1."เพื่อไทย" สลัด "ก้าวไกล" ให้ไปเป็นฝ่ายค้าน เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ด้าน "พิธา" ให้กำลังใจ ส.ส. ไม่ผิดหวัง มีแต่พลังงาน!
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกับแกนนำพรรคก้าวไกล ก่อนโทรศัพท์แจ้งผลประชุมให้แกนนำ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลทราบ ซึ่งต่อมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ได้แถลงผลการหารือร่วมกับพรรคก้าวไกล
โดย นพ.ชลน่าน อ่านแถลงการณ์สรุปว่า หลังจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาได้ เนื่องจากพรรคการเมืองอื่นๆ และสมาชิกวุฒิสภา ไม่ยอมรับนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ดังนั้น ที่ประชุม 8 พรรคร่วม จึงมีมติส่งมอบภารกิจแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย โดยเห็นชอบแนวทางให้พรรคเพื่อไทย หาเสียงสนับสนุนทั้งจากพรรคการเมืองนอกกลุ่มพรรคร่วมเดิม และ สว.ได้
พรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมทั้งจาก สว. และ สส. โดยการเชิญหลายพรรคการเมืองเข้าหารือ และส่งตัวแทนรับฟังความคิดเห็น สว. พบว่า นโยบายแก้ไขมาตรา 112 ยังคงเป็นเงื่อนไขหลัก ขณะที่บางพรรคและบางคนแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งที่จะไม่สนับสนุนการร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกลในทุกกรณี
ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทยได้ปรึกษาหารือกับพรรคก้าวไกลขอถอนตัวจากการร่วมมือกัน และเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่ เสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา ขอยืนยันชัดเจนว่า เราจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วม พรรคเพื่อไทยจะใช้ความพยายามรวบรวมเสียง ให้เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเหมาะสม และพรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และยืนยันจะทำงานการเมืองในมิติใหม่ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชน ในภารกิจที่สำคัญ ดังนี้
1. เราจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอันเป็นต้นเหตุของความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ โดยเริ่มจากมติ ครม.ในการประชุมครั้งแรก ให้มีการทำประชามติ และจัดตั้ง ส.ส.ร. ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ รัฐบาลจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งใหม่ ภายใต้กรอบกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2. จะผลักดันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมได้นำเสนอต่อประชาชนให้ประสบความสำเร็จ อาทิ กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายสุราก้าวหน้า การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เป็นต้น
พรรคเพื่อไทย ขอแสดงความจริงใจต่อเพื่อนมิตรทุกพรรค และ สว. รวมทั้งประชาชนว่า นี่คือแนวทางที่จะรักษาสถาบันสำคัญของชาติให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ และช่วยผลักดันความต้องการของประชาชน ภายใต้ข้อจำกัดและเส้นทางที่ยากลำบากนี้ไว้ได้ เพื่อภารกิจนำพาประเทศพ้นวิกฤต
ด้านนายประเสริฐ จันทร์รวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี 6 พรรคร่วมที่เหลือจะตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต่อหรือไม่ว่า ขอให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละพรรค ส่วนพรรคก้าวไกลจะโหวตนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ เป็นเอกสิทธิของพรรคก้าวไกล
ส่วนพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะมีพรรคใดบ้าง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จะแถลงอย่างเป็นทางการในช่วงบ่ายวันที่ 3 ส.ค. ส่วนจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติหรือพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ขอให้รอดูตอนแถลง
อย่างไรก็ตาม นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เผยในเวลาต่อมาว่า เมื่อศาลธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาปมมติรัฐสภาพห้ามเสนอชื่อโหวตนายกฯ ซ้ำ ออกไป ประธานรัฐสภาจึงมีการเลื่อนวาระการเลือกนายกฯ ออกไป ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงเลื่อนการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 3 ส.ค.ออกไปเช่นกัน พร้อมยืนยันว่า ตอนนี้มีเสียงเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว แต่เมื่อเลื่อนไป ก็มีเวลาทำงานมากขึ้น การแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายยิ่งได้มากก็ยิ่งดี
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงหลังพรรคเพื่อไทยขอถอนตัวจากการร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลว่า ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะอยู่ในสถานะไหน หลังจากนี้ พรรคจะทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างระบบการเมืองบ้านเราให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นระบบที่เสียงของประชาชนมีความหมายจริงๆ สักวัน...
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจแกนนำพรรคก้าวไกล หลังถูกพรรคเพื่อไทยถอนตัวจากการร่วมจัดตั้งรัฐบาลว่า "ไม่มีอะไรที่ พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกลต้องเสียใจ ไม่มีอะไรที่ พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกล ต้องเสียหน้า ไม่มีอะไรที่ พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกล ต้องท้อแท้ สิ้นหวัง... พวกเขาต่างหากที่ต้องท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าในอนาคตจะชนะก้าวไกลได้ด้วยวิธีไหน จะยุบ จะตัดสิทธิ อย่างไร ก็ฆ่า “ความคิด” ไม่ตาย... หนทางพิสูจน์ม้า และเวลาพิสูจน์คน ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา ดีเสียอีก… ที่การเมืองไทยได้ขีดเส้นใหม่แบ่งใหม่ชัดเจน ต่อไป ไม่ใช่สงครามสีเสื้อ ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรค แต่คือการต่อสู้ระหว่าง อดีต vs อนาคต... สู้ จนกว่า… อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน"
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งอยู่ระหว่างถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว ได้โพสต์อินสตาแกรมหลังพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลว่า “ไม่มีผิดหวัง มีแต่พลังงาน เป็นกำลังใจให้เพื่อน ส.ส.ก้าวไกล ทำหน้าที่ในสภา เพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเขาจะเลือก หรือไม่เลือกเรามา ผมติดตามดูอยู่ เต็มที่ทุกคนนะครับ”
2"วันนอร์" สั่งเลื่อนวันโหวตนายกฯ หลังศาล รธน.เลื่อนพิจารณาปมห้ามโหวตนายกฯ ซ้ำ ด้าน "ทักษิณ" เลื่อนกลับไทยเช่นกัน!
เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณากรณีผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 กรณีรัฐสภามีมติตีความว่าการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในรอบที่สอง เป็นญัตติทั่วไป ต้องห้ามนำเสนอญัตติซ้ำอีกตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ซึ่งมีผู้ร้องเรียนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 ราย คือ 1. รศ.พรชัย เทพปัญญา 2. ผศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร และ 3. นางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์ และคณะ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 25 วรรคสาม และมาตรา 23 โดยผู้ตรวจการแผ่นดินกล่าวอ้างว่า รศ.พรชัย ผู้ร้องเรียนที่ 1 และ ผศ.ดร.บุญส่ง ผู้ร้องเรียนที่ 2 เป็นประชาชน ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเลือกพรรคก้าวไกล ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นบุคคลเพียงรายชื่อเดียวที่พรรคก้าวไกลเสนอชื่อเป็นบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และนางปัญญารัตน์และคณะ ผู้ร้องเรียนที่ 3 เป็นสมาชิก ส.ส. พรรคก้าวไกล การที่รัฐสภามีมติดังกล่าว ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้องเรียนทั้งสาม และขอให้กำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้มีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องให้พิจารณาวินิจฉัย (เพิ่มเติม) ของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 27 ก.ค. แล้ว มีคำสั่งรับรวมไว้ในสำนวน และศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติม และเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า คำร้องนี้มีประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีประเด็นเชิงหลักการการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติม จึงให้เลื่อนการพิจารณาสั่งคำร้องและให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญศึกษาข้อมูล เพื่อประกอบการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ส่วนคำขอให้กำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ให้รอสั่งในคราวเดียวกันกับการพิจารณาสั่งคำร้อง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินระบุสถานะบุคคลของคณะผู้ร้องเรียนที่ 3 ทุกรายว่า เป็นประชาชนหรือสมาชิกรัฐสภา โดยให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันอังคารที่ 15 ส.ค. และให้นัดพิจารณาคำร้องนี้ในวันพุธที่ 16 ส.ค. เวลา 09.30 น.
วันต่อมา (3 ส.ค.) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้สั่งเลื่อนการประชุมรัฐสภาในวันที่ 4 ส.ค. ซึ่งเดิมกำหนดให้เป็นวันที่จะโหวตนายกรัฐมนตรีที่เป็นแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยออกไปก่อน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีรัฐสภามีมติห้ามเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกฯ ซ้ำ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ออกไปเป็นวันที่ 16 ส.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังวันโหวตเลือกนายกฯ ถูกเลื่อนออกไปตามการเลื่อนของศาลรัฐธรรมนูญ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ก็เลื่อนกลับประเทศเช่นกัน โดยนายทักษิณได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “ผมขอเลื่อนวันเดินทางกลับไทยจากวันที่ 10 ไปอีกไม่เกินสองสัปดาห์ วันเวลาจะแจ้งอีกครั้ง หมอเรียกให้ไปตรวจร่างกายก่อนครับ”
3. "ชัชชาติ" อ้าง ศาล ปค.ไม่ได้สั่งให้ "แอชตัน อโศก" รื้อถอน แค่แก้ไขให้มีทางเข้า-ออกตาม ก.ม. ให้เวลา 30 วัน ยัน กทม.ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร!
ความคืบหน้าหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างคอนโดหรู "แอชตัน อโศก" เหตุไม่ชอบด้วย ก.ม. เนื่องจากไม่มีพื้นที่ทางเข้า-ออกติดถนนสาธารณะตามขนาดที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้รถดับเพลิงเข้าออกได้โดยสะดวก และการที่ รฟม.อนุญาตให้บริษัท อนันดาฯ นำที่ดินที่ได้จากการเวนคืน ไปให้บริษัทอนันดาฯ ก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ของบริษัทฯ ดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะขัดต่อวัตถุประสงค์ของการเวนคืนที่ดิน ซึ่งบริษัทอนันดาฯ เตรียมเรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. ได้แถลงถึงแนวทางการดำเนินการกับอาคารชุดแอชตัน อโศก โดยนายวิศณุ กล่าวว่า โครงการแอชตัน อโศก แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ การยื่นแจ้งเพื่อขออนุญาตก่อสร้าง และการขอใบรับรองดัดแปลงอาคาร
โดยบริษัทอนันดา เจ้าของโครงการแอชตัน ยื่นแจ้งครั้งแรกเมื่อปี 58 ซึ่ง กทม.มีหนังสือทักท้วงไป และมีการยื่นต่อมาอีกรวม 3 ครั้ง กทม. ก็มีหนังสือทักท้วงไปตลอด จนกระทั่งมีการฟ้องเป็นคดีกันในปี 58 และหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะต้องมีการยื่นขอเปิดอาคาร
ทางบริษัทฯ ได้ยื่นขอมาเมื่อปี 60 ซึ่ง กทม. ก็ทักท้วงไป เนื่องจากยังมีคดีเรื่องทางเข้า-ออก ซึ่งไม่ได้ตามที่กฎหมายกำหนดอยู่ โดยแอชตันได้ยื่นอุทธรณ์ไปที่กรรมการควบคุมอาคาร จนกรรมการอุทธรณ์พิจารณาเห็นว่า กทม. ควรออกใบรับแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯ ให้
ซึ่งทางสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร จึงออกใบรับแจ้งฯ ให้แบบมีเงื่อนไข โดยระบุว่า เรื่องที่ดินที่ตั้งโครงการซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ที่มีผู้ฟ้องคดีกรณีโครงการใช้ที่ดินของ รฟม. ผ่านเข้า-ออก นั้น หากศาลมีคำพิพากษาสิ้นสุดแล้ว ผลพิจารณาทำให้อาคารดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย ผู้ได้ใบรับรองจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อตนเองและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งต้องดำเนินการแก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารต่อไป
ด้านนายชัชชาติ กล่าวว่า กฎหมายมาตรา 41 ระบุชัดถึงเจตนารมณ์ว่า สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ โดยให้ระยะเวลา 30 วัน ซึ่งทาง กทม. จะต้องเชิญทางบริษัทอนันดา เจ้าของโครงการแอชตัน และผู้เกี่ยวข้องมาร่วมหารือว่า สามารถปรับปรุง และแก้ไขตามที่กฎหมายกำหนดได้หรือไม่
หากไม่ได้ ทาง กทม. อาจจะขยายระยะเวลาให้ได้ตามเหตุอันสมควร และขอยืนยันว่า กทม. ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ใดทั้งสิ้น แต่คำพิพากษาของศาลตัดสินให้เพิกถอนใบรับแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯ ไม่ใช่การรื้อถอน ดั้งนั้น กทม. จึงต้องให้โอกาสในการยื่นขอใบรับแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯ ใหม่ เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย
นายชชาติ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางเข้า-ออกอาคารที่เป็นปัญหาดังกล่าว ยังเปิดใช้การได้ตามปกติ ซึ่งกทม.จะเร่งดำเนินการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด แต่เรื่องดังกล่าวไม่ใช่กรณีที่เร่งด่วนในเรื่องของความปลอดภัยของตัวอาคาร อาทิ เรื่องโครงสร้างอาคารไม่ถูกต้อง จนอาจมีความเสี่ยงเกิดการถล่ม หรือรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปที่อาคารดังกล่าวได้ ซึ่งนั่นเป็นกรณีที่เร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ
ดังนั้น อาคารดังกล่าวยังปลอดภัยดีอยู่ทุกประการ แต่ปัญหาเป็นเรื่องของทางเข้า-ออกอาคารที่ต้องดำเนินการตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 500 ราย และเป็นความรับผิดชอบของผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่ต้องแก้ไขปัญหา
โดยจะทำหนังสือถึงเจ้าของโครงการเพื่อรับทราบแนวทางในการแก้ปัญหา แล้วจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลจาก รฟม. เพื่อถอดบทเรียนถึงปัญหา กระบวนการในการแก้ปัญหาหากพบกรณีดังกล่าวในอนาคต ที่ กทม.จะนำข้อมูลไปพิจารณาปรับปรุงแนวทางในการอนุญาตก่อสร้างอาคารต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีปัญหาในกรณีดังกล่าว
วันต่อมา (4 ส.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้เดินทางไปที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้ผู้ว่าฯ กทม. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและเอาผิดทั้งทางแพ่งและอาญาผู้เกี่ยวข้อง กรณีแอชตัน อโศก และขอให้ กทม. มีคำสั่งหยุดใช้อาคารคอนโดดังกล่าว ตาม มาตรา 41 และ 42 ของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้ บริษัทอนันดาต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลที่ได้แนะนำไว้ ซึ่งต้องไปหาที่ดินที่ไม่เกี่ยวกับของรัฐมาให้ได้ไม่ต่ำกว่า 12 เมตร ถ้าอนันดาหาได้เรื่องนี้ก็จบเลย แต่ถ้าหามาไม่ได้ภายใน 60 วัน กทม.อาจขยายเวลาออกไปได้อีกเป็น 90 วัน แต่ถ้าเลย 90 วันแล้วยังหาไม่ได้ กทม.ต้องใช้ไม้เรียวในการสั่งทุกอย่างตามกฎหมาย ซึ่งสามารถทำได้ โดยใช้อำนาจของผู้ว่า กทม. เป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522
นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องนี้สะท้อนบทเรียนว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย อย่าใช้เทคนิคหลีกเลี่ยง อย่าใช้เทคนิคซิกแซกข้อกฎหมาย เพราะกฎหมายตรงไปตรงมาของมันอยู่แล้ว แต่ที่เกิดปัญหาทุกวันนี้ เพราะผู้ประกอบการนายทุนรวมหัวกับเจ้าหน้าที่รัฐในการเบี่ยงเบนประเด็นหรือเจตนาของกฎหมาย จนนำไปสู่ปัญหาที่ต้องถกเถียง จนส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคหรือผู้เช่าซื้ออาคารตามมาเป็นลูกคลื่น
ทั้งนี้ นอกจากยื่นเรื่องให้ กทม.ตรวจสอบแล้ว นายศรีสุวรรณยังได้เดินทางไปยื่นร้องเรียนต่อ รฟม. กรมที่ดิน และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) เพื่อขอให้สอบสวนในประเด็นที่แต่ละหน่วยงานเกี่ยวข้องด้วย
4. ศาลฎีกา เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต “ธณิกานต์” อดีต ส.ส.พปชร. ฝากบัตรให้คนอื่นลงมติแทนในสภา เมื่อปี 62!
เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ศาลฎีกา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องว่า น.ส.ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ผู้คัดค้าน มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีฝากบัตรให้คนอื่นลงมติแทนในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2562 ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 วาระที่ 1 และวาระที่ 3 ทำให้ผลการ ลงมติ พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ฯลฯ
โดย ป.ป.ช.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ศาลฎีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษา ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้าน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ซึ่งผู้คัดค้านให้การปฏิเสธ
องค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านไม่ได้อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และการที่ปรากฏชื่อผู้คัดค้านแสดงตนและลงมติทั้งสองครั้ง มิได้เกิดจากความผิดพลาดของระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้คัดค้านเป็นผู้เก็บรักษาบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติไว้กับตนเองและได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์นั้นลงมติมาตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังเกิดเหตุอย่างต่อเนื่องทั้งวัน โดยไม่ปรากฏว่ามีบุคคลอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในช่วงเกิดเหตุ ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง กรณีจึงเป็นการยากที่จะมีผู้อื่นลักลอบเอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติของผู้คัดค้านไปและส่งกลับคืนให้โดยผู้คัดค้านไม่รู้เห็นได้
หากมี ส.ส. รายอื่นนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงลงมติของผู้คัดค้านไปใช้แสดงตนและลง
มติในเวลาเกิดเหตุโดยผิดหลงดังที่ผู้คัดค้านอ้าง การที่ผู้คัดค้านได้รับบัตรอิเล็กทรอนิกส์คืนมา ก็แสดงว่า ส.ส.รายนั้นได้ทราบถึงความผิดหลงแล้ว ส.ส.คนดังกล่าวน่าจะต้องตรวจสอบและแจ้งให้มีการแก้ไขผลการลงมติ แต่ตามรายงานการประชุม สภาผู้แทนราษฎรวันเกิดเหตุ กลับไม่ปรากฏว่า มี ส.ส.รายใดใช้บัตรผิดหลง ข้ออ้างของผู้คัดค้านจึงเลื่อนลอย ไม่อาจรับฟังได้
หากบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติไม่ได้อยู่กับผู้คัดค้าน เมื่อผู้คัดค้านกลับเข้ามาที่ห้องประชุมก็น่าจะต้องค้นหาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนให้ได้คืนมาก่อนจะลงคะแนน ซึ่งย่อมจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านและผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นรับรู้และจดจำเหตุการณ์ได้บ้าง แต่ผู้คัดค้านกลับกล่าวอ้างลอยๆ ว่า ไม่ทราบว่าพบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใดและไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดเลย นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยเป็นอย่างยิ่ง ส่อแสดงว่า จะเป็นการบ่ายเบี่ยงเพื่อปฏิเสธความรับผิดของตน พร้อมทั้งปกปิดชื่อ ส.ส.ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติของผู้คัดค้าน
พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกันมีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแก่ ส.ส.รายอื่น การออกเสียงลงคะแนนของผู้คัดค้านจึงเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต อันเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส.ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ
ทั้งขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่ได้ปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยเฉพาะการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของผู้คัดค้านเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริต ถือได้ว่าเกิดความเสียหายแก่สภาผู้แทนราษฎรและปวงชนชาวไทยแล้ว การกระทำของผู้คัดค้านถือได้ว่าเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ฐานไม่รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ฐานไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง
นอกจากนั้น การกระทำของผู้คัดค้านดังกล่าวยังก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมโปร่งใส และตรวจสอบได้ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
แต่มูลเหตุที่ทำให้ผู้คัดค้านกระทำการการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมส่วนนี้ เกิดจากผู้คัดค้านได้เตรียมจัดงานเสวนาหัวข้อ “การเลี้ยงดูลูกในยุคสมัยดิจิทัล” ซึ่งเป็นโครงการกิจกรรมวันแม่ ประจำปี 2562 โดยกำหนดวันจัดงานไว้ล่วงหน้าและนัดหมายวิทยากร รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์แก่ผู้มาร่วมงานไปก่อนแล้ว ประกอบกับร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว การกระทำในส่วนนี้จึงยังไม่พอถือได้ว่า เป็นกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีลักษณะร้ายแรง
ส่วนข้อที่ผู้ร้องกล่าวหาว่า ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั้น ศาลเห็นว่า ผู้คัดค้านมิได้กระทำไปในลักษณะที่เข้ามีส่วนได้เสียในการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ผู้คัดค้านปฏิบัติหน้าที่หรือมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบ หรือได้เข้าไปมีส่วนได้เสียหรือทำงานกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญาของหน่วยงานของรัฐแต่อย่างใด
ทั้งการที่ผู้คัดค้านให้ ส.ส.ราย อื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเพื่อทำการแสดงตนและลงมติแทนนั้น ก็ไม่ปรากฏว่า อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือการครอบงำใด ๆ ของบุคคลอื่น กรณียังถือไม่ได้ว่า การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมตามคำร้อง
พิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ 11 ส.ค.2564 อันเป็นวันที่ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา
ส่วนในแง่คดีอาญานั้น เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ กรณี น.ส.ธณิกานต์ เสียบบัตรแทนกัน โดยพิพากษายืนให้จำคุก 1 ปี ปรับ 2 แสนบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
5. เด้ง 4 เสือ สภ.มูโนะเข้ากรุ ตั้งกรรมการสอบ "ส่วยพลุ" สะพัด ตร.มาเลย์จับเจ้าของโกดังพลุระเบิดที่หลบหนีส่งให้ไทยแล้ว!
ความคืบหน้าการดำเนินคดีเหตุโกดังพลุและดอกไม้ไฟระเบิดในพื้นที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ส่งผลให้ตลาดและบ้านเรือนในชุมชนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 10 ราย บาดเจ็บอีกนับร้อยราย
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 ช่วยเหลือเยียวยา เร่งรัดการสอบสวนดำเนินคดีขยายผลดำเนินการผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งตรวจค้นโกดังพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ส่วนความคืบหน้าทางคดี ได้ออกหมายจับ 2 สามีภรรยาเจ้าของโกดังที่อยู่ระหว่างหลบหนีในประเทศมาเลเซียแล้ว โดย ผบ.ตร.กำชับให้ประสานไปยังตำรวจมาเลเซียช่วยติดตามจับกุมด้วย
ส่วนประเด็นข้อสงสัยว่า โกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟมาตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนได้อย่างไร มีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ พล.ต.ท.อาชยน กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้ย้ำให้ ผบช.ภ.9 เร่งทำความจริงให้ปรากฏ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ ปล่อยปละละเลย ให้ดำเนินการเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง ซึ่ง ผบช.ภ.9 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยมี พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 เป็นหัวหน้าคณะ
เบื้องต้น เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นธรรม สังคมเกิดความเชื่อมั่น พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส มีคำสั่งย้ายข้าราชการตำรวจ สภ.มูโนะ จำนวน 4 นาย มาช่วยราชการที่ ศปก.ภ.จว.นราธิวาส ประกอบด้วย ผกก., รอง ผกก.ป., สว.ป. และ สว.สส. ส่วนอีก 1 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งว่าง คือ รอง ผกก.สส. เนื่องจากเสียชีวิตไปแล้ว
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (2 ส.ค.) นพ.ชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นราธิวาส ได้นำคณะลงพื้นที่จุดเกิดเหตุโกดังพลุระเบิด เพื่อตรวจสอบคุณภาพของน้ำและมลพิษทางอากาศ เนื่องจากมีสารพิษจากโกดังฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ ก่อนเผยในเวลาต่อมาว่า น้ำในระยะ 500 เมตรไม่สามารถนำมาใช้ในทุกกรณี ส่วนรัศมี 500 เมตรขึ้นไป ต้องใช้น้ำด้วยความระมัดระวัง และว่า ตอนนี้แหล่งน้ำที่ใช้ในการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบมาจากประปาของ อบต. น้ำบาดาลของโรงเรียนบ้านมูโนะ หลังจากนั้นจะเป็นส่วนของทหารเข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ “ส่วนของมลพิษทางอากาศ ตอนนี้มีสำนักควบคุมโรคติดต่อลงพื้นที่สุ่มตรวจอากาศในแต่ละจุด ซึ่งไม่พบความผิดปกติของอากาศ”
ล่าสุด (5 ส.ค.) มีรายงานว่า ตำรวจมาเลเลเซียได้ควบคุมตัวนายสมปอง ณ พล หรือเสี่ยไหว และน.ส.ปิยะนุช พึ่งวิรวัฒน์ หรือเจ๊หลิน สามีภรรยา เจ้าของโกดังเก็บพลุระเบิด มาส่งมอบให้ทางการไทยที่ด่านพรมแดนสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา แล้ว โดยมีหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.สงขลา ทั้งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ตม. และตำรวจ สภ.มูโนะ เดินทางไปรับมอบตัว และนำตัวทั้งสองคนเดินทางมายัง สภ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อทำบันทึกการจับกุม และดำเนินการตามขั้นตอนทางคดี เนื่องจากทั้งสองคนถูกออกหมายจับ ก่อนส่งตัวให้ สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส