“สนธิ” ชี้ อำนาจ 3 ป.ถึงคราวปิดฉาก หลัง “บิ๊กป้อม” เดินเกมหนักก่อนวันโหวตนายกฯ ชวน “พล.อ.ประยุทธ์” ให้สั่ง สว.สายตัวเองช่วยกันบล็อก “เศรษฐา” เพื่อให้เก้าอี้นายกฯ ตกมาถึงตัวเองตามที่เคยใฝ่ฝัน แต่ “น้องตู่” ไม่เล่นด้วยเพราะไม่มีความจำเป็น “บิ๊กป้อม”จึงกลายเป็นทหารแก่จนแต้ม อำนาจบารมีไม่เหลือ แม้แต่ "เอ๋ ปารีณา" คนเคยรักก็ตัดสัมพันธ์ไปแล้ว จับตาขบวนการเช็กบิล “3 ลุง” ที่จะตามมา
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการลงมติเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ปรากฏตัวในสภา และจนถึงวันนี้ยังเงียบสนิท ซึ่งน่าจะเป็นเค้าลางที่ พล.อ.ประวิตร จะจบเส้นทางการเมืองแบบไม่สวยหรู จากว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน ถูกเสนอชื่อ ก็มีกูรูหลายคนฟันธงว่า พล.อ.ประวิตร น่าจะได้เป็นมากกว่า แต่สุดท้าย พล.อ.ประวิตร อาจกลายเป็นเพียงทหารแก่จนแต้ม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ ยุค “3 ป.” มาตลอดสิบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่วันนี้กลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร มีความใฝ่ฝันที่จะมีชื่อจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสักครั้งในชีวิตก่อนตาย ว่ากันว่าในสมัยหนึ่ง พล.อ.ประวิตรได้ไปพบสมเด็จฯ วัดยานนาวา สมเด็จฯ ได้ดูดวงให้ บอกว่าในชีวิต พล.อ.ประวิตรจะได้ครุฑทอง 2 ตัว ตัวแรกคือผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้ไปแล้ว อีกตัวคือนายกรัฐมนตรี ทำให้ พล.อ.ประวิตรมั่นใจว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะมาที่ตนเองอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่า พล.อ.ประวิตรพร้อมวางมือทางการเมืองตามหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไปเช่นกัน แล้วส่งไม้ต่อให้ป.ที่ 4 “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของบิ๊กป้อมเอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ พล.อ.ประวิตรจะไม่เคยออกมาตอบคำถามนี้อย่างชัดเจนด้วยตัวเอง แต่คนรอบข้างรู้กันดีมาตลอดว่า ความฝันที่จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประวิตร ไม่เคยหายไปจากความตั้งใจที่แน่วแน่และมุ่งมั่น คิดหา หนทาง กลวิธี เล่ห์เพทุบาย เพื่อส่งตัวเองเดินตามฝันให้สำเร็จลุล่วงมาโดยตลอด
พล.อ.ประวิตรเชื่อว่านายเศรษฐา จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่าสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในสายของตัวเอง และสายของ พล.อ.ประยุทธ์ มีมากพอที่จะบล็อกนายเศรษฐาไว้ได้
แม้กระทั่งช่วงกลางดึกก่อนวันเลือกนายกรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนถึงเวลาโหวตนายกฯ พล.อ.ประวิตรก็ยังไม่ลดละความพยายาม ถึงขั้นเรียก พล.อ.ประยุทธ์ เข้าหารือด่วนที่บ้านป่ารอยต่อฯ ที่กบดานสำคัญ เพื่อเจรจาใช้ความเป็นพี่น้อง ชักชวนให้ร่วมรบในเกมการเมืองครั้งใหญ่ โดย พล.อ.ประวิตรหวังว่า หาก สว. สาย “ลุงตู่” ที่มีกว่า 100 ชีวิต ร่วมมือกันหักหลังพรรคเพื่อไทย ไม่หนุนนายเศรษฐา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยหมดทางไป
เพราะคิดว่าหากนายเศรษฐาถูกคว่ำแล้ว พรรคเพื่อไทยก็คงไม่เสนอชื่อ “อุ๊งอิ๊ง”น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพราะครอบครัวโดยเฉพาะคุณหญิงพจมาน รวมทั้งนายขทักษิณ ชินวัตร ไม่เห็นด้วยที่จะให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯมาเป็นตัวประกันทางการเมือง ท่ามกลางกระแสตกต่ำของพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น พล.อ.ประวิตร จึงหวังจะรับไม้ต่อจากพรรคเพื่อไทย และส่งตัวเองขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่างเต็มภาคภูมิ ถึงแม้อาจจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ขอให้มี สว.ทั้งสาย “ลุงตู่” และสาย “ลุงป้อม” สนับสนุนให้ตนเองขึ้นมานั้นก็ย่อมเป็นไปได้
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องทำตามเพื่อสานฝัน “พี่ป้อม” เนื่องจากพรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้รับเก้าอี้สำคัญอย่างกระทรวงพลังงานมากอดเอาไว้แนบอกเรียบร้อยแล้ว แถมคนสนิทอย่าง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์หรือจะเป็นนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคก็ขึ้นแท่นรัฐมนตรีว่าการชนิดที่ชัวร์ ยิ่งกว่าชัวร์
เมื่อ “น้องตู่” ไม่ตอบรับ “พี่ป้อม” ก็ผิดหวังอย่างมาก ทำให้สถานการณ์ที่บ้านป่ารอยต่อฯ ตกอยู่ในสภาวะเคร่งเครียดตลอดทั้งคืน ก่อนที่ “บิ๊กป้อม” จะตัดสินใจวัดพลังตัวเอง เดิมพันด้วยเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการสั่ง สว.สายทหาร เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 6 (ตท.6) รวมถึง สว.สายตรงของตัวเองให้งดออกเสียง และยังต่อสายหา ผบ.เหล่าทัพให้ร่วมด้วยช่วยกัน
เพื่อไทยแก้เกม “บิ๊กป้อม” ดึง “งูเห่า ปชป.” 16 เสียง มาโปะ
เกมการเมืองเมื่อคืนวันที่ 21 ส.ค.นั้นเป็นไปด้วยความตึงเครียด และข่าวนี้หลุดเข้าหูพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย ก็รู้ว่า พล.อ.ประวิตร เดินเกมแทงข้างหลัง มีความพยายามที่จะทำอะไรอยู่ทำให้ช่วงกลางดึกในเวลาที่ป่ารอยต่อกำลังเคร่งเครียดพรรคพรรคเพื่อไทยก็เครียดไม่ต่างกัน จึงเป็นที่มาของการดีลข้ามขั้วระหว่างพรรคเพื่อไทยและ พรรคประชาธิปัตย์ ก่อให้เกิด 16 งูเห่าจากพรรคประชาธิปัตย์ จากค่ายนายเฉลิมชัย ศรีอ่อนส่งเข้าประกวด
เมื่อมีการทอดไมตรีจากประชาธิปัตย์ มาในสถานการณ์ที่เอาแน่เอานอนกับทหารแก่อย่าง “บิ๊กป้อม” ไม่ได้ 16 เสียงที่พร้อมจะยกมือให้ฟรี ๆ ในตอนนี้ แบบไม่มีเงื่อนไข
แต่ถ้าปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้า“งูเห่า ประชาธิปัตย์” สายนายเฉลิมชัย ก็ขอสัก 1 รัฐมนตรีว่าการ และ 1 รัฐมนตรีช่วย ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่มักน้อยมากๆ ขอแค่ได้เข้าร่วมรัฐบาล ก็ยังดีกว่าอยู่เป็นฝ่ายค้านกับพรรคก้าวไกล และก็ปล่อยให้ปูชนียบุคคลอย่างนายชวน หลีกภัย-นายบัญญัติ บรรทัดฐานซึ่งลงมติ“ไม่เห็นชอบ”กับการโหวตให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี กอดคอกินอุดมการณ์กันไป
สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง เมื่อต่างฝ่ายต่างวิ่งเข้าหาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตรเป็นที่ตั้งอีกแล้ว เช่น
ทหารเอกลุงป้อมร.อ.ธรรมนัส พรมหมเผ่าพยายามวิ่งให้ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ รวมถึงผลักดันเด็กในสังกัดของตัวเอง เช่น นายไผ่ ลิกค์ได้รัฐมนตรีช่วยอีกสักเก้าอี้
ส่วนนายสันติ พร้อมพัฒน์เองก็ไม่น้อยหน้า ที่วิ่งแจ้นไปหาผู้มีบารมีในตระกูลชินวัตร เพื่อทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองยังมีบุญวาสนาเป็นรัฐมนตรีอีกสักสมัย
หรือแม้แต่น้องชายอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็ยังมองว่าพี่ชายควรจะวางมือจากการเมือง และเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาสานงานต่อเสียที
จากความพยายามมาทั้งคืนวันที่ 21 สิงหาคม แต่ดูท่าจะไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะช่วงเช้าวันอังคารที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ ก็มีข่าวลือหนาหูว่าพล.อ.ประวิตร ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ จะไม่มาร่วมประชุมโหวตในรอบนี้
เมื่อถึงเวลาก็เป็นเช่นนั้นจริง รัฐสภาในวันนั้น วันที่ 22 สิงหาคมไร้เงา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมื่อการโหวตนายกรัฐมนตรีจบสิ้นลง ความศักดิ์สิทธิ์และความน่ากลัวในอำนาจและบารมีในมือของ “บิ๊กป้อม” ก็หมดลงไปด้วย เพราะ ตัวเลข สว. ที่ลงมติ“ไม่เห็นชอบ-งดออกเสียง” ฟ้องออกมาให้เห็นมีจำนวนน้อยนิด เพียงแค่ 81 เสียงจากจำนวน สว. ทั้งหมด 250 เสียง ที่ย้อนแย้งกับคำพูดคุยโวของ พล.อ.ประวิตร เสียเหลือเกิน
เมื่อเห็นผลคะแนนออกมาเป็นเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ พล.อ.ประวิตรไม่มาร่วมในการโหวตครั้งนี้ เพราะถ้ามาก็คงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ทางด้านฝั่งเพื่อไทย จริงๆ แล้วก็ได้มีการหาทางหนีทีไล่เอาไว้เผื่อโอกาสไว้ว่า พล.อ.ประวิตร จะสั่งพรรคพลังประชารัฐให้โนโหวตทั้งพรรค ก็ยังมี 16 เสียงของ ปชป.มาช่วยหนุน อีกทั้งเสียงจาก สว.สายบิ๊กตู่ก็มีการคอนเฟิร์มว่าไม่มีปัญหา เพื่อไทยก็จะสบโอกาสตัดพรรคพลังประชารัฐทิ้ง และนำประชาธิปัตย์มาเสียบแทน แถมยังได้ดึงเก้าอี้กลับมาได้อีก 2 ตัวด้วย
แต่ในเมื่อ ร.อ.ธรรมนัส นายสันติ พร้อมพัฒน์ และลูกพรรคไหวตัวทัน พลังประชารัฐจึงไม่มีการแหกคอกเกิดขึ้น ซึ่งคงต้องจับตามองกันต่อใน 2-3 วันนี้ว่า เพื่อไทยที่สุขสมหวังกับตำแหน่งนายกฯแล้ว จะเอา 16 เสียงประชาธิปัตย์มาเสียบแทนใครหรือไม่ ซึ่งก็มีเสียงในพรรคเพื่อไทยเช่นกันว่าให้ตัดพพรรคพลังประชารัฐออกไปเลย ให้เป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคก้าวไกล ซึ่งคนที่เสียวสันหลังมากๆ คงไม่พ้น ร.อ.ธรรมนัส และนายสันติ
“เอ๋ ปารีณา” สะใจ “บิ๊กป้อม” สัมผัสความพ่ายแพ้
เหมือนจะผีซ้ำด้ำพลอย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว บัญชีชื่อ "ปารีณา ไกรคุปต์" ในหัวข้อ“ชมคลิปปารีณาส่งกำลังใจให้พลเอกประวิตร” ซึ่งเป็นคลิปจากการให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนช่องหนึ่งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ก่อนวันลงมติเลือกนายกฯ โดยในคลิป น.ส.ปารีณา มีการอ่านใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค พปชร. ว่าจะไม่ไปประชุมร่วมรัฐสภา ในการโหวต นายเศรษฐา ทวีสินซึ่งก็เป็นความจริง
พอผลการโหวตออกมา นายเศรษฐา ทวีสิน พรรคเพื่อไทย ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา ถึง 482 เสียง และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
น.ส.ปารีณาก็เลยโพสต์ถึง พล.อ.ประวิตร ว่า"เคยเห็นคุณลุงเศร้าเพียงเลือกตั้งซ่อมภาคใต้..แพ้ ทุ่มทุน ทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มอำนาจพิเศษลงไปในพื้นที่ ก็..แพ้ “เชื่อว่า วันนี้ หมดโอกาสเป็นนายกฯ รู้สึกทั้งเห็นใจ ทั้งสะใจ เพราะวันนี้คุณลุงได้สัมผัสกับความพ่ายแพ้ เสียดาย ที่คุณลุงไม่ได้สัมผัสรสชาติของการถูกอำนาจรัฐคุกคาม การถูกตำรวจด่า พูดจาไม่ดี กวนตีน และการใช้กำลังติดตามปารีณาไปทุกหนแห่งช่วงเลือกตั้งพี่ชาย น้ำตามันไหล ทำกันได้อย่างไร ไม่เหลือเยื่อใย หัวใจสลาย ที่ผ่านมา อดทนยอมรับสภาพเบี้ยมาโดยตลอด แต่โดนคุกคามขนาดนั้น จิตใจทำด้วยอะไร "
นายสนธิกล่าวว่า จะเรียกว่า “เอ๋ ปารีณา” สะบั้นความสัมพันธ์กับลุงป้อมแล้วก็คงไม่ผิด เพราะจากที่ “เอ๋” โพสต์แล้ว เหมือนเพิ่งจะรู้สึกว่า แท้ที่จริงแล้วตัวเองเป็นเบี้ยของลุงป้อม ตอนที่ยังมีอำนาจวาสนาอยู่ก็ทำงานรับใช้ลุงป้อม ใครมาแตะลุงป้อมไม่ได้ “เอ๋ ปารีณา” ต้องออกมาฟาดฟันจนถึงพริกถึงขิง เรียกว่าเอาตัวเข้าแลกเลยเพื่อปกป้องลุงป้อม แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพี่ชายปารีณาลงสมัครรับเลือกตั้งที่ราชบุรี ก็โดนข่มขู่ ถึงจะไม่พูดก็เข้าใจดีว่า มาจากสายของลุงป้อมนั่นเอง นี่คือความแค้น
ความแค้นต่อ “ธรรมนัส” สาเหตุ “ลุงตู่” ไม่เอาด้วยกับ “ลุงป้อม”
ในวันลงมติเลือกนายกฯ พล.อ.ประวิตร เคลื่อนไหวสั่งการต่าง ๆ ทำเอานายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยระแวงว่าสุดท้ายเสียงจากพลังประชารัฐอาจจะอาจไม่ได้ลงมติให้ ก็เลยเป็นที่มาที่มาว่านายภูมิธรรม เรียกกลุ่มประชาธิปัตย์ 'ก๊วนเฉลิมชัย-เดชอิศม์' มาคุยไว้ก่อนเพื่อกันเหนียว
นอกจากนี้แล้วยังเห็นว่าคืนก่อนลงมติเลือกนายกฯ พล.อ.ประวิตรเรียก พล.อ.ประยุทธ์ไปคุย แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่เอาด้วย เพราะไม่อยากได้ ร.อ.ธรรมนัสกลับมาอีกครั้ง เพราะมีความแค้นกันอยู่ ถ้ากลับไปร่วมมือกับบิ๊กป้อมอีกที คนที่ได้ประโยชน์คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ นายสันติ พร้อมพัฒน์
นายสนธิ กล่า่วว่า พล.อ.ประวิตรนั้น ในทางส่วนตัวกับคนใกล้ชิดที่คนรู้จักกัน ไม่ชอบนายเศรษฐา ทวีสิน พูดอยู่เสมอว่า นักธุรกิจจะมาบริหารชาติบ้านเมืองได้อย่างไร ไม่มีความรู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว มองว่าตนเองนั้นน่าจะมีคุณสมบัติที่จะบริหารบ้านเมืองได้ดีกว่า แต่ พล.อ.ประวิตรก็คงลืมไปว่าที่ตนเองมาบริหารบ้านเมือง 8 ปีที่ผ่านมาก็มาจากสายทหาร ก็ไม่เคยบริหารชาติบ้านเมืองมาก่อน เคยแต่บริหารกองทัพบกเท่านั้น ข้อแตกต่างก็คือนายเศรษฐามาด้วยความชอบธรรม พล.อ.ประวิตรมาด้วยเอาปืนไปจ่อหัวเขาให้เขายอมรับ เพราะฉะนั้นมีข้อแต่งต่างกันอย่างมากมายมหาศาล แล้วก็ 8 ปีกว่าที่ ลุงป้อม ลุงตู่ ลุงป๊อก บริหารประเทศมานั้น ก็ต้องดูว่าคนที่ทำงานได้จริงๆ และมีผลงานนั้นคือใคร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตรแน่นอน
นายสนธิ กล่าวอีกว่า บทเรียนของ “ลุงป้อม” พิสูจน์อะไรอย่างหนึ่งก็คือว่า จนในที่สุดแล้ว เมื่อใดก็ตามที่คุณหมดรูปหมดทรง ร่วงหล่นลงมา ไม่มีอำนาจไม่มีบารมีแล้ว หลายๆ คนก็ต้องตีจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ ก็ตีจาก แม้กระทั่งน้องชายตัวเอง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในวันที่นายเศรษฐารับพระบรมราชโองการฯ นั้น ก็ยืนอยู่ในกลุ่มนายเศรษฐาด้วย
จึงไมไ่ด้มีอะไรน่าประหลาดใจ ถ้าจะพูดว่า วันนี้จุดจบของลุงป้อมมาถึงแล้ว คนที่เคยพึ่งพาบารมีของลุงป้อมที่เคยมีอยู่อย่างมหาศาล ก็ต้องหาที่เกาะใหม่ บ้านป่ารอยบต่อฯ ที่เคยมีคนเข้าไปแน่นหนา หัวกระไดไม่แห้ง นับจากนี้ไปจำนวนแขกที่ไปเยือนก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง และ ทั้ง 3 ป. ก็มีคนจ้องจะเช็กบิลอยู่จำนวนมาก อีก 2 ปีประธาน ป.ป.ช.ที่เป็นคนของลุงป้อม ก็จะหมดวาระ เมื่อพรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาก็จะเอาคนของตัวเองเข้าไปอยู่ใน ป.ป.ช.จะมีการเช็กบิลทั้ง 3 ลุง อย่างเป็นกระบวนการแน่นอน