“สนธิ” เผยสาเหตุ “ชูวิทย์” ออกอาการบ้าๆ บอๆ ไล่นักข่าว “ผู้จัดการ” ออกจากห้องแถลงข่าว เมื่อ 15 ส.ค. เพราะกลัวถูกถามเรื่องนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษีขายที่ดินหลัง รร.เดอะเดวิส ที่ตนเปิดโปงผ่านรายการเมื่อสัปดาห์ก่อน และเตรียมให้นักข่าวมาถาม แต่ “เสี่ยอ่าง” รีบตัดจบ ไล่ออกจากห้องแถลง อ้างว่าไม่ใช่นักข่าว ทั้งที่เมื่อวันที่ 3 ส.ค.เคยมาสัมภาษณ์ขอดูเอกสารก็ยังคุยกันดี พร้อมเผยประวัติ “โน้ต วัชรินทร์” อยู่ในวงการข่าวมา 20 ปี ผ่านงานสื่อทั้งกับสยามรัฐ-ไทยรัฐ ก่อนมาที่ MGR-News1 และเป็นทีมงาน “สนธิทอล์ก”
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักธุรกิจอาบอบนวดและนักการเมือง ได้เปิดแถลงข่าวที่โรงแรมเดอะเดวิส บางกอก เมื่อวันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2566 เกี่ยวกับการซื้อที่ดินย่านทองหล่อของบริษัทแสนสิริ จำกัด(มหาชน) โดยตั้งชื่อการแถลงข่าวให้ดูตื่นเต้นว่าเป็นการ "แฉเพื่อชาติครั้งสำคัญ"
นายสนธิกล่าวว่า การแถลงของนายชูวิทย์ครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จเพราะชาวบ้านรู้ทันว่าเป้าหมายของนายชูวิทย์ที่แท้จริงคือการโจมตีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ผ่านบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เหมือนเดิม เพราะปีที่แล้ว 2565 นายชูวิทย์เคยพูดคุยเรื่องธุรกิจกับนายเศรษฐา เกี่ยวกับเรื่องดินหลังโรงแรมเดอะเดวิส ซอยสุขุมวิท 24 แต่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่นายชูวิทย์คาดหวัง จึงเลยหาเรื่องมาโจมตีนายเศรษฐาเพื่อแบล็กเมล
ซึ่งก็เหมือนกับการออกมาแสดงละครทุกครั้ง นายชูวิทย์ที่เคยเรียกตัวเองว่าเป็น “มหาโจร” ได้เตรียม “พร็อพ” ประกอบฉากการแสดง แล้วหันมาแขวะ “นักข่าวผู้จัดการ” ซึ่งเดินทางไปรายงานข่าวการแถลงข่าวตามปกติ เป็นระยะ ๆ รวมทั้งพาดพิงมาถึงนายสนธิ แต่กลับกลายเป็นการประจานตัวเอง ว่าเป็นคนถ่อย เถื่อน สถุล และไร้สาระ
“ใครที่ยังจะเป็นกองเชียร์คุณชูวิทย์ก็ให้รู้เอาไว้ว่า มันบ่งบอกว่าคุณกับคุณชูวิทย์ก็คงเป็นไม่ได้แตกต่างกัน คุณจะพาดพิง ล้อเลียนผมก็ไม่เป็นไร ผมเจอมาเยอะแล้ว แต่ที่ผมต้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้เพราะพฤติกรรมเมื่อวันอังคารนั้นเป็น “การคุกคามนักข่าว” อย่างชัดเจน” นายสนธิกล่าว
วันนั้น หลังจากแสดงละครลิงด่านายเศรษฐา, แสนสิริ, ด่าพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร, หันมาจิกกัดนายสนธิแล้ว นายชูวิทย์ก็หันมาแขวะ“นักข่าวผู้จัดการ”ที่เดินทางไปร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย การด้อยค่า กล่าวหานักข่าวของหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ผู้จัดการ
“ถ้าแน่จริง มาเอง อย่าส่งลูกกระจ๊อกมา อย่างคุณน่ะ!” นายชูวิทย์กล่าว พร้อมแสดงท่าทีเหยียดหยาม คุกคาม นักข่าวของผู้จัดการ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เผอิญนักข่าวผู้จัดการ ชื่อ นายวัชรินทร์ กลิ่นมะลิ หรือ“โน้ต” ที่ถูกส่งไปทำข่าวนั้นไม่ใช่เด็กน้อย ที่นายชูวิทย์จะจิกหัว ด่าทอได้ตามใจ เขาเป็นนักข่าวมือเก๋าระดับทำข่าวมาแล้ว 20 ปี จึงเกิดเหตุสวนกลับนายชูวิทย์เข้า เพราะ“นายโน้ต วัชรินทร์” ก็ไม่ใช่พระอิฐ พระปูน เขาก็เดินไปทำหน้าที่สื่อมวลชนตามปกติของเขา ไม่ได้ไปป่วนแต่อย่างใด
นายชูวิทย์เองก็รู้ นักข่าวที่เดินตามนายชูวิทย์ และคอยส่งข่าว ส่งข้อมูลให้ “หมาแก่” นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ก็รู้ว่า “นายโน้ต” เป็นนักข่าวที่สังกัดอยู่กับสื่อผู้จัดการ-NEWS1 การแถลงข่าวของนายชูวิทย์ ที่ รร.เดวิส เมื่อครั้งก่อน วันที่ 3 สิงหาคม 2566 ก็เคยขอเข้าไปดูหลักฐานที่นายชูวิทย์ โดยบอกว่าไม่เอาแค่หน้าปก แต่ขอดูเนื้อในด้วย แต่นายชูวิทย์ก็ไม่ให้ดู
“นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่คุณชูวิทย์ฉุนแล้วพูดโวยวายออกมาว่า มาทำข่าวแต่ทำไมไม่ลงข่าวตามที่คุณพูด ... คำตอบก็คือ สิ่งที่คุณพูดถ้ามันไม่มีหลักฐาน แค่โชว์กระดาษมาปึกหนึ่งแล้วบอกว่าหลักฐานอยู่นี่ แล้วก็วาง ใครขอดูก็ไม่ได้ นักข่าวขอตามไปดูในห้อง ก็เอาแค่แผ่นแรกให้ดู ข้างในมีอะไรก็ไม่ให้ดู แต่ก็พูดเป็นตุเป็นตะ อ้างอิงว่าหลักฐานอยู่ในเอกสารนี้ เวลาที่คุณชูวิทย์กล่าวหาคนอื่น เป็นข้อมูลเท็จ หรือ เป็นข้อมูลจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง ทำไมพวกผมต้องลงข่าวให้คุณด้วย?
“วิชาชีพนักข่าวที่แท้จริงมีหน้าที่แสวงหาความจริง ไม่ใช่ใครพูดอะไรมา แม้ว่าจะพูดโกหก พูดหมิ่นประมาทคนโน้นคนนี้ อย่างปราศจากข้อเท็จจริงก็ต้องนำเสนออย่างนั้นหรือ? คุณชูวิทย์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า หรือว่าหลงคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า” นายสนธิกล่าว
ประวัติย่อ “โน๊ต วัชรินทร์”
“โน้ต” วัชรินทร์ กลิ่นมะลิ ปัจจุบันอายุ 43 ปี เคยทำงานกับหนังสือพิมพ์สยามรัฐ , ไทยรัฐ และปัจจุบันสังกัดอยู่กับ สื่อผู้จัดการ-NEWS1 และเป็นทีมงาน “สนธิทอล์ก” ด้วย
“วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2566 ที่คุณชูวิทย์ไปกล่าวหาเขาว่าไม่ใช่นักข่าว เป็นคนสอดแนมที่ผมส่งไปนั้น เผอิญเป็นวันเดียวกับที่เขาเริ่มงานเป็นนักข่าวเมื่อ 20 ปีที่แล้วพอดิบพอดี” นายสนธิกล่าว
“โน้ต วัชรินทร์” เริ่มทำงานเป็นนักข่าวเมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม 2546 - เป็นรีไรต์เตอร์แผนกข่าวอาชญากรรม นสพ.สยามรัฐ (ระยะสั้น 2 เดือน) จากนั้น ขอกองบรรณธิการ มาเป็นนักข่าวช่างภาพอาชญากรรม ดูแลรับผิดชอบในพื้นที่นครบาล จนถึง 31 ธันวาคม 2559
วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นนักข่าวช่างภาพอาชญากรรม ดูแลรับผิดชอบในพื้นที่นครบาล จนถึง 30 พฤศจิกายน 2564 (แต่ช่วงเมษายน 64 ติดโควิด-19 มีอาการหนัก ต้องเข้ารับการรักษาตัวนานกว่า 8 เดือน)
วันที่ 1 มกราคม 2565 พอร่างกายฟื้นฟูจากการติดโควิดกลับมาทำงาน โดยเปลี่ยนจากคนหนังสือพิมพ์ เป็นคน TV ได้เข้ามาทำงานในตำแหน่ง นิวส์โปรดักชั่น รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ ช่อง 32 ไทยรัฐทีวี
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 – ได้เข้ามาเป็นนักข่าวของสื่อผู้จัดการ-NEWS1 และเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน Sondhi Talk จนถึงปัจจุบัน
ตำแหน่งในองค์กรวิชาชีพ ช่วงปี 2550-2557 โน๊ต วัชรินทร์ เคยเป็น รองนายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ทั้งยังเคยเป็นวิทยากรหลักของสมาคมนักข่าวนักหนังสื่อพิมพ์แห่งประเทศไทย(สมาคมใหญ่) ในโครงการของ “ยูนิเชฟ” เกี่ยวกับทำข่าวสิทธิเด็ก อยู่ 3-4 ปี
สุดท้ายนายชูวิทย์ที่ถนัดแสดงละครลิงข้างเดียว พอเจอคนโต้ตอบถึงกับไปไม่เป็น ไล่ “นายโน้ต วัชรินทร์” นักข่าวออกจากพื้นที่แถลงข่าว แล้วกล่าวหาว่าเขาไม่ใช่นักข่าว
เบื้องหลังไล่นักข่าว กลัวถามปมเลี่ยงภาษี
“สำหรับประเด็นของเรื่องนี้ จากที่ผมได้พูดในรายการ “สนธิทอล์ก” สัปดาห์ที่แล้ว ผมทำเพื่อเอาความจริงมาให้ปรากฎ ผมไม่รู้คุณชูวิทย์ กับลูก ๆ 4 คน เลี่ยงภาษีในการซื้อขายที่ดินสุขุมวิท 24 จริงหรือเปล่า แต่เอกสารมาอย่างนี้ จึงเตรียมจะให้นายโน้ตไปถามในที่แถลงข่าว เพราะหลังจากที่ผมพูดในรายการเมื่อศุกร์ที่ผ่านมา คุณชูวิทย์ไม่เคยตอบโต้เลย มีแต่บอกกับคนใกล้ชิดว่าเขาไม่ผิด”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า นอกจากการซื้อขายที่ดินดังกล่าวจะมีปัญหากับกรมสรรพากรเรื่องภาษีแล้ว ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรุงเทพมหานคร เรื่องใบอนุญาตก่อสร้าง ที่ต่อแล้วต่ออีก 20 ปี เป็นคำถามที่เตรียมไว้ให้นายชูวิทย์ตอบ
“เวลาคุณกัดผม คุณเอารูปไดคัตของผม ตัดออกมา แล้วคุณดื่มฉี่โน่นนี่นั่น เป็นการล้อเลียนผม เอาคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาอ่าน แล้วก็กล่าวหาผมโน่นนี่นั่น คุณไม่ได้อ่านคำพิพากษาให้ละเอียดหรอก ถ้าอ่านให้ละเอียดจะรู้ว่าผมทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อผมขึ้นศาลแล้วผมไม่ได้สู้ ผมสารภาพว่าผมผิด ผมไม่ได้ตะแบง คุณเอาเรื่องฉี่ มาว่าผมทานฉี่ คุณเป็นคนที่สติปัญญาต่ำต้อยมาก คุณเก่งแต่ปาก แต่ปากคุณมีแต่น้ำลายสกปรก แล้วข้อมูลเท็จทั้งสิ้น”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่า กรณีที่นายชูวิทย์หาว่า นักข่าวผู้จัดการไม่ใช่นักข่าว เพราะมาฟังแล้วไม่ยอมลงข่าวตามสิ่งที่ตัวเองพูด ก็เพราะว่าสื่อมวลชนที่แท้จริงต้องฟังข้อมูลรอบด้าน ฟังแล้วต้องมาค้นคว้าต่อ แล้วเขาคิดว่าสิ่งที่คุณพูดไม่จริง ก็ลงไปในทางที่เขาคิดว่าถูกนั่นคือ investigate report การทำข่าวเจาะ ไม่ใช่มานั่งฟัง นายชูวิทย์พูดยังไงก็ลงไปตามนั้น ไม่ถามไม่ตั้งข้อสงสัย ไม่คิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่พูดมามันจริงหรือเท็จ
สิ่งที่นายชูวิทย์พูดล้วนแต่เป็นเท็จ แม้กระทั่งที่บอกว่ามีการเอานอมินีของบริษัทแสนสิริมาซื้อที่ดิน ซึ่งผมไม่อยากจะพูดมากเดี๋ยวจะหาว่าปกป้องแสนสิริ แต่การกระทำของแสนสิริกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปในประเทศไทยทำเหมือนกันหมด แม้กระทั่งที่ดินของคุณชูวิทย์ที่ตกลงกับนายเศรษฐาว่าจะขายให้แสนสิริในราคา 2,000 ล้านบาท แต่ต่อรองกันได้ 1,800 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าสัญญาผูกพันกับผู้ซื้อเดิมให้นายชูวิทย์ไปจัดการเอาออกก่อน ปัญหาอยู่ที่คนขาย ซึ่งคนขายทุกคนในประเทศนี้ต้องการเสียภาษีน้อย เหมือนอย่างที่ดินของนายชูวิทย์ที่โอนไปโอนมาเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อให้บริษัทสมบัติเติมตระกูลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตั้งแต่ต้นไม่ต้องเสียภาษีมาก โดยเสียเพียง 11 ล้านบาท จากภาษีที่ต้องจ่ายจริง 359 ล้านบาท
“เวลาคุณทำเรื่องของคุณ คุณก็พยายามเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่พอมาถึงแสนสิริ คุณต้องการเข่นฆ่าเขาให้อาสัญไปเลย เพราะว่าคุณให้เขาซื้อที่ดินแล้วเขาไม่ซื้อ มีปัญหาหลายอย่างเขาเลยตัดสินใจไม่ซื้อ คุณก็เลยต้องแบลกเมลให้เขาซื้อให้ได้ ถ้าไม่ซื้อผมจะแฉคุณ
“มุกอย่างนี้คุณใช้กับทุกกรณี คุณใช้กับเสี่ยกำพล เจ้าของอาบอบนวดวิคตอเรียที่กำลังหนีคดีอยู่ แล้วแอบกลับมาเปิดอาบอบนวดใหม่ มีสารวัตรซัวร่วมลงทุนด้วย มีคนไปติดต่อว่าต้องเอาเงิน 30 ล้านบาทไปให้คุณชูวิทย์ คุณชูวิทย์รับปากจะไม่พูด อะไรต่ออะไรแบบนี้”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า คราวที่แล้ว(วันที่ 3 สิงหาคม) ที่นายโน้ตไปสัมภาษณ์นายชูวิทย์ มีการพูดคุยกันดีๆ แต่วันนี้นายชูวิทย์กลับบอกไม่ใช่นักข่าว มีการรีบตัดจบให้ออกจากวงแถลงข่าว เพราะกลัวใช่ไหมว่า นายโน้ตจะไปถามเรื่องนิติกรรมอำพรางที่ตนได้พูดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“คนของผมไม่ได้กลัวใครเลย เขาไม่ได้กลัวคุณด้วย อะไรที่มันถูกเขาพร้อมที่จะยอมรับ อะไรที่มันผิดเขาก็พร้อมที่จะต่อสู้
“คุณโน้ตนักข่าวผม นอกจากไม่ใช่สากกระเบือแล้ว ยังไม่ใช่แมสเซนเจอร์ ไม่ใช่นกแก้วนกขุนทอง ที่ใครพูดอะไรแล้วต้องว่าตาม ที่สำคัญไม่ใช่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคุณอย่างคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา และช่อง 3 ซึ่งขนมเค้กที่เอามาจุดเอาเทียนดอกหนึ่งมาติด เพื่อให้คุณเป่า บอกว่าอาจจะเป็นเค้กวันเกิดครั้งสุดท้ายในชีวิต คนที่เอามาก็คือนักข่าวช่อง 3 รู้กันเอง รู้กันดี พวกคุณมีกี่คน หนุนกันยังไงผมรู้หมด”
นายสนธิ กล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมานายชูวิทย์ถูกจับโป๊ะได้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า รับเงิน , รับงาน และแบล็กเมล์ คนโน้นคนนี้จนเคยตัว เห็นได้ชัดคือกรณี “เศรษฐา-แสนสิริ” คือ หลักฐานชี้ชัดว่านายชูวิทย์ต้องการขายที่ดินตัวเอง พอไม่ได้ก็เอาเรื่องเขามาปั่น ข่มขู่ อ้างว่า“แฉเพื่อชาติเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ตั้งขึ้นมาเพื่อบังหน้า
“นักข่าวของผมได้เตรียมคำถามต่างๆ เหล่านี้ไปถาม ให้คุณชูวิทย์ตอบ แต่คุณคงกลัวความจริงจะถูกเปิดโปงจนต้องแสดงอาการบ้าๆ บอๆ” นายสนธิกล่าว