xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 ส.ค.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."วันนอร์" นัดโหวตนายกฯ 22 ส.ค. ด้าน "ทักษิณ" กลับไทยวันเดียวกัน พร้อมมั่นใจ “เศรษฐา” จะได้เป็นนายกฯ!

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า กรณีรัฐสภามีมติตีความว่าการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในรอบที่สอง เป็นญัตติทั่วไป ห้ามนำเสนอญัตติซ้ำอีก ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้องเรียนหรือไม่

ซึ่งผู้ร้องเรียนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ประกอบด้วย รศ.พรชัย เทพปัญญา ผู้ร้องเรียนที่ 1 ผศ. ดร.บุญส่ง ชเลธร ผู้ร้องเรียนที่ 2 นางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์ ส.ส. พรรคก้าวไกล และคณะ ซึ่งเป็นประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งและเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จำนวน 17 คน ผู้ร้องเรียนที่ 3

ทั้งนี้ หลังประชุม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ต้องเป็นบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง สำหรับกระบวนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญ ให้สภาพิจารณาให้ความเห็นชอบเฉพาะจากบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ ดังนั้น ผู้มีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาต้องเป็นผู้ที่พรรคการเมืองเสนอ

เมื่อผู้ร้องเรียนทุกคนไม่ใช่บุคคลที่พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อไว้ ว่าจะเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกฯ ทั้งไม่ได้เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อต่อรัฐสภา ผู้ร้องเรียนทุกคนจึงไม่ใช่ผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากผู้ร้องทั้งสาม ไม่ใช่ผู้ถูกละเมิดสิทธิโดยตรง เมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว คำขอให้คำสั่งชะลอการโหวตนายกรัฐมนตรีออกไป จึงเป็นอันตกไป

วันเดียวกัน หลังศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้องดังกล่าว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แถลงว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าสิ่งที่ทางรัฐสภาประชุมไปแล้วเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ถูกต้อง ทำให้สิ่งที่สภาทำไปดำเนินการต่อไปได้ โดยจะเชิญสมาชิกรัฐสภา ประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ซึ่งตนได้หารือประธานวุฒิสภา เรียบร้อยแล้ว

เมื่อถามว่า ในฐานะประธานรัฐสภา เห็นควรหรือไม่ว่าแคนดิเดตนายกฯ ต้องเข้ามาชี้แจง และแสดงวิสัยทัศน์ด้วย นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถกำหนดได้ แต่รัฐธรรมนูญ และข้อบังคับ ไม่ได้กำหนด ก็ขึ้นอยู่กับสภาว่าจะเห็นสมควรอย่างไร

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา แถลงอีกครั้งหลังประชุมวิป 3 ฝ่ายเมื่อวันที่ 18 ส.ค. ว่า ในวันที่ 22 ส.ค. เวลา 10.00 น. จะนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อลงมติบุคคลที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกำหนดเวลา 5 ชั่วโมง แบ่งเป็นของ สว. 2 ชั่วโมง ส.ส.ไม่เกิน 3 ชั่วโมง คาดว่า จะลงมติในเวลา 15.00 น. และเสร็จสิ้นภายในเวลา 17.30 น. นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีความเห็นว่า ผู้ที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมรัฐสภา เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาไม่ได้กำหนดไว้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้หารือกับแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หลังหารือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เผยว่า วันนี้ ทีมเจรจาพรรค พท. ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านและหัวหน้าพรรค, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรค และตน ได้หารือร่วมกับแกนนำพรรค รทสช. ประกอบด้วย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค อย่างเป็นทางการ เพื่อเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล เพราะทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่า ประเทศมีวิกฤต จะต้องจับมือกันเป็นรัฐบาล สลายความขัดแย้งที่มีอยู่ให้หมดไป โดยการพูดคุยเป็นไปด้วยดี

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า พรรค รทสช. เข้าใจจุดมุ่งหมายในการตั้งรัฐบาลครั้งนี้เพื่อแก้วิกฤตที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ทางพรรค พท.เตรียมแถลงร่วมกับทุกพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้งก่อนโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค. ทำให้ขณะนี้พรรค พท.สามารถรวมเสียงพรรคการเมืองที่สนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พท.ได้แล้ว 314 เสียง และยืนยันว่า การหารือวันนี้ยังไม่ได้พูดคุยหรือตกลงเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นหลังโหวตนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว

วันเดียวกัน ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงว่า หัวหน้าพรรคให้มาชี้แจงกรณีที่พรรค รทสช.ได้มีคณะเจรจาพูดคุยกับคณะเจรจาของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการ และเห็นพ้องว่าพรรค รทสช.จะเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย และประชาชนต่อไป โดยจุดยืนของพรรค รทสช. คือจะไม่ร่วมงานกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้มาตรา 112 ซึ่งพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ไม่มีพรรคการเมืองดังกล่าว

นายอัครเดช ยังกล่าวถึงกรณีที่มีบางสื่อเสนอข่าวว่า มีการเจรจาเรื่องกระทรวงพลังงานหรือกระทรวงอื่นๆ โดยยืนยันว่า ไม่ได้มีการเจรจาต่อรองกระทรวงใดๆ ทั้งสิ้น เบื้องต้นมีการตกลงในหลักการในการที่ รทสช.จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า โควตารัฐมนตรีต้องชัดเจนก่อนโหวตนายกฯใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ยังมีเวลาในการพูดคุย ดังนั้นกว่าจะถึงวันที่ 22 ส.ค. ยังมีเวลาที่คณะเจรจาจะได้พูดคุยกันในละเอียด

เป็นที่น่าสังเกตว่า วันที่ 22 ส.ค. นอกจากจะเป็นวันที่รัฐสภาจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังเป็นวันที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ จะเดินทางกลับประเทศด้วย โดยเมื่อวันที่ 19 ส.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครับเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ และอัปเดตข้อความผ่านอินสตราแกรม ว่า “อังคารที่ 22 สิงหาคม 9.00 น. ณ ดอนเมือง จะไปรับคุณพ่อทักษิณค่ะ” พร้อมข้อความอีกว่า “เลื่อนไม่ได้ยกเลิก ไม่เพ้อเจ้อนะจ๊ะ”

ด้านนายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์ “บีบีซีไทย” (19 ส.ค.) ก่อนบินออกจากนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยยืนยันว่า มีกำหนดการเดินทางกลับถึงประเทศไทยในเวลา 09.00 น. ของวันที่ 22 ส.ค. แน่นอน จะไม่เลื่อนการเดินทางอีกแล้ว

ทั้งนี้ การเดินทางกลับบ้านเกิดหลังจากไป 15 ปี จะมีขึ้นในวันเดียวกับที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ให้ดำรงตำแหน่งนี้

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า นายเศรษฐาจะได้เสียงสนับสนุนมากพอจาก สส. และ สว. ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย นายทักษิณตอบว่า "แน่สิ"

อย่างไรก็ตาม นายทักษิณยืนยันว่า กำหนดการเดินทางกลับประเทศของตน ไม่เกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศ ตนมีแผนไว้แล้ว ก่อนที่ประธานรัฐสภาจะกำหนดวันโหวตเลือกนายกฯ "เดิมผมกำหนดกลับวันที่ 31 ก.ค. แต่รัฐบาลกำหนดให้เป็นวันหยุด ผมจึงเลื่อนมาเป็นวันที่ 10 ส.ค. แต่มีคนไปดูฤกษ์ดูยาม ให้เป็นวันที่ 22 ส.ค. เขาบอกว่าเป็นวันดี ซึ่งผมไม่เชื่อ แต่ไม่อยากขัดใจ อยากให้ทุกคนรักกัน อยากให้บ้านเมืองสงบ"

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ไม่เลือกกลับวันที่ 21 ส.ค. เพราะเป็นวันเกิดของลูกสาว คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งคงไม่ได้ฉลองในวันนั้น เพราะต้องไปนอนในคุก

นายทักษิณ ยังคาดด้วยว่า เมื่อเดินทางถึงไทยในวันที่ 22 ส.ค. คงต้องเป็นไปตามกระบวนการ รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ และพิมพ์ลายนิ้วมือ "ผมอายุเยอะแล้ว คิดถึงหลาน อยากอยู่กับครอบครัว"


2."เศรษฐา" สุดทน แฉกลับ "ชูวิทย์" ส่งข้อความข่มขู่ให้ซื้อที่ดิน 2 พันล้าน ทั้งที่มีนิติกรรมซ้อน พอไม่ซื้อก็โกรธ พยายามด้อยค่าตนด้วยข้อมูลเท็จ!


เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปคำชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กหลังนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด กล่าวหาว่า นายเศรษฐา บริหารงานบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ไม่โปร่งใส กรณีซื้อที่ดินย่านสารสิน และย่านทองหล่อ โดยชี้แจงว่า "ตลอดระยะเวลากว่าสามสิบปีในการทำธุรกิจของผม เป็นที่รับทราบ และยอมรับของสังคมมาโดยตลอด วันนี้ผมออกมาพูดในฐานะที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัท แสนสิริ และในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย

"บริษัท แสนสิริ ผ่านพ้นวิกฤตมาหลากหลายรูปแบบ ทีมงานทุกคนบริหารงานอย่างโปร่งใสในรูปแบบของคณะกรรมการตามข้อบังคับของบริษัท และตลาดหลักทรัพย์ เราทำงานตามหลักธรรมาภิบาล แสนสิริ เติบโตในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคงแข็งแรง ไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหาหรือแม้กระทั่งตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการทำงานและการประกอบการของบริษัทแต่อย่างใด

"ผมออกมาวันนี้ เพื่อให้ข้อเท็จจริงและตอบคำถามของสังคมในกรณีการจัดซื้อที่ดินของแสนสิริ และเรื่องนอมินี ในขณะที่ผมเป็นผู้บริหาร ผมยืนยันว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบการบริษัท เราดำเนินการด้วยความถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน ไม่เคยมีวิธีการนอกระบบกฎหมายเพื่อเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐ หรือแสวงหาประโยชน์เป็นการส่วนตัว

"ผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาในทุกกรณีที่คุณชูวิทย์นำมากล่าวอ้าง ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนให้เกิดความเสียหาย
ในทุก Episode ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาสร้างกระแสนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแปลงสารสิน หรือที่ดินซอยทองหล่อ เป็นเรื่องแบบเดียวกัน

“คุณต้องยอมรับว่า แสนสิริ ในฐานะผู้ซื้อ ทำธุรกรรมกับผู้ขายรายต่างๆ โดยชำระค่าที่ดินตามราคาตลาดที่สมเหตุสมผล สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ซื้อและผู้ขาย มีหน้าที่ที่ต้องชำระหนี้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด บริษัท แสนสิริ คือ ผู้ซื้อ ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการบริหารภายในของฝ่ายผู้ขายได้ในทุกขั้นตอน ฝั่งผู้ซื้อไม่มีนอมินี ไม่มีการปล่อยกู้ให้ผู้ขาย ความจริงเป็นการจดจำนองเพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญา และห้ามผิดสัญญาของบริษัทผู้ขาย และประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท มีหลักฐานชัดเจน ผมยืนยัน ไม่มีการทำสัญญากู้ครับ อีกทั้งไม่มีการสมคบคิดใดๆ และไม่เคยมีเงินทอนใดๆ กลับมาที่ผม หรือพนักงานแสนสิริ คนไหนทั้งสิ้น

"แปลงโครงการ KHUN by YOO มูลค่าที่ดิน 1 ล้าน 1 แสนบาทต่อตารางวา เป็นราคาที่ดินที่ถือว่าดีมาก ราคานี้ไม่มีเงินทอนให้ใครหรอกครับ ขอย้ำอีกครั้ง คุณชูวิทย์ต้องแยก “ผู้ขาย” กับ “ผู้ซื้อ” ให้ได้ อย่าบิดเบือน และแสนสิริ ไม่มีนอมินีแน่นอน หลังจากนี้ คุณจะพูดเรื่องที่ดินอีกกี่แปลงก็ได้ คุณต้องแยกผู้ขายกับผู้ซื้อให้ชัดเจน คุณชูวิทย์ ต้องใช้ความจริงที่ไม่บิดเบือน

"คุณโกรธเคืองที่บริษัทไม่ซื้อที่ดินคุณที่ซอยสุขุมวิท 24 เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เราตกลงกันจากราคา 2,000 ล้านบาท เหลือ 1,800 ล้านบาท แต่ที่ดินคุณชูวิทย์มีเงื่อนไขติดพันกับบริษัท ไรมอนด์ แลนด์ แสนสิริ ไม่สามารถซื้อที่ดินที่มีนิติกรรมซ้อนได้ คุณไม่พอใจ แต่เพราะเงื่อนไขของที่ดินของคุณเอง แสนสิริ เป็นบริษัทมหาชน ผมทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย รวมถึงไม่ผิดจริยธรรมใดๆ

"ที่ผ่านมา 10 เดือน ตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว จนมาถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในวันที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่ข่าวออกเรื่องมติของพรรคเสนอชื่อผมในสภา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ผมโดนข่มขู่ คุณฝากข้อความผ่านคนใกล้ชิดของคุณมา สั่งให้ผมมัดจำเงินเพื่อซื้อที่ดินของคุณ และทำ MOU แบบไม่มีเงื่อนไขในการซื้อที่ดินของคุณ

"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด คุณไม่มีสิทธิมาข่มขู่ผม คุณติดต่อผู้ใหญ่มากมายให้มาบอกผมว่าคุณจะแฉผม และทำทุกอย่างเพื่อให้ผมไม่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าจะให้ไม่แฉ ให้ผมตกลงซื้อที่ดิน 2,000 ล้านทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่อย่างนั้นคุณชูวิทย์จะเดินหน้าดิสเครดิตและด้อยค่าผมต่อไป

"คุณชูวิทย์บิดเบือนไปถึงเรื่อง Digital Wallet ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายฟอกเงินผ่านทาง Coin อะไรเลอะเทอะไปหมด ผมขอให้คุณชูวิทย์อย่าได้เอาเรื่องนโยบาย Digital Wallet ของพรรคเพื่อไทยมาโจมตีอย่างไม่มีหลักการ
โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี มีผลประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศชาติอย่างมาก สามารถช่วยเหลือประชาชนได้เป็นจำนวนมากถึง 50 ล้านคน ทั้งผู้ผลิต ทั้งการจ้างงาน ทั้งการยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน และเป็นนโยบายสำคัญที่สุดอันดับหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ทำให้ประเทศสามารถพลิกกู้กลับเข้ามาได้อีกครั้ง และงบประมาณทั้งหมดจะถูกตรงไปยังประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป

"การที่ผมพูดความจริงในครั้งนี้ ผมรู้ว่าคุณชูวิทย์ต้องไม่พอใจ และอาจไปฟ้องศาล ผมก็พร้อมที่จะนำพยานหลักฐานไปสู้คดีกับคุณชูวิทย์ในศาลต่อไป

"ผม เศรษฐา ทวีสิน ชีวิตผมตรวจสอบได้หมดทุกอย่าง ลูกผมมีงานที่ดีทำทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที ผมไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ทุกๆ คนเตือนผมว่าอย่าลงการเมือง มันเปลืองตัว ผมขอบคุณในความหวังดีของทุกท่าน แต่ผม เศรษฐา ทวีสิน วันนี้ผมตัดสินใจเอง ผมอาสาเข้ามาตรงนี้ เพราะอยากทำให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

"จากวันแรกที่ผมตัดสินใจจะทำ จนถึงวันนี้ ผมมั่นใจจะทำให้ประเทศชาติเหมือนเดิม ผมย้ำอีกครั้ง ศัตรูของผมคือความยากจน และความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผม คือ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน"

3. “ศรีสุวรรณ” ร้อง ป.ป.ช. เอาผิด “หมออ๋อง” ก้าวไกล-รอง ปธ.สภาฯ โพสต์เชียร์เบียร์ผิด ก.ม. แถมส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง ด้านเจ้าตัวอ้าง ก.ม.มีปัญหา!



เมื่อวันที่ 14 ส.ค. กระแสในสื่อสังคมออนไลน์ได้แชร์และวิจารณ์กรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือหมออ๋อง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และ สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล โพสต์ภาพเชียร์คราฟท์เบียร์ยี่ห้อหนึ่ง พร้อมข้อความระบุว่า "เอาแล้วๆๆๆๆ พิษณุโลกมีคราฟต์เบียร์ตัวแรกอย่างเป็นทางการแล้วครับ เป็นของดีพิดโลกนอกจากกล้วยตากและหมี่ซั่วครับ" โดยมีคนแชร์โพสต์นี้ออกไปจำนวนมาก ซึ่งหลายภาคส่วนมองว่า การโพสต์ดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32 ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายการค้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม

การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น ทั้งนี้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง"


2 วันต่อมา (16 ส.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ไต่สวนเอาผิดนายปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือหมออ๋อง กรณีโพสต์ภาพและข้อความและคลิปวิดีโอลงสื่อโซเชียลออนไลน์เชียร์คราฟท์เบียร์ยี่ห้อหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเข้าข่ายเป็นการโฆษณาต้องห้ามตามกฎหมาย ซึ่งอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 มาตรา 32 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากต้องระวางโทษแล้ว ผู้ฝ่าฝืนยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกิน 50,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งยังฝ่าฝืนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ 2563 อีกด้วย

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 ในการไต่สวนและมีความเห็นเกี่ยวกับมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 ว่า การกระทำของนายปดิพัทธ์เข้าข่ายการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 ประกอบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ข้างต้นหรือไม่ หากวินิจฉัยว่าเข้าข่าย ก็จะต้องส่งเรื่องให้อัยการฟ้องต่อศาลฎีกา เพื่อพิพากษาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย

นายศรีสุวรรณ ชี้ว่า มาตรฐานจริยธรรมฯ อย่างร้ายแรงที่นายปดิพัทธ์อาจฝ่าฝืนมีหลายข้อ อาทิ ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 17 และข้อ 21 ประกอบข้อ 27 ที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการไม่ประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน การก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นต้น “การกระทำของนายปดิพัทธ์อาจทำให้เยาวชนของชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะ FC ของพรรคก้าวไกลที่ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน อาจจะมีพฤติกรรมลอกเลียนแบบนายปดิพัทธ์ ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคคนหนึ่งก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายต่ออนาคตของชาติ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามกฎหมายต่อไป”

วันเดียวกัน (16 ส.ค.) หมออ๋อง ได้กล่าวถึงการโพสต์คราฟท์เบียร์ดังกล่าวอีกครั้งว่า ตนเห็นแล้วว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีปัญหา ผู้ผลิตไม่รู้จะเปิดตัวอย่างไร “ผมก็เลยลองไต่เส้นดู ไม่ได้เชิญชวนให้มาดื่มกัน แต่แจ้งให้ทราบว่ามีแล้ว ผมลองกินให้ดูก่อน ...ผมดื่มให้ดูนอกเวลาราชการ ไม่ได้มีเจตนาท้าทายกฎหมาย ทุ่มเทมา 3 ปี ก็อยากจะบอกเพื่อนๆ ว่าวันนี้เสร็จแล้วนะ ก็โดนเลย”

เมื่อถามว่า ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเรามีกฎหมายระบุไว้ หมออ๋อง กล่าวว่า หากมองมุมกฎหมายล้วนๆ ตนยอมรับว่า มีโอกาสผิด หมออ๋องยังกล่าวทำนองเหมือนต้องการโยนความผิดให้ คสช.โดยระบุว่า กฎหมายมาตรา 32 เกิดมาตั้งแต่ปี 2551 หลังรัฐประหารปี 2549 และว่า กฎหมายหลายข้อยังออกมาในช่วงยุค คสช. เช่น การห้ามขายสุราในวันพระใหญ่ การจัดโซนนิ่ง

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากต้องหลุดออกจากตำแหน่งรองประธานสภา หมออ๋อง กล่าวว่า หากเรามีความกลัว ทำได้แค่ใส่เครื่องแบบเซ็นเอกสาร โดยที่ไม่คิดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ...ยืนยันว่า ไม่ได้พลาด มองว่า ลักษณะนี้คล้ายกับกฎหมายขับรถเกินอัตราเร็ว ตนไม่ได้บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คิดว่าเป็นการเล่นงานทางการเมืองหรือไม่

4. "บิ๊กป๊อก" ยัน เบี้ยผู้สูงอายุยังเหมือนเดิม หาก คกก.ผู้สูงอายุฯ ยังไม่ปรับเกณฑ์ใหม่ และขึ้นอยู่กับ รบ.ใหม่จะปรับหรือไม่!



เมื่อวันที่ 15 ส.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวการปรับเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้าทุกคนว่า การจ่ายเดิมทางกรมบัญชีกลางเห็นว่า ผู้ที่มีรายได้อื่นๆ เช่น บำนาญ คงจะรับเงินไม่ได้ต้องเรียกคืน และในที่สุดก็มีปัญหา จนรัฐบาลต้องจ่ายเงินคืนให้ จากนั้นได้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่ง พม.ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ โดยกฤษฎีกาตีความว่า ระเบียบที่ออกนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่า ประชาชนจะต้องมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ รัฐบาลต้องช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นการที่กำหนดว่าจะให้ใครตามระเบียบเดิมไม่ได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการออกระเบียบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การจะให้นี้ต้องทั่วถึงและเป็นธรรม โดยจะมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นผู้กำหนดว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นธรรม ถ้าจะให้ทั่วถึงจ่ายทุกคนก็ได้ หรือจะไปกำหนดกลุ่ม คนที่มีรายได้มากอาจจะไม่ต้องจ่ายก็ได้ ซึ่งระเบียบนี้ก็เปิดทางไว้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคณะกรรมการผู้สูงอายุยังไม่กำหนด ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จ่ายแบบเดิมได้ ทั้งผู้ที่ได้รับอยู่แล้วและผู้ที่จะอายุครบ 60 ปีใหม่ สามารถจ่ายตามเกณฑ์เดิมได้

เมื่อถามว่า จะรอให้คณะกรรมการผู้สูงอายุพิจารณาก่อนใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แล้วแต่คณะกรรมการจะพิจารณาอย่างไร แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีอำนาจที่จะไปทำ เพราะมันคงผูกพันกับรัฐบาลใหม่แล้ว เนื่องจากใช้งบประมาณมาก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐบาลได้ทำหนทางไว้หมดแล้ว รัฐบาลใหม่มาจะทำอย่างไรก็สามารถทำได้หมด ดังนั้น ตอนนี้ผู้สูงอายุเดิมรับเงินอย่างไรก็รับไปตามเดิม ผู้สูงอายุใหม่ก็สามารถรับได้ตามเกณฑ์เดิม ตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ถามต่อว่า ตอนนี้ประชาชนยังไม่ต้องกังวลใจในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ต้องกังวล และถ้าตนมองในตอนนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์ทั่วถึงตามรัฐธรรมนูญ เป็นธรรม และมีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต หนทางเราเตรียมไว้ให้แล้ว ออกทางไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเสียงวิจารณ์การปรับหลักเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุว่า ได้ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์หลักการที่มาจากคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่มีหน้าที่ตรงนั้นอยู่ ข้อสำคัญจากประเด็นดังกล่าวอาจจะยังไม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจและแกล้งไม่เข้าใจก็ไม่ทราบเหมือนกัน ทั้งนี้ คนที่เคยได้รับอยู่แล้วก็ยังได้รับเหมือนเดิม ขณะเดียวกันวันนี้เป็นการเตรียมการสู่อนาคตว่าจะใช้งบประมาณอย่างไรให้เพียงพอในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐบาลหน้า สามารถดำเนินการได้ต่อไป ถ้ามีเม็ดเงินงบประมาณที่เพียงพอ

แต่สิ่งที่เราทำมันจำเป็นต้องทำ เพราะผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่บางคนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นเราต้องมาดูว่ามีเงินมากน้อยแค่ไหน จริงๆ แล้วเรียกว่าเป็นการเผื่อแผ่แบ่งปันซึ่งกันและกัน คนที่มีรายได้สูงเขาได้เสียสละมาในการที่จะดูแล อันนี้ไม่ได้ไปให้โดยตรงอยู่แล้ว ให้ผ่านทางภาษีอะไรก็ว่ากันไป “ฉะนั้นอย่าไปฟัง หลายๆ อย่างมาจากคนที่ไม่เคยทำและไม่เคยเป็นรัฐบาลมา แล้วนำมาพูด ผมไม่อยากจะมาตอบโต้ตรงนี้”

5. "ดีเจเพชรจ้า" ให้ปากคำดีเอสไอ ยันเงิน 5 หมื่นจาก "อภิรักษ์" Forex-3D เป็นค่าจ้างรีวิวโชว์รูมรถ ด้านดีเอสไอเตรียมเรียกคนสนิทอภิรักษ์สอบ!



เมื่อวันที่ 18 ส.ค. กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ หรือกองคดีแชร์ลูกโซ่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้นัดหมายนายวิเชียร กุศลมโนมัย หรือ “ดีเจเพชรจ้า” เข้าให้ปากคำในฐานะพยานครั้งที่ 1 ในคดีพิเศษกรณีความผิดฐานฟอกเงินและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องจากคดีฉ้อโกงแชร์ Forex-3D เนื่องจากพนักงานสอบสวนพบเส้นทางการเงินจากนายอภิรักษ์ โกฎธิ อดีตผู้บริหาร Forex-3D และเป็นผู้ต้องหารายสำคัญ ซึ่งอยู่ระหว่างรับโทษจำคุกในเรือนจำฯ ได้โอนเงินจำนวน 50,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของดีเจเพชรจ้า จึงต้องออกหมายเรียกให้เจ้าตัวเข้าชี้แจงถึงการทำธุรกรรมทางการเงินดังกล่าว

หลังเข้าพบพนักงานสอบสวน ดีเจเพชรจ้า สัมภาษณ์ว่า มาให้การในฐานะพยาน ยืนยันไม่รู้จักกับนายอภิรักษ์เป็นการส่วนตัว เงิน 5 หมื่นที่ได้รับมา เป็นค่าจ้างจากงานรีวิวปกติ และว่า หลังจากนี้ เตรียมเข้าพบตำรวจไซเบอร์ต่อ เพื่อฟ้องหมิ่นประมาทเพจกุข่าว หาว่าเตรียมหนีคดีไปฮ่องกง

“สำหรับเงิน 5 หมื่นบาท ที่เรารับงานในฐานะที่เป็นลูกจ้าง ตอนรับงานมา เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนที่ติดต่อเรามา แต่ว่าวันนี้ ด้วยการที่เราได้คุยกับเจ้าหน้าที่ เราก็มีหลักฐานมากขึ้น ว่ากลุ่มไหนที่เป็นคนที่ติดต่อเรามา แล้วคนโอนเงินมาเป็นคุณอภิรักษ์ ที่โอนเข้ามาจ่าย ตอนนั้นเราไม่ทราบครับว่าเป็นเขา แต่รายละเอียดอยู่ในสำนวนหมดแล้ว ทุกอย่างโอเคถูกต้อง เป็นการรีวิวปกติ”

"ตอนที่มีหมายมา เรายังงงอยู่ว่าเอ๊ะ เราไปเกี่ยวกับเขาได้ยังไง เราไม่ได้รู้จักเขาเลย เราก็มานั่งคิด จนสุดท้ายเราก็มีข้อมูลว่าอ๋อ มีเงิน 5 หมื่นบาท ที่มีคนชื่ออภิรักษ์โอนเข้ามาสู่บัญชีเราเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราก็อุ๊ย มันอยู่ตรงไหนนะ นั่งคิดว่า 5 หมื่นบาทต้องเป็นงานรีวิวแน่เลย ก็เลยไถไอจีย้อนลงไป ในวันที่มียอดเงิน 5 หมื่นบาทเข้ามา ไถกลับไป 5 ปี จนไปถึงวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2018 ก็ไปเจอภาพรีวิวจริงๆ พอเห็นภาพแล้วก็คิดว่าอันนี้แน่นอน กดเข้าไปในอินเทอร์เน็ตเลย เพื่อดูว่าโชว์รูมนี้มันของใคร ก็ปรากฎอยู่ในข่าว ว่ามันพ่วงกันอย่างนี้นี่เอง”


ด้าน ร.ต.ท.เสฎฐวุฒิ สายป้อง ผอ.ส่วนคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ 3 ดีเอสไอ เผยกรณีดีเจเพชรจ้า เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน หลังพบการโอนเงินจากนายอภิรักษ์ 50,000 บาท เข้าบัญชีส่วนตัวว่า ก่อนหน้านี้ ดีเจเพชรจ้าเคยชี้แจงเป็นหนังสือมายังพนักงานสอบสวนคดีพิเศษว่า ตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวแล้ว พบเป็นเงินค่าจ้างโพสต์ภาพเพจโชว์รูมรถซุปเปอร์คาร์ ของบริษัท อาร์เคเค ออโต้ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีนายอภิรักษ์ โกฎธิ เป็นกรรมการ แต่จำไม่ได้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นผู้ใด เนื่องจากเป็นระยะเวลานานแล้ว และนายอภิรักษ์ เป็นตัวการสำคัญในคดี อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินคดี Forex-3D โดยใช้รถยนต์หรูเป็นเครื่องมือ ดังนั้น ประเด็นที่ว่า บุคคลใดเป็นผู้ว่าจ้างดีเจเพชรจ้าให้โพสต์ภาพจึงมีความสำคัญต่อรูปคดี และจำเป็นต้องสอบปากคำในประเด็นดังกล่าว

ร.ต.ท.เสฎฐวุฒิ เผยอีกว่า พนักงานสอบสวนอยากรู้ว่าใครเป็นคนที่ติดต่อว่าจ้างให้โพสต์ภาพดังกล่าว ซึ่งในระหว่างการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ยังได้มีการแสดงรูปภาพให้ดู แต่ด้วยความที่ผ่านเวลามานานหลายปี เจ้าตัวจึงจำไม่ได้ ส่วนเรื่องหนังสือว่าจ้างโปรโมทโชว์รูมดังกล่าว ตนได้ข้อมูลแล้วว่าใครเป็นคนติดต่อว่าจ้าง ซึ่งพบว่าเป็นคนใกล้ชิดกับนายอภิรักษ์ โกฎธิ และหลังจากนี้อาจจะออกหมายเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาให้ข้อมูล เพราะต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด

“ยืนยันว่าไม่ได้เรียกเจ้าตัวมาเพื่อคาดคั้นเอาความผิด แต่เรียกมาให้ข้อมูล เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปยังบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง หรือคนที่นำเงินมาให้ดาราทำอะไร แสดงว่าคนที่นำเงินมาว่าจ้าง ก็ย่อมคาดหวังว่าดารารายใดก็ตามอาจจะทำอะไรได้มากกว่าคนปกติทั่วไป รวมถึงยังหมายความได้ว่าบุคคลที่ติดต่อทางข้อความมายังดีเจเพชรจ้า อาจจะมีความสำคัญต่อนายอภิรักษ์พอสมควร ไม่อย่างนั้นคงตัดสินใจแทนนายอภิรักษ์ไม่ได้”


ร.ต.ท.เสฎฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ตนไม่อยากให้มองแค่เรื่องเงิน 50,000 บาท เพราะอันนี้เป็นยอดจากรายการเดินบัญชี แต่อาจจะมีจากทางอื่นก็เป็นได้ แต่วันนี้ในข้อเท็จจริงพบแค่ยอด 50,000 บาท ซึ่งในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้เป็นผู้ลงทุน แต่รับจ้างรีวิวโพสต์ภาพ ในฐานะพนักงานสอบสวนก็ต้องตรวจสอบต่อว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพราะคือการเอาเงินของผู้ลงทุนมาจ้างดาราโปรโมทให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งเมื่อปี 2558-2562 แชร์ Forex-3D เกิดขึ้นแล้ว พนักงานสอบสวนจึงเล็งเห็นและเชื่อได้ว่าอาจเป็นเงินจากแชร์ Forex-3D อย่างไรก็ตาม เรื่องการกดติดตามในอินสตาแกรมของดีเจเพชรจ้า กับนายเอ็ดดี้ โพการี และนายอภิรักษ์ ยืนยันว่าต้องตรวจสอบดูความสัมพันธ์ทั้งหมด


กำลังโหลดความคิดเห็น