“สนธิ” ยื่นฟ้องแล้ว ยูทูปเบอร์สาวทำคลิปมโน อ้างยืมเงิน “ทักษิณ” แล้วไม่ได้ จึงออกมาประท้วง ศาลนัดไต่สวน 16 ต.ค.นี้ ลั่นดำเนินคดีถึงที่สุดจนกว่ามีคำพิพากษาของศาลฎีกา ติงคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักแยกแยะข้อเท็จจริงกับข่าวปลอมหรือโฆษณาชวนเชื่อ เป็นที่มาของอินฟลูเอนเซอร์หิวแสง ไม่มีความรู้เรื่องข่าว แต่ออกมาทำช่องเล่าข่าวเป็นตุเป็นตะกันเต็มโซเชียล
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับยูทูปเบอร์เจ้าของช่อง “nailname” ที่ชื่อว่า น.ส.รติศา วิเชียรพิทยา หรือเนม ซึ่งได้ทำคลิปกล่าวพาดพิงว่าตนกับนายทักษิณ ชินวัตร เป็นเพื่อนสนิทกัน ยืมเงินกัน พอไม่ให้ก็เลยออกมาประท้วงนายทักษิณ ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วสิ่งที่ “เนม รติศา” พูดนั้นไม่ได้มีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้เลยแม้แต่นิดเดียว อ้างเพียงแค่ว่า เป็นทฤษฎีที่ชาวเน็ตเชื่อ เป็นข่าวเมาท์มอยในตำนาน หรือ Quote นี้ชาวเน็ตแชร์กันเยอะ
“ซึ่งผมก็บอกแล้วว่า ไอ้คำว่าทฤษฎีที่ชาวเน็ตเชื่อ, ข่าวเมาท์มอยในตำนาน, เรื่องนี้ชาวเน็ตแชร์กันเยอะ อยากให้คุณเนม กับ ทนายไปใช้อ้างอิงในศาลหน่อย ลองดูซิว่าท่านผู้พิพากษาท่านจะว่ายังไง?”
นายสนธิกล่าวอีกว่า ทนายความของตนได้ส่งฟ้องน.ส.รติศาไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 เป็น คดีหมายเลขดำที่ อ.2362/2566 ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรก วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2566 เวลา 9.00น.
ทั้งนี้ หลังจากที่ได้ประกาศว่าจะดำเนินคดีกับยูทูปเบอร์ เนม รติศา ก็มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคลิปของเนม, คลิปใน Sondhi Talk และ เว็บไซต์ Sondhi Talk โดยมีหลาย ๆ ความเห็นที่พูดถึง “เนม” กับคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เชื่อเนม อาทิ
-สมัยนั้นน้องอาจจะอยู่มัธยม การหาข้อมูลจาก google มันก็ต้องเลือกน่ะครับ fact (ข้อเท็จจริง) กับ opinion (ความเห็น) ต้องแยกให้ออก
-ข้อมูลบิดเบือนมั่วเยอะมากนะครับ ซึ่งมีเยอะจริง ๆ พวกรู้มากรู้เยอะแต่รู้ไม่จริงแล้วชอบเสียงดัง แต่ก็ยินดีด้วยครับ โดนฟ้องแล้ว (แค่เรื่องทักษิณโดนเนรเทศก็มั่วแล้ว ขนาดจตุพรเพิ่งไปโหนกระแสยังบอกอยู่เลยว่าตั้งใจหนีไปทั้งที่สมุนทุกคนก็รู้ รูปวิดีโอตอนกราบสนามบินก็มีครบ ยังมั่วได้ใจอีก แล้วเด็กก็เชื่อ?) นี่คือคนรุ่นใหม่หรอครับ? ตาสว่างแบบไหนกัน? ตั้งคำถามกับตัวเองบ้างนะเยาวรุ่น
-น่าแปลกตรงที่ว่าด้อมวัยนี้ 30-35 ปี นี่โง่ทุกตัว ไม่มีข้อมูลเก่า ๆ ครั้งในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถ้าได้จดจำหรือสนใจการเมืองอยู่ในช่วงนั้น จะรู้ข้อมูลเยอะกว่านี้ จริง ๆ น่าจะมีข้อมูลในสมองมากกว่าคนวัย 20-29 ปี ด้วยซ้ำไป แต่อย่างว่า โตขึ้นมาก็เจอโซเชียลที่พวกชอบจำอวดทำโชว์ตามยูทูป เรื่องไม่จริงซะส่วนมาก เรื่องจริงจะอยู่ในช่องข่าวทีวี เพราะถ้าไม่จริง บรรณาธิการไม่กล้าลงกลัวโดนฟ้อง รายได้จากยูทูปจะพอค่าทนายกับค่าปรับหรือป่าวไม่รู้นะ งานนี้ซวยออกยูทูปเลย
-ประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยข่าวลือ ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มีภาษาพูดแล้วมั้ง ยุคข่าวสารปากต่อปาก ต่อด้วยการพิมพ์ใบปลิว ยุคสื่อสิ่งพิมพ์ ยุคสื่อดิจิตอล ตอนนี้ทุกคนมีมือถือ ก็คือสามารถเสพข่าวปลอมได้ทุกที่ทุกเวลา ... ปัญหาใหญ่ของประเทศคือไอ้ข้อมูลเท็จนี่แหล่ะ ทำยังไงคนในชาติถึงจะแยกเรื่องจริงเรื่องลวงได้ แต่ละคนมีความสามารถแต่ละอย่างไม่เท่ากัน ตัวอย่างในอดีตก็มีมาแล้ว ประวัติศาสตร์โลกก็จารึกไว้มากมายหลายเหตุการณ์
นายสนธิ กล่าวอีกว่า สืบเนื่องจากเรื่องเด็กรุ่นใหม่ แยกแยะเรื่องข้อเท็จจริง (fact) กับความคิดเห็น (opinion)ไม่ออกอย่างเนม รติศา รวมไปถึงเด็กรุ่นใหม่ และด้อมส้ม ที่โตมากับอินเทอร์เน็ต และเสพติดโซเชียลมีเดีย อย่างเช่นที่นิตยสาร TIME เคยขึ้นปกเอาไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วในปี 2556 (ค.ศ.2013) ว่า The ME ME ME Generation คือ Generation ME ซึ่งเขาอธิบายความหมายไว้ว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือเข้าขั้น “หลงตัวเอง”
GEN ME นี้เมื่อโตมาโลกก็มีอินเทอร์เน็ตแล้ว พอโตขึ้นมาก็ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นสรณะ พอได้เห็นวิถีชีวิตของพี่น้องเพื่อนฝูงที่แชร์เรื่องแชร์เรื่องราว ภาพ อวดลงโซเซียล ก็ทำให้ตัวเองรู้สึกอยากได้อยากมีบ้าง นั่นเป็นที่มาของวลี “ของมันต้องมี”
นอกจากนี้ พอมีอินเทอร์เน็ต มีโซเชียล ก็นึกว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง ฉลาดเฉลียวกว่าทุกคน อ้างว่าเป็น “ข้อมูลเบิกเนตร”, “ตาสว่าง” ฯลฯ
ไม่เพียงเท่านั้น GEN ME ยังชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในโลกโซเชียล คาดหวังต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างในระดับที่สูงปรี๊ด พอรู้สึกว่าตัวเองฉลาด ก็อยากให้คนอื่นยอมรับ อยากได้งานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ แต่พอออกมาเจอโลกแห่งความเป็นจริง หลายคนก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ก็ยิ่งพยายามสร้างตัวตนให้โดดเด่นมากขึ้นในทางใดทางหนึ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีความมั่นใจว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนรุ่นนี้หมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเอง
"ผมมีข้อมูลบางอย่างจะเอามาเบิกเนตร พวกที่เรียกตัวเองว่าคนรุ่นใหม่, พวกด้อมส้ม, พวก Generation ME ที่หลงตัวเอง แล้วก็นึกว่าตัวเองมีอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลเป็นแล้วจะฉลาดกว่าคนอื่น เพราะข้อมูลนั้นมีอยู่เต็มโลกออนไลน์ แต่ประเด็นก็คือ คนรุ่นใหม่พวกนี้กลับแยกแยะระหว่าง ข้อเท็จจริง (Fact) กับ ความคิดเห็น (Opinion) ไม่ออก
"นอกจากนั้นคนพวกนี้ยังแยกไม่ออกด้วยระหว่าง โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ข่าวปลอม (Fake News) ข้อมูลเท็จ, ข่าวลวง (Misinformation) ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ฯลฯ"
นี่จึงเป็นที่มาของการออกมาฉอด ๆๆๆ ของอินฟลูเอนเซอร์, ยูทูปเบอร์, ติ๊กต๊อกเกอร์ หิวแสงจำนวนมาก(ไม่เพียงแค่เนม) ที่มาจากไหนไม่รู้ – ศึกษาอะไรมา - เรียนจบอะไรมาก็ไม่รู้ เคยทำงาน มีประสบการณ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารหรือก็ไม่ ไม่เคยเป็นนักข่าว ไม่เคยเป็นบรรณาธิการ ไม่เคยสัมผัสของจริง ๆ เพียงแต่ฟังเขาเล่ามา เขาเขียนมา เขาเมาท์มา แต่อยู่ ๆ ก็ออกมาเล่าข่าว เอาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ในโซเชียลมาเล่าเป็นตุเป็นตะ โดยไม่คัดกรอง แถมยังใส่ความคิดเห็นที่บิดเบี้ยวของตัวเองลงไปอีก
“คุณเนมครับ คดีคุณกับผมคงต้องยาว เพราะ FC ของผมจำนวนมากบอกมาว่าอย่าไปยอมความนะ อย่าใจอ่อนนะ จะขอขมา ขอร้องอะไรอย่าไปยอมเด็ดขาด ไปให้สุดซอย คุณเนมครับ ผมให้คำมั่นสัญญากับ FC ผมไว้เลย จริงๆ ผมไม่อยากจะทำอะไรคุณมันไม่ไหวละ แต่ผมคิดว่าเมื่อ FC ขอร้องมา ผมก็คงดำเนิคดีไปจนสุดซอย ถึงขั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ไปถึงที่สุด จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษามาเป็นคำพิพากษาสุดท้ายก็แล้วกัน” นายสนธิกล่าว