xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯ ประสาทกิน กลัวโดนล้วงตับ ไล่กวาดล้างนักวิทย์มะกันเชื้อสายจีนดำเนินคดีนับพันราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลกร้ายเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ เห็นว่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีน เป็นภัยต่อความมั่นคง กลัวว่าจะเป็นสายลับจารกรรมข้อมูลสำคัญไปให้จีน ถึงกับให้เอฟบีไอติดตาม สอบสวน ข่มขู่และดำเนินคดีนับพันราย หรือบางรายตายอย่างมีเงื่อนงำ ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยเทคโนโลยีเชื้อสายจีนหวาดผวาและอพยพหนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะไปที่จีนมากที่สุด



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการกวาดล้างนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยชาวอเมริกันเชื้อสายจีนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เอง เพราะกลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามความมั่นคง เนื่องจากคนอเมริกันเชื้อสายจีนเหล่านั้น มีความสามารถและเก่งกว่าชาวอเมริกันทั่วไป

นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกในระดับมัธยมที่ญี่ปุ่น ปรากฏว่าทีมประเทศจีนมาอันดับหนึ่ง อันดับสองคือทีมอเมริกา แต่ในรูปทีมอเมริกาที่ชนะอันดับสองนั้น หน้าตาเป็นลูกจีนเกิดที่อเมริกาทั้งนั้น ไม่มีฝรั่งหัวทองเลยแม้แต่คนเดียว


กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางจีน หรือไต้หวัน หรือฮ่องกง พวกนี้เป็นคนที่เรียนเก่งมาก เก่งในลักษณะที่ว่าเริ่มมีการกีดกันเด็กที่มีเชื้อสายจีน ถึงแม้ว่าจะเป็นพวก ABC (American Born Chinese) คือพ่อแม่เป็นคนจีนที่อยู่ในอเมริกา แล้วเกิดลูกในอเมริกา

ปรากฏว่าที่มหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์วาร์ด MIT มีคะแนนพิเศษ ไม่ใช่ให้เข้าได้ง่ายๆ ถ้าเป็นคนผิวดำ หรือคนเชื้อลาตินอเมริกา ที่เรียกว่า Hispanic จะมีคะแนนช่วย แต่ถ้ามีเชื้อสายจีน ไม่ว่าจะมาจากประเทศจีน หรือเกิดในอเมริกา ต้องทำสูงกว่าคะแนนมาตรฐานอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะมีสิทธิ์เข้าได้ ขนาดนั้นแล้วก็ยังสู้เด็กที่มีเชื้อสายทางจีนหรือเอเชียไม่ได้

ปรากฏว่ามีนักศึกษาจำนวนมากที่ไปจากประเทศจีน แล้วไปเรียนต่อที่นั่น หลายคนเป็นอัจฉริยะ แต่อเมริกาได้สร้างเงื่อนไขตามล้างตามเช็ดนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ซึ่งพอเรียนจบแล้วก็หางานทำในอเมริกา เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ เป็นศาสตราจารย์ เป็นนักวิจัย อยู่ตามบริษัทต่างๆ ที่ใหญ่มาก ในงานวิจัยที่สำคัญๆ รวมทั้งเป็นอาจารย์อยู่ตามมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี


ตอนนี้เนื่องจากอเมริกากำลังปิดล้อมจีน จึงใช้นโยบายชี้ว่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงสหรัฐฯ กลัวว่าจะเป็นสายลับจีนสอดแนมความลับ จารกรรมข้อมูลสำคัญมาให้จีน

อเมริกาถึงให้ FBI ติดตามสอบสวน ข่มขู่ ดำเนินคดีนับ 100 ราย บางรายตายอย่างมีเงื่อนงำ น่าสงสัย ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ นักฟิสิกส์ นักวิจัยเทคโนโลยีเชื้อสายจีนนับพันหวาดผวาและพากันอพยพหนีภัยผิวขาว จากอเมริกา หนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลับไปประเทศบ้านเกิดเมืองนอน คือประเทศจีน อย่างมากที่สุด

ผุดโครงการ “The China Initiative” กวาดล้างนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีน

ปัญหา "สมองไหล" ลักษณะนี้ในอเมริกานั้นผิดปกติมากตั้งแต่ปี 2561 เพราะว่ามีโครงการหนึ่ง เรียกว่า The China Initiative สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กระทรวงยุติธรรมอเมริกาประกาศข้อกังวลว่าได้มีการจารกรรมทางเศรษฐกิจของจีนอย่างเป็นทางการ ก็เลยเปิดโครงการ The China Initiative พุ่งเป้าไปที่นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในอเมริกา


อดีตรัฐมนตรียุติธรรม เจฟฟ์ เซสชันส์ (Jeff Sissions) พุ่งเป้าสงสัยว่ามีการจากรรมทรัพย์สินทางปัญญาในห้องทดลองและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้จีน เขาระบุในแถลงการณ์ว่า กลุ่มนักวิชาการเหล่านี้คือกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากวัฒนธรรมอันเปิดกว้าง และเป็นพื้นที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ในระดับสากลที่เอื้อให้มีการไหลผ่านของแนวคิดต่างๆ และทำให้เป็นโอกาสที่จีนจะฉวยหาผลประโยชน์ได้


ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว นายทรัมป์ ต้องการปิดล้อมจีนด้านเทคโนโลยี เขามั่นใจว่าจีนต้องขโมยเทคโนโลยีอเมริกาไป จึงเปิดตัวแผนขุดรากถอนโคนจารกรรมของจีนภายในอเมริกาด้วยโครงการ The China Initiative หรือที่เรียกว่า กวาดล้างจารชนจีน เพ่งเล็งไปที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีน

ไม่เว้นแม้กระทั่ง ABC : American Born Chinese คือพ่อแม่เป็นจีน พ่ออาจจะเป็นเจ้าของร้านอาหาร หรือแม่อาจจะทำงานล้างชาม แต่ว่าลูกเกิดที่อเมริกา ก็เลยเป็นคนอเมริกา ก็เรียกว่า ABC คนพวกนี้เรียนเก่ง เก่งจริงๆ แต่ทรัมป์เรียกพวกนักวิชาการอเมริกันเชื้อสายจีนว่า Bad Apple (แอปเปิลเน่า)

การตามล่าหาจารชนคนทรยศของทรัมป์ ที่ถือว่าตัวเองเป็นราชาแห่งการสืบสวนสอบสวน เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยรรัฐบาลกลางอเมริกากำหนดพื้นที่เป้าหมาย 94 แห่งทั่วประเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันที เขาพุ่งเป้าไปที่นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนมาก

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2561 - มีนาคม 2564 สมัยรัฐบาลทรัมป์ มีนักวิชาการทางวิจัยอย่างน้อย 1,300 คน รวมทั้งศาสตราจารย์ที่ดำรงตำแหน่งในมหาวิทยาลัยอเมริกา ถูก FBI บุกเข้าค้น พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัวอย่างต่อเนื่อง ว่าจะถูกกล่าวหาและเข้าคุก คุมขังคุกลับ


ยกตัวอย่างกรณีของ ศาสตราจารย์ ซี เสี่ยว ชิง นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน มหาวิทยาลัยเทมเปิล

ศาสตราจารย์ซี เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทมเปิล ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย โดน FBI ยัดข้อหาจารกรรมข้อมูลแบบพิมพ์เขียวเครื่องทำความร้อนขนาดกระเป๋า (Pocket Heater Use in Super Conductor Research) ให้เพื่อนนักวิจัยที่จีนเมื่อปี 2558 โดยเขาถูกจับคุมขังไว้นานกว่า 4 เดือน แต่ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ จึงต้องถูกปล่อยตัว แต่ศาสตราจารย์ซี ไม่ยอม เดินหน้าฟ้องเอาผิดรัฐบาลกลางว่าเจ้าหน้าที่ FBI สร้างข้อมูลเท็จเอาผิดตน และ FBI ข่มขู่เขาจะโดนโทษ 80 ปี ปรับ 1 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งเลือกปฏิบัติต่อคนเชื้อสายจีน


ปรากฏว่าตอนแรก ศาลแขวงไม่รับคำฟ้องเขา จึงยื่นอุทธรณ์ จนศาลอุทธรณ์ตัดสินให้เขาชนะคดีวันที่ 24 พฤษภาคม 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้เอง เพราะจากคำให้การของเพื่อนนักฟิสิกส์หลายคนแสดงให้เห็นว่าแบบพิมพ์เขียวที่ว่าเป็นผลงานประดิษฐ์ของศาสตราจารย์ซี นั้น ไม่ใช่นวัตกรรมที่เป็นความลับแต่อย่างใด แต่เป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ข้อกล่าวหาจึงตกไป

ถึงอย่างนั้นก็ตาม เพียงแค่ 2 ปีแรกกระทรวงยุติธรรมยุคนายทรัมป์ ก็อวดอ้างว่าประสบผลสำเร็จในการดำเนินโครงการ The China Initiative

พฤศจิกายน 2565 นายวิลเลียม บาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของอเมริกา แถลงว่า ตัวเลข FBI สืบสวนและจับกุมดำเนินคดีกับนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีน จับได้ ดำเนินคดีได้ 2,500 คดีแล้ว ทั้งๆ ที่มีผู้วิจารณ์อย่ารงหนักว่านักวิจัยเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองจีนเลย


“แต่อเมริกาประสาทรับประทานไปแล้ว อะไรถ้ามีตาชั้นเดียว มีผิวเหลือง ล่อมันหมด นี่ไงครับ คนเอเชียในอเมริกา คนไทยที่ใฝ่ฝันเหลือเกิน เห็นอเมริกาเป็นเมืองสวรรค์ นี่ไงเมืองสวรรค์ของพวกคุณ ไม่ใช่หรอก มันเป็นนรกของคนเอเชีย” นายสนธิกล่าว

กันยายน 2563 กระทรวงยุติธรรมอเมริกายกเลิกวีซ่านักศึกษาปริญญาโทและนักวิจัยชาวจีนกว่า 1,000 คน กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับกองทัพจีน

อย่างไรก็ตาม การตามล่าจารชนจีนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหยียดสีผิว และกระทบสิทธิพลเมือง จนนำไปสู่การยุติชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เมื่อต้นปี 2565 หลังจากที่โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่สถานการณ์กลับหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทั้งทรัมป์ และ ไบเดน ดูเหมือนจะเชื่อมั่นในข้อสรุปที่ไร้เหตุผลว่า มีสายลับสอดแนมที่เป็นนักวิชาการจีนจำนวนมากในอเมริกา ทำให้การจับกุมอย่างเข้มข้น ไม่ได้หยุดเลย


มีข้อมูลของอเมริกาเองบอกว่านักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายจีน อยู่ระหว่างสอบสวนมากถึง 150 คน ในจำนวนนี้มี 24 คน ถูกตั้งข้อหาอาญา คดีที่มีชื่อเสียงคดีหนึ่ง คือคดีที่เกิดขึ้นกับ ศาสตราจารย์เฉิน กัง (陈刚 )


ศาสตราจารย์ ดร. เฉิน กัง เป็นอดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ของ MIT และเป็นสมาชิกของ US. National Academy of Engineering หรือสภาการวิศวกรรมสถานแห่งอเมริกา เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ห้องทดลองของเขาถูกปิด กลุ่มวิจัยของเขาต้องแยกย้ายกันไปเพราะถูกตัดงบอุดหนุนงานวิจัยทั้งหมด ส่งผลให้ชุมชนนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนในอเมริกา นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีน เดินทางร่วมกันอภิปรายทั่วประเทศเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตนเองและจัดการกับปัญหาท้าทายที่เกิดขึ้น

ยกตัวอย่าง องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรแห่งใหม่ ชื่อ Asian American Scholar Forum ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2564 เพื่อสะสางคดีของ ศาสตราจารย์ ดร. เฉิน กัง ต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางวิชาการ


ศาสตราจารย์ สตีเฟ่น ชู อดีตรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐฯ อดีตรัฐมนตรีของอเมริกา แต่เป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน เป็นอาจารย์วิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยอันดับท็อปของอเมริกา ได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาฟิสิกส์ ให้ความเห็นว่าโครงการ The China Initiative ดังกล่าวของรัฐบาล ผลักดันให้ผู้มีความสามารถต่างๆ จากจีน เมินหน้าหนีไปยังหน่วยงานหรือสถาบันต่างๆ ในอเมริกา ทั้งๆ ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนโพ้นทะเล มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยพัฒนาวิชาการให้มหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมสหรัฐฯ


จากงานวิจัยศึกษาของทีมนักชีวสถิติ และวิศวกรกลุ่มเล็กๆ จากมหาวิทยาลัยอันดับสูงๆ เช่น มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ฮาร์วาร์ด MIT ร่วมกับสมาคมนักวิชาการชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ได้เผยแพร่ข้อมูลสำคัญในเว็บไซต์ Proceeding of the National Academy of Sciences อธิบายวิธีที่พวกเขาวิเคราะห์แบบสำรวจนักวิชาการชาวจีน 1,304 คน ที่ทำงานในอเมริกา ว่ารู้สึกอย่างไร และสิ่งที่พวกเขาค้นพบคืออะไรบ้าง ปรากฏว่า

-30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ยอมรับของอเมริกา
-72 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่ปลอดภัย
-65 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกกังวลในการร่วมมือทางวิชาการและงานวิจัยกับจีน
-นอกจากนี้ 86 เปอร์เซ็นต์ ของพวกเขายังพบว่าการรับสมัครนักศึกษาต่างชาติระดับสูง เป็นเรื่องยากขึ้น เมื่อเทียบกับเมื่อห้าปีที่แล้ว

มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากหวาดผวาถูกสอบสวนอย่างลับๆ ส่งผลให้เกิดความกลัวกันในการฟ้องร้องที่ไม่มีมูลความจริง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนจำนวนมากกำลังคิดเดินทางออกจากอเมริกาไปต่างประเทศ

จากการสำรวจ 61 เปอร์เซ็นต์ คนพวกนี้บอกว่า กำลังถูกกดดันให้ออกนอกอเมริกา 47 เปอร์เซ็นต์ ต้องย้ายไปอยู่ทวีปเอเชีย อยู่ญี่ปุ่น อยู่ไต้หวัน อยู่โน่นอยู่นี่ 46 เปอร์เซ็นต์ ต้องการไปอยู่นอกเอเชีย ปรากฏว่าประเทศจีนกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ไปทำงานมากที่สุด

งานวิจัยผลศึกษาผลกระทบระยะยาวต่อการเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอเมริกา โดยโครงการ The China Initiative ทำให้เกิดความวิตกกังวลและกลัวภัยอย่างกว้างขวางในชุมชนนักวิทยาศาสตร์ของชาวอเมริกาเชื้อสายจีน อาจจะมีส่วนทำให้นักวิจัยทางวิชาการบางคนเชื้อสายจีน อพยพจากอเมริกากลับไปจีน


ยกตัวอย่าง ในปี 2562 ศาสตราจารย์ จู ซ่ง ฉุน(朱松纯) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ประสบผลสำเร็จ และผู้อำนวยการศูนย์วิสัยทัศน์ ความรู้ ความเข้าใจ การเรียนรู้และอิสระ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลิส (UCLA) ได้ประกาศความตั้งใจที่จะเดินทางกลับประเทศจีน ปี 2562 เพราะเขาจะมีโอกาสได้ทำงานมากขึ้น เพราะว่าการอยู่ประเทศจีนนั้น ประเทศจีนรวย ตอนนี้มีเงินมีทอง มีเงินให้ทุนวิจัยมาก แล้วค่าตอบแทนก็สูงกว่าของอเมริกา เขาสามารถจะอพยพทั้งครอบครัวไปได้เลย ได้รับการศึกษาที่ดี ได้รับที่พักอาศัยที่ดี ได้รับเงินเดือนที่ดี ได้รับทุนในการใช้เครื่องมือในการทำงานวิจัยที่ดี

มีบทความชิ้นหนึ่งได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน กล่าวขอบคุณการกวาดล้างจารชนของอเมริกา ที่ชื่อว่า The China Initiative ต่อสาธารณชน บทความนี้ว่า การกวาดล้างจารชนของอเมริกานั้นมีผลดีที่ส่งนักวิทยาศาสตร์จีน-อเมริกันชั้นนำ อย่างศาสตราจารย์จู กลับสู่จีน


ปัจจุบัน ศาสตราจารย์จู ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีสถาบันปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence)  มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยอันดับท็อปของจีน

จีนก็เลยเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายใหญ่ และจีนแซงหน้าอเมริการในฐานะผู้นำโลก ปัจจัยมีอยู่ 4 ข้อ

1)ประชากรจำนวนมากและฐานทุนมนุษย์ ประชากรมีมากเหลือเกิน ทำให้ตัวแทนฐานทุนมนุษย์ บุคคลต่างๆ ที่มีคุณภาพ หาได้ง่าย
2)ตลาดแรงงานที่ตอบแทนคุณงามความดีทางวิชาการ และเป็นนโยบายของประเทศจีน
3)สี จิ้นผิง ผู้นำจีนมีแผนพัฒนาประเทศจีนที่ชัดเจนในการลงทุนสู่ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4)การอพยพกลับของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ได้รับการฝึกฝนจากต่างประเทศเชื้อสายจีน ไปยังประเทศจีน

 เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของประชากรนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรชาวอเมริกันเชื้อสายจีน จะมีจำนวนคนที่เดินทางกลับไปยังประเทศจีนน้อยมาก แต่ว่าเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ เพราะตอนนี้เขากำลังกลัวว่างานและชีวิตของพวกเขาในอเมริกาอาจจะได้รับอันตรายจากขบวนการกวาดล้างพวกเขา


ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นมีข้อกังวลทางจิตวิทยาเหล่านี้ ทำให้อาจารย์สาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ผู้ที่มาจากสถาบันแห่งรัฐ หลีกเลี่ยงการยื่นขอทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง และการพิจารณาแผนการย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ

ผลงานวิจัยศึกษาความรู้สึกไม่ปลอดภัยในฐานะนักวิจัยเชิงวิชาการในอเมริกาเกิดขึ้นจากความกลัว 5 ข้อ
1.กลัวว่าโดนสืบสวนจับกุมจาก FBI ที่มีอคติต่อนักวิชาการเชื้อสายจีน 67 เปอร์เซ็นต์
2.ความเกลียดชังต่อต้านชาวเอเชีย และความรุนแรงในอเมริกาซึ่งยังไม่หยุด 65 เปอร์เซ็นต์
3.เจ้าหน้าที่อเมริกามักจะโจมตีรัฐบาลจีน นโยบายของจีน 38 เปอร์เซ็นต์
4.ครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานของตนเองอาจจะตกเป็นเป้าหมายของอเมริกาหรือรัฐบาลจีน เพื่อตอบโต้ในสิ่งที่ตนเองพูดหรือทำ 37 เปอร์เซ็นต์
5.คนอื่นๆ อาจจะรายงานสิ่งที่ตนพูดหรือทำต่อรัฐบาลสหรัฐฯ หรือรัฐบาลจีน 31 เปอร์เซ็นต์


โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนมากที่มีส่วนร่วมในการวิจัยที่สำคัญ เช่น สาขาที่เกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีของจีนในสหรัฐฯ ที่ละเอียดอ่อนต่อความมั่นคงของชาติ ต่างหวาดผวา อาจตายแบบมีเงื่้อนงำปริศนา ก่อนที่จะเดินทางกลับไปทำงานที่ประเทศจีน ยกตัวอย่างเช่น การตายปริศนาของอัจฉริยะ อาจารย์เริ่น เหวย(任伟)


อาจารย์เริ่น เหวย เป็นอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ชาวจีน ตอนอายุแค่ประถม 5 (ป.5) เขาอธิบายแคลคูลัสได้ เขาเรียนมัธยมต้นตอน 9 ปี ได้รับจดหมายตอบรับจาก Imperial College London และมหาวิทยาลัยในเครือข่าย Ivy League หลายแห่งในอเมริกา ตอนอายุแค่ 15 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชิคาโค อายุ 26 ปี ได้รับการว่าจ้างให้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ก่อนจะได้รับปริญญา ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีสำคัญหลายงานของเขาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

เขาตัดสินใจจะเดินทางกลับประเทศจีนเพื่อไปทำงาน แต่ก่อนเขาเดินทางกลับในปี 2551 เขาถูกพบเป็นศพในโกดังหลังหนึ่ง หลังโบสถ์ร็อกเกอะเฟลเลอร์ ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ตำรวจอเมริกาสรุปแบบหน้าด้านมาก ว่าเป็นการฆ่าตัวตายในภาวะโรคซึมเศร้า แม้ว่า อัจฉริยะส่วนใหญ่แล้ว ร้อยทั้งร้อย ไม่มีโรคซึมเศร้า มีอาการไฮเปอร์มากกว่า


ปรากฏว่าญาติเขาไม่เชื่อว่าเขาฆ่าตัวตาย เพราะนิสัยเขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สุขภาพจิตดี แถมเพื่อนของศาสตราจารย์เริ่น เหวย เล่าให้ฟังว่า อาจารย์เริ่น เหวย มีความฝันที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญเข้าไปสร้างความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางทหารของจีนได้ และก่อนตายเพียงไม่กี่วัน เขาปฏิเสธความพยายามของมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่พยายามดึงเขาอีกด้วย

อีกคนหนึ่ง ศาสตราจารย์จาง โส่ว เชิ่ง(张首晟) เกิดปี 2506 เขาเรียนแผนกฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ที่เซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยระดับท็อปของจีน ตั้งแต่อายุ 15 ปี ต่อมาไปเรียนที่เยอรมนี เบอร์ลิน จบหลักสูตรปริญญาโททั้งหมดในเวลาเพียง 3 ปี ต่อมามหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก มอบปริญญาเอกให้เขาในปี 2539


ต่อมา โปรเฟสเซอร์ จาง โส่ว เซิ่ง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยอันดับท็อปของอเมริกา ปี 2554 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ America Academy of Arts and Science เพราะผลงานวิจัยของเขามุ่งเน้นไปที่การศึกษาฟิสิกส์ของสสารควบแน่น ซึ่งมีความจำเป็นต่อการพัฒนาอุปกรณ์ชิ้นส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และการสร้างซูเปอร์คอนดักเตอร์ ซึ่งมันเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ ที่อเมริกาบอยคอตจีนตอนนี้ สั่งห้ามไม่ให้ส่งอุปกรณ์สำคัญทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ไปทางจีน

เขาเป็นที่รู้จักในสาขาฟิสิกส์ ในฐานะผู้บุกเบิกการใช้พลังงานเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่มีอนาคตก้าวหน้าคนนี้ปลิดชีพตัวเองในปี 2561 ก่อนที่เขาจะกลับประเทศจีนเพื่อรับใช้บ้านเกิด สาเหตุการตายที่ระบุไว้คือโรคซึมเศร้าอีกคน


อีกรายหนึ่ง ศาสตราจารย์ ดร. หลิว ปิง(刘冰) นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายจีน วัย 37 เพิ่งได้รับการประกาศจาก University of Pittsburgh School of Medicine ต้นสังกัดของเขาว่า

เขาเพิ่งได้ค้นพบเรื่องสำคัญในการวิจัยไวรัสโคโรนา ทันทีเลย เมื่อเขาค้นพบเรื่องสำคัญ เขาถูกพบว่าโดนยิงตาย เสียชีวิตในบ้านของเขา ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปประเทศจีน ตำรวจสหรัฐฯ บอกว่าการตายของ ดร.หลิว ปิง เป็นการฆาตกรรมโดยมือปืนคือ นายกู้ ห้าว ซึ่งเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโส อายุ 47 ปี ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน หลังจากยิง ดร.หลิว แล้ว นายกู้ ห้าว ก็ยิงตัวตายในรถที่จอดไว้ไม่ไกลจากบ้านผู้ตาย งานนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ จากตำรวจเกี่ยวกับคดีนี้

กีดกันนักศึกษาเชื้อสายจีน

นอกจากเรื่องการตายอย่างมีเงื่อนงำ น่าสงสัยของนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนแล้ว อเมริกายังมีนโยบายรับนักศึกษาที่กดขี่และปฏิบัติต่อนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่มีอยู่แค่ 1.4 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรอเมริกัน

มกราคม 2562 เกิดคดีที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครเชื้อสายจีน เมื่อไปฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็โดนผู้พิพากษารัฐบาลกลางของรัฐแมสซาชูเซตส์ ชื่อแอริสัน เบอโรส์ ยกฟ้อง อ้างว่ามาตรฐานการรับนักศึกษาของฮาร์วาร์ดดีแล้ว แม้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองเสรีภาพก็ตาม เพราะเกณฑ์รับนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของ SAT(Scholastic Assessment Test )สำหรับเกณฑ์นักศึกษาเชื้อสายเอเชียตะวันออกตั้งไว้สูง 2,400 คะแนน จึงจะรับเข้าเรียน คือคุณต้องได้อย่างน้อย 2,400 คะแนน ถึงจะเข้าเรียนฮาร์วาร์ดได้ SAT นี่แค่ 1,500 ก็ถือว่าสูงแล้ว แต่ฮาร์วาร์ดตั้งไว้ 2,400

ฮาร์วาร์ดมีนโยบายการรับนักศึกษาอเมริกันเชื้อสายจีนว่า ต้องมีคะแนนสูงกว่าฝรั่งผิวขาว 140 คะแนน ก็คือถ้าฝรั่งผิวขาวได้ 2,500 คะแนน นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายจีนต้องได้ 2,640
เมื่อไปเทียบกับนักศึกษาเชื้อสสาย Hispanic พวกเม็กซิกัน เปอร์โตริกัน ต้องมีคะแนนสูงกว่าพวกนี้ 270 คะแนน
และหากเทียบกับนักศึกษาเชื้อสายแอฟริกัน อเมริกันผิวดำ ต้องสูงกว่า 450 คะแนน

อย่างไรก็ตาม แม้อเมริกาจะมีนโยบายการรับนักศึกษาเข้าศึกษาที่กดขี่ เลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย มีจำนวนแค่ 1.4 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรอเมริกาทั้งหมด แต่นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายจีนกลายเป็นกลุ่มผู้มีความสามารถทางปัญญาถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มปัญญาชนทั้งหมดของอเมริกา

เมื่อปีที่แล้ว มีการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของครอบครัวอเมริกันเชื้อสายจีน เปรียบเทียบเฉลี่ยแล้ว ครอบครัวอเมริกันเชื้อสายจีน คือคนจีนที่มีลูกเกิดในอเมริกาและเรียนหนังสือ รายได้ต่อครอบครัว 170,433 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยเกือบๆ 6 ล้านบาท เดือนละประมาณ 5 แสนบาท

ส่วนครอบครัวผิวขาว เจ้าของประเทศ มีรายได้เฉลี่ย 74,200 ดอลลาร์ ยังไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของรายได้เฉลี่ยของครอบครัวคนอเมริกันเชื้อสายจีน

ส่วนชาว Hispanic เชื้อสายลาตินอเมริกา มีรายได้เฉลี่ย 37,675 ดอลลาร์ ส่วนครอบครัวคนผิวดำ แค่ 32,490 ดอลลาร์

หมายถึงว่า แม้กระทั่งการทำมาหากิน คนเชื้อสายจีนก็สามารถทำมาหากินได้เงินมากกว่าคนอเมริกันชาวผิวขาวเสียด้วยซ้ำ แล้วยังมากกว่ามากๆ เมื่อเทียบกับคนอเมริกันเชื้อสายลาติโน่ ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิกัน เปอร์โตริกัน และก็มากที่สุดกว่าคนเชื้อสายผิวดำ


ความเก่งกาจ ปัญญาทางด้านวิทยาศาสตร์ และสถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัว ได้กลายเป็นความหวั่นวิตกกังวลของผู้นำประเทศว่าจะเป็นภัยคุกคามความมั่นคง พวกเขายังคงถูกมองว่าเป็นคนนอกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอเมริกัน เป็นคนนอกที่มีความมั่งคั่ง แต่อ่อนแอทางอำนาจดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากการคุกคามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จนต้องหนีภัยจากการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะไปจีน ทั้งหมดนี้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับจีนในศตวรรษที่ 21 และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีของจีนช่วงหลังถึงก้าวกระโดดเร็วมาก เพราะได้สมองจากคนพวกนี้

ท่ามกลางบรรยากาศที่มองจีนเป็นภัยคุกคามของอเมริกา นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนคนหนึ่งระบุตัวเองว่าเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เคยได้รางวัล NFS Career Award เขาบอกลาออกจากตำแหน่งทางวิชาการเพราะสิ่งที่มองว่ามันเป็นบรรยากาศที่ต่อต้านจีน

เขาบอกว่า "หากไม่ใช่เพราะการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักลง และฉันเป็นพลเมืองอเมริกา ครอบครัวฉันคงจะออกจากอเมริกาอย่างถาวร โดยไม่มีความตั้งใจจะกลับมาอีกในอนาคต สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบในสถาบันเดิม ไม่เพียงแต่น่าขยะแขยงเท่านั้น แต่รวมทั้งระบบคอร์รัปชันที่เสียหาย ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าผิดกฎหมาย ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าที่ไหนสักแห่งในนี้จะมืดมนและเสื่อมทรามเช่นนี้ ถ้าข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าคงไม่ได้แปลงสัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกัน ซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจ สิ่งที่ฉันไปประสบมาไม่เพียงแต่ทำลายอาชีพทางวิชาการของฉันเท่านั้น ยังทำลายความฝันแบบอเมริกา (ที่เขาเรียกว่า American Dream) ของฉันอีกด้วย ว่าในที่สุดแล้ว อเมริกาที่แท้จริงแล้วมันอยู่ตรงกันข้ามกับความฝันที่ฉันเคยคิด"


กำลังโหลดความคิดเห็น