ยังไม่จบ “คดีผัวตัวแสบร่วมมือกับน้อง6คน ฮุบที่ดินเมียหลวงและลูกกว่าพันล้าน” ล่าสุดทีมเมียหลวง งัดหลักฐานการโอนซื้อที่ดิน และพินัยกรรมพ่อผัวโชว์สื่อ ระบุร้านทองไม่ใช่กงสี เงินซื้อที่จึงไม่เกี่ยวกับตระกูลผัวเก่า ด้าน “ผัวตัวแสบ” พบว่าตอนนี้นอนป่วยอยู่ ขณะที่น้องชายก็ไล่นักข่าวพร้อมปฏิเสธการให้ข้อมูลโดยบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัว
คดี ผัวตัวแสบร่วมมือกับน้อง 6 คน ฟ้องศาลแพ่ง ฮุบที่ดินเมียหลวงและลูก2 คน รวม 19 แปลง มูลค่ากว่าพันล้านบาท ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมอย่างกว้างขวาง หลังมีการเผยแพร่ข้อมูลในโลกออนไลน์ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เห็นใจฝั่งเมียหลวงและลูกๆ บ้างก็บอกว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าในนิยาย และสำนักข่าวหลายสำนักต่างให้ความสนใจและนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวจะยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะล่าสุด ทางฝั่ง นางปองจิตร เลี้ยงสุคนธร เมียหลวง พร้อมลูกชายและลูกสาว ออกมาโชว์หลักฐาน กับสื่อมวลชน
โดยนางปองจิตร ระบุว่า เป็นเอกสาร การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และซื้อขายที่ดิน ด้วยแคชเชียร์เช็ค โดยเเยกเป็น2 ส่วน คือ ที่ดิน5 แปลงแรก เป็นสินสมรสของตัวเองและอดีตสามี ที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา ซึ่งหลังจากแยกทาง ก็ได้ตกลงกันว่าจะมอบให้ลูกทั้งสองรวมถึงร้านทองยี่เฮงด้วย และต่างฝ่ายต่างยินยอมในข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้มีปัญหาอะไรในครั้งแรก ส่วนที่ดินอีก 14 แปลง ริมถนนสายเอเชีย อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากแยกทางกับอดีตสามี ก็ต้องทำงานอย่างหนัก และลูกๆก็ต้องออกจากโรงเรียกลางคัน ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 15-16 ปี เพื่อช่วยแม่หาเงิน สร้างเนื้อสร้างตัวจากร้านทอง จนพอมีเงินเหลือเก็บ จึงเริ่มต่อยอดด้วยการลงทุนซื้อที่ดินสะสมตามความฝัน ช่วยกัน3 คนแม่ลูก เก็บเล็กผสมน้อย จนสามารถซื้อที่ดินริมถนนสายเอเชีย มาได้ทั้งหมดอีก 14 แปลง
แต่แล้วก็เหมือนฟ้าผ่ามากลางใจ 3 แม่ลูก ในปี 2556 หลัง “ผัวตัวแสบ” ทิ้งครอบครัวไปอยู่กับเมียน้อยนานกว่า 30 ปี ก็ได้ย้อนกลับมาโดยสร้างเรื่องวางแผนกับน้องๆ อีก 6 คน หวังฮุบสมบัติที่เป็นที่ดินของลูกทั้ง2 ทั้งหมด19 แปลง เพื่อนำไปแบ่งกับน้องๆทั้ง6 คน
โดยผัวตัวแสบ ทำทีให้น้องๆ ทั้ง6 คน เป็นโจทก์ รวมหัวกลั่นแกล้งฟ้องคดีแพ่ง ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บอกว่าที่ดินทั้ง 19 แปลง เป็นที่ดินที่ซื้อมาจากเงินกงสี เพราะเงินที่ซื้อที่นั้นมาจากเงินร้านทองที่ นางปองจิตร และลูกๆ ได้ทำมาหากิน ซึ่งถือว่าเป็นกงสี ของตระกูลฝั่งสามีด้วย ซึ่งมีผัวตัวเเสบ รับบทเป็นจำเลยที่1 เบิกความสนับสนุนตามฟ้องว่า ที่ดินทั้ง 19 แปลง เป็นกงสี และต่อสู้กันในชั้นศาล แต่ที่สุด ทั้ง 3 ศาล พิพากษา ตามที่โจทย์ยื่นฟ้อง ฝั่งผัวตัวเเสบเป็นผู้ชนะ
แต่มาครั้งนี้เหมือนสวรรค์เข้าข้าง นางปองจิตร ได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ถือว่าเป็นไม้เด็ดในการสู้คดี ที่จะทำให้เธอและลูกๆ ได้ที่ดินทั้งหมดกลับคืนมา นั่นก็คือพินัยกรรม ที่นายฮ้วนหมิ่น แซ่เลี้ยง พ่อของอดีตสามีและเป็นคุณปู่ของลูกทั้งสอง ได้ทำขึ้นโดยก่อนตาย และได้นำมาฝากไว้กับ นางปองจิตร เหมือนรู้ว่าในวันข้างหน้าอาจมีปัญหากันแน่นอน โดยพินัยกรรมฉบับนี้ระบุว่า ร้านทองศรีไทยไม่ใช่กงสี ตามที่โจทก์ฟ้องมาว่าเป็นต้นตอกงสี โดยลูกๆทุกคนเป็นหุ้นส่วนด้วย แต่เป็นธุรกิจส่วนตัวของนายฮ้วนหมิ่น ซึ่งประโยคนี้ นางปองจิตร เชื่อว่า พินัยกรรมฉบับนี้มีความชัดเจนน่าจะมีน้ำหนักพอที่จะทำให้ศาลเห็นใจ ว่าที่ดินทั้งหมดเป็นการหามาด้วยน้ำพักน้ำเเรงของเธอและลูกๆ ไม่ใช่เงินกงสี ตามที่ฝั่งอดีตสามีและน้องๆรวม7คน ยื่นฟ้องในครั้งแรก
ด้าน นางสาวกัลยารัตน์ เลี้ยงสุคนธร หรือ แอม ลูกสาว กล่าวว่า นอกจากหลักฐานพินัยกรรม และเอกสารการซื้อขายที่ดินแล้ว ยังมีคลิปเสียงสนทนาที่เธอ และพี่ชายได้ไปพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ หลังศาลฎีกาตัดสินคดี เป็นการถามคุณพ่อว่า ทำไมทำกับพวกเธอแบบนี้ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินทั้งหมด เธอ และพี่ชายร่วมกันสร้างมันขึ้นมา แล้วเธอก็ได้รับคำตอบว่า “พวกอาอยากได้ที่ดินแปลงนี้ จึงขอให้คุณพ่อให้การเท็จ เพื่อยืนยันว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของกงสี ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของ3คนแม่ลูก”
จากนั้น นางปองจิตร และนายเอกปัญญา เลี้ยงสุคนธร ลูกชาย ก็ได้ขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ช่วยกันนำเสนอเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อทุกช่องทาง และขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ทุกคนมีให้ และหลังจากนี้จะนำหลักฐานต่างๆ ที่มีทั้งหมด เข้าดำเนินคดีอาญากับอดีตสามี และพี่น้อง รวม 7 คน พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า จะขอสู้หลังชนฝาเพื่อลูกๆ ทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่ควรทำเพื่ออนาคตของลูก
ส่วนทางด้านฝั่ง นาย ว. อดีตสามี นั้น ทางทีมข่าวก็ได้เดินทางไปสอบถามข้อเท็จจริงที่บ้านพัก ซึ่งอยู่ในละเเวกเดียวกัน แต่พบกับ นาย ว. กลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงอยู่ ทางทีมข่าวจึงได้พูดคุยกับคนดูแลนาย ว. แต่ได้รับการปฏิเสธการให้ข้อมูล ต่างๆ
จากนั้นทีมข่าวจึงเดินทางไปที่ร้านทองศรีไทย ซึ่งเป็นร้านที่ระบุไว้ในพินัยกรรมว่าไม่ใช่ของกงสี ก็ได้พบน้องชาย นาย ว. จึงจะขอสัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว แต่น้องชายนาย ว. ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลและไล่ออกมาจากร้าน โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว ทางฝั่งนี้ไม่ขอชี้แจงใดๆทั้งสิ้น