนาวุธทางยุทธวิธี (Tactical Missiles) กิจกรรมการบินทั้งหมดที่ฐานทัพสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ ณ เมืองนาฮา บนเกาะโอกินาว่า ติดตามความเคลื่อนไหวของ ICBM ของสหรัฐฯ ที่บินมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก


นอกจาก มหาสมุทรแปซิฟิก แล้ว ระบบเรดาห์ล้ำหน้าอันนี้อีกชุดหนึ่งถูกนำไปติดตั้งเพื่อใช้งานในเขตปกครองตนเองพิเศษมองโกล ปายินกัวเหลง (巴音郭楞蒙古自治州) มณฑลซินเจียง เพื่อตรวจจับขีปนาวุธที่มาจาก มหาสมุทรอินเดีย

ทั้งนี้ ปัจจุบัน จีนได้ติดตั้ง “ระบบเรดาร์ขีปนาวุธเตือนภัยล่วงหน้า” ทั้งหมด 4 ชุด ซึ่งครอบคลุมอาณาเขตทั้งหมดทั่วประเทศจีน และสร้างสนามเรดาร์ต่อเนื่อง ซึ่งสามารถตรวจจับเป้าหมายในอวกาศนอกเหนือจากการเตือนภัยขีปนาวุธที่เข้ามา

ระบบค้นหาทิศทางวิทยุความถี่สูง หรือ HFDF เส้นผ่านศูนย์กลางของอาร์เรย์เสาอากาศถึง 360 เมตร ซึ่งใช้สำหรับการค้นหาทิศทางและตรวจสอบการสื่อสารทางวิทยุในโอกินาว่าและไต้หวัน


นอกจากนี้ จีนยังสร้างเรดาร์ตรวจจับคลื่นภาคพื้นดินแบบพาสซีฟจำนวนมากในบริเวณชายฝั่งเพื่อติดตามเรือและยานอวกาศล่องหน เรดาร์เหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีสถานีรับ สถานีส่งสัญญาณ ศูนย์ควบคุม ฯลฯ ตามแนวชายฝั่ง มีการติดตั้งสถานีเรดาร์ถาวร 120 สถานี สถานีเรดาร์เคลื่อนที่ 80 สถานี ระบบเรดาห์ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบน่านฟ้าทุกกิโลเมตรนั้น มีหลายร้อยตัว โดยแบ่งเป็นเรดาร์ประเภทต่าง ๆ ประเภทละ 3-4 ตัว

นอกจากนี้ยังมีเรดาร์ตรวจสอบระยะใกล้-ระยะกลาง-ระยะไกล, เรดาร์ตรวจสอบเครื่องบินล่องหน, เรดาร์ตรวจสอบเฮลิคอปเตอร์-โดรน, เรดาร์ตรวจสอบขีปนาวุธข้ามทวี (ICBM) ฯลฯ

เรดาร์ YLC-16 ของจีนที่ถูกนำไปจัดแสดงที่งาน World Radar Expo เมื่อเมษายน 2566 ที่ผ่านมา
สรุป : ณ เวลานี้จีนมีระบบป้องกันทางอากาศขนาดใหญ่โตมโหฬาร เป็นเครือข่ายเตือนภัยที่ประกอบไปด้วยด้วย เรดาร์สามมิติภาคพื้นดิน อากาศ และอวกาศ, เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าและดาวเทียมที่ประกอบด้วยวิธีการตรวจจับระยะใกล้ ระยะกลาง และระยะไกล ซึ่งสามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศโดยรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินโจมตี ขีปนาวุธร่อน และ ขีปนาวุธและรับข้อมูลการเตือนล่วงหน้าเพื่อรับเวลาตอบสนองการสกัดกั้นที่นานขึ้น

ระบบป้องกันภัยทางอากาศดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายในการสร้าง และพัฒนา คิดเป็นมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์(หรือราว 17.5 ล้านล้านบาท)อันประกอบด้วยเครือข่ายเรดาร์ที่เข้มแข็ง, เครื่องบินขับไล่ยุคที่สี่ 1,000 ลำครอบคลุมน่านฟ้าทั้งหมด รวมไปถึง “วงล้อมป้องกันขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense Missile Defense Circle)” ที่มีรัศมีครอบคลุมพื้นที่หลายพันกิโลเมตร และเรือรบหลายร้อยลำ ปกป้องจีนจากการถูกโจมตีจากศัตรู


ระบบป้องกันภัยทางอากาศดังกล่าว เมื่อผนวกเข้ากับ ความแม่นยำของสัญญาณทหารนำทางระบบดาวเทียมเป๋ยโต่ว (Beidou) ซึ่งมีความแม่นยำถึงระดับเซนติเมตรแล้ว ทำให้แม้ว่า เมื่อยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกออกไปแล้ว แล้วเกิดข้อผิดพลาดในการนำทางในการบิน แต่ระบบดาวเทียมเป๋ยโต่วของจีน ก็จะเอื้อให้กองทัพจีนสามารถแก้ไขปัญหาได้แบบ Real-time หรือ ทันท่วงที


ประเด็น :ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีกลุ่มนักการเมืองชาวอเมริกัน รวมถึง ไต้หวัน และญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้มีตัวแทนคือ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

คนกลุ่มนี้ เชื่อว่าตราบใดที่กองทัพสหรัฐฯ ยังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อปัญหาช่องแคบไต้หวัน และแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งทหารเข้าแทรกแซงช่องแคบไต้หวัน รัฐบาลปักกิ่ง และกองทัพจีนก็จะไม่ขยับขับเคลื่อนใด ๆ หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือ มองปักกิ่งเป็นแค่เสือกระดาษเท่านั้น

นายแอนโทนี บลิงเคน
อย่างไรก็ตาม ตัดสินใจของรัฐบาลปักกิ่ง และกองทัพจีนที่ออกมา “เผยไต๋” เกี่ยวกับความล้ำหน้าทางอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินรบ จรวดขีปนาวุธ รวมไปถึงระบบเรดาร์ และการป้องกันภัยทางอากาศที่ล้ำหน้าในช่วงหลังมานี้ ชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองตะวันตกเหล่านี้ กำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเพ้อฝัน

เพราะ ข้อมูลด้านความมั่นคงของจีนที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุด ได้ปรากฎชัด และเป็นที่ยอมรับในหมู่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารอเมริกัน และนายพลระดับสูงในกองทัพสหรัฐฯ แล้วว่าการที่กองทัพสหรัฐฯ จะก่อสงคราม และดำเนินการแทรกแซงทางการทหารในช่องแคบไต้หวันรังแต่จะนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงสำหรับสหรัฐฯ เนื่องจากทางฝั่งจีนมีการประเมินกันว่า

-กองทัพปลดแอกประชาชนของจีน จะใช้เวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ในการเอาชนะกองทัพสหรัฐฯ ในแปซิฟิกตะวันตกอย่างสมบูรณ์ สหรัฐอเมริกาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งดูการตายของกองทัพสหรัฐในแปซิฟิกตะวันตก นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะพังทลายใน 2 สัปดาห์

-กองทัพปลดแอกของจีน จะพุ่งเป้ามุ่งตรงไปที่ “จุดอ่อน” ของกองทัพสหรัฐฯ คือแม้ว่าจำนวนทหารที่กองทัพสหรัฐฯ ประจำการในแปซิฟิกตะวันตกจะมีจำนวนมากเกือบแสนนาย แต่กองทัพเหล่านี้ กระจุกตัวอยู่ในฐานทัพเกาะเล็กๆ หลายแห่ง เช่น เกาะกวม, โอกินาว่า ซึ่งกองทัพจีนก็เปิดเผยว่าจะดำเนินการโจมตีฐานเหล่านั้นด้วย "การยิงขีปนาวุธขนาดใหญ่" เพื่อทำลายกองทัพสหรัฐทั้งหมดในแปซิฟิกตะวันตก

-จากปฏิบัติการดังกล่าวจีนเชื่อว่า ในการโจมตีรอบแรก สามารถจัดการกองทัพสหรัฐฯ ได้ราว 40%

-คาดการณ์กันว่า กองทัพไต้หวันจะไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีของกองทัพจีนได้เกิน 2 วัน

-ต่อมาคือ ทำให้กองทัพสหรัฐฯ เป็นอัมพาตทั้งหมดภายใน 3 วัน และ

- จีนตั้งเป้าในการเอาชนะสหรัฐฯ ในระดับยุทธศาสตร์ได้ภายใน 7 วัน



กล่าวอีกนัยหนึ่ง จีนจะไม่เข้าไปพัวพันกับสหรัฐฯ มากเกินไปเกี่ยวกับปัญหาช่องแคบไต้หวัน แต่จะยุติความขัดแย้งโดยเร็วที่สุด การจู่โจม ของกองทัพจีน จะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอย่างมหาศาลโดยไม่ตอบโต้ การยืนหยัดของกองทัพสหรัฐในการแทรกแซงด้วยอาวุธในปัญหาช่องแคบไต้หวันมีแต่จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

ในห้วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา ในประเด็นช่องแคบไต้หวัน กองทัพสหรัฐฯ ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับกองทัพปลดแอกประชาชนของจีนไปอย่างมาก

รัฐบาลปักกิ่ง และประเทศจีนรู้ดีว่า การสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพปลดแอกประชาชน ให้มีความทัดเทียมกับกองทัพสหรัฐฯ เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาเอกราช และดำรงความเป็นเอกภาพของจีนเอาไว้ได้

“ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความลับ ผมเอามาจากหนังสือพิมพ์ The Global Time ของจีน ท่านผู้ชุมต้องเข้าใจว่าหนังสือพิมพ์ The Global Time นั้นเป็นปากกระบอกเสียงของประเทศจีน เป็นสื่ออย่างเป็นทางการของประเทศจีน แต่ทำไมจึงตีพิมพ์รายละเอียดของเรดาร์ ตลอดจนอาวุธ ขีปนาวุธแต่ละอย่างๆ ที่ถ้าเขารบกับอเมริกาแล้วนี่ เขาสามารถทำลายฐานทัพอเมริกาที่นาฮา โอกินาวา ฐานทัพอเมริกาที่เกาหลีใต้ ที่ฟิลิปปินส์ ที่เกาะกวม ได้ภายในเวลา 7 วันบ้าง 3 วันบ้าง แล้วเขาสามารถบุกเข้าไปยึดไต้หวัน ระยะทางไม่เกิน 2 วัน รวมทั้งเขาพูดอย่างชัดเจนในข่าวที่ออกมาว่าภายในไม่เกิน 7 วันอเมริกาจะพ่ายแพ้ทั้งหมด ทั้งที่นี่เป็นความลับทางทหาร แต่จีนไม่ปิดบังแล้วจากนี้ไป นัย ความหมายที่แท้จริงของการเสนอข่าวนี้ออกมาคือการส่งสัญญาณเตือนเคาะกะโหลก เคาะกบาลของอเมริกา ว่ามึงอย่าทะลึ่งนะ มึงคิดว่ามึงแน่กว่ากู มึงไม่ได้แน่กว่ากูแม้แต่นิดเดียว กูจะฟาดมึงคืนเมื่อไหร่ก็ได้” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น