xs
xsm
sm
md
lg

Jack'n Jill ผู้นำผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ครองใจผู้บริโภคยาวนานกว่า 30 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แจ็ค แอนด์ จิล (Jack'n Jill) ถือเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) โดยดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันมีขนมกว่า 5 หมวดหมู่ 15 แบรนด์ อาทิ ฟันโอ, ทิวลี่ ,โรลเลอร์ โคสเตอร์, ครีมโอ, ดิวเบอร์รี่, โลซาน, ไดนาไมท์, เอ็กซ์.โอ. และ อีกมากมาย

โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษในการดำเนินธุรกิจ ถือได้ว่า แจ็ค แอนด์ จิล ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประเทศไทย ลาว และกัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดสูตรความสำเร็จที่ทำให้ แจ็ค แอนด์ จิล อยู่ครองใจผู้บริโภคและครองตลาดขนมขบเคี้ยวเป็นอันดับต้น ๆ จนถึงทุกวันนี้

เปิดกลยุทธ์สูตรความสำเร็จ แจ็ค แอนด์ จิล


“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แจ็ค แอนด์ จิล เน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า ราคาที่เข้าถึงง่าย การออกสินค้าที่มีความแปลกใหม่ รวมถึงการฟังเสียงผู้บริโภคเป็นหลัก”
 
นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประเทศไทย ลาว และกัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ รวมถึงจุดเด่น จุดแข็งที่ทำให้ แจ็ค แอนด์ จิล ประสบความสำเร็จในฐานะผู้นำผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว และครองใจผู้บริโภคและครองตลาดมายาวนานถึง 30 ปี

“หลัก ๆ เลย เราจะเน้นผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ราคาเข้าถึงได้ ที่สำคัญสินค้าทุกตัวของเราต้องมีความสนุก เราจะจับเทรนด์ปัจจุบัน มองหาเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อจับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ GEN Z เราจะฟังเสียงผู้บริโภคเป็นหลักว่าผู้บริโภคต้องการอะไร เพื่อจะได้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง”

“ทั้งนี้เรายังผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกวางจำหน่ายอยู่ตลอด โดย 1 ปี แจ็ค แอนด์ จิล จะออกสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 30-50 ตัว เนื่องจากบริษัทเรามีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่แข็งแกร่ง ทำให้เราใช้ระยะเวลาในการพัฒนาสินค้าเพียง 3-6 เดือน ก็สามารถออกสินค้าใหม่ได้ทันท่วงที”

ด้วยคุณภาพที่เป็นตัวการันตี เหตุนี้เองจึงทำให้ แจ็ค แอนด์ จิล ได้รับรางวัล ‘‘อย. Quality Award’ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต่อเนื่องมา 3 ปี โดยปี พ.ศ.2566 ก็เพิ่งได้รับรางวัลไปหมาด ๆ ซึ่งรางวัลนี้แสดงถึงการเป็นสถานประกอบการที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วยการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ ภายใต้การดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคมนั่นเอง


ทำการตลาดแบบ 360 องศา

ปัจจุบัน แจ็ค แอนด์ จิล ได้หันมาทำการตลาดแบบ 360 องศา โดยทุ่มงบมากกว่า 300 ล้านบาท ผ่านทุกช่องทาง ทั้งรูปแบบออนไลน์ ออฟไลน์ รวมถึงอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณา การจัดกิจกรรมพิเศษ การทำแคมเปญต่าง ๆ การใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียง การ Collaboration กับแบรนด์ต่าง ๆ และแบรนด์ในเครือ การทำ Consumer Sampling ให้ผู้บริโภคได้ทดลองชิมสินค้าใหม่ เป็นต้น

“ที่ผ่านมา แจ็ค แอนด์ จิล มีการจัดกิจกรรม จัดแคมเปญอยู่เป็นประจำตลอดทั้งปี อย่างล่าสุด แบรนด์โรลเลอร์ โคสเตอร์ ก็ได้จัดแคมเปญ #กินไปมันส์ไปใช้ชีวิตRollerCoaster แจกแพ็คเกจตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และบัตรเข้าสวนสนุก Universal Studios ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น”

หรืออย่างการใช้กลยุทธ์ความร่วมมือ (Collaboration) กับแบรนด์อื่น ๆ เพื่อให้เกิดสินค้าใหม่ที่มีความพิเศษ โดดเด่น และแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นการนำ “โรลเลอร์ โคสเตอร์” ไปร่วมกับ “บาร์บีคิวพลาซ่า” ออกรสชาติใหม่ “รสบาร์บีคิว” และ “รสน้ำจิ้มบาร์บีคิวพลาซ่า สูตรเผ็ด” หรืออย่างแบรนด์ “โอวัลติน” ที่ร่วมมือกันจนเกิด “ทิวลี่ โอวัลติน” ขึ้นมา หรือจะเป็นการ Collab ผลิตภัณฑ์ในเครือ อย่าง “ทิวลี่ x ฟันโอ” เวเฟอร์สอดไส้ครีมกลิ่นบัตเตอร์เคลือบช็อกโกแลตและเกล็ดคุกกี้ เป็นต้น


ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability)
พร้อมดันองค์กรสู่ Net Zero ในปี 2055


นอกจากนี้แล้ว แจ็ค แอนด์ จิล ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) อย่างมาก โดย แจ็ค แอนด์ จิล ถือเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ โดยได้มีการติดตั้ง โซลาร์ รูฟ (Solar Roof) ทั้งโรงงานผลิต และ คลังสินค้าของเราทั้งหมด ทั้งนี้ยังได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี ค.ศ. 2055 จะทำให้เป็น Net Zero ให้ได้อีกด้วย

“ต้องบอกว่าเราเล็งเห็นความสำคัญของการลดใช้พลังงาน การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งมองว่าเป็นความยั่งยืน เพราะเรามีเป้าหมายไม่ทำลายโลก โดยโรงงานของ แจ็ค แอนด์ จิล มีทั้งหมด 6 โรงงาน บวกกับ คลังสินค้าอีก 4 แห่ง เราติดโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) ทั้งหมด อีกทั้งในทุก ๆ ปี จะมีการไปติดพลังงานโซลาร์ให้กับโรงเรียนอย่างน้อย 1 แห่ง โดยเราตั้งเป้าหมายว่าเร็ว ๆ นี้จะติดให้ครบ 10 โรงเรียนในประเทศไทย ซึ่งเราทำแบบนี้มา 2-3 ปี แล้วครับ”

“นอกจากนี้ เรายังใส่ใจในขั้นตอนการผลิต ซึ่งในการผลิตนั้นจะไม่นำขยะไปทิ้งหรือฝังกลบเลย แต่จะนำส่งให้โรงงานไฟฟ้าทำเป็นพลังงาน และนำไปรีไซเคิลแทน อีกทั้งตัวบรรจุภัณฑ์ของเราก็ยังสามารถรีไซเคิลได้แล้วกว่า 50% ซึ่งทั้งหมดที่ทำนั้นสามารถลดพลังงานคาร์บอนไปได้เกือบ 9,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 753,400 ต้นเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้ Jack n’ Jill ได้รับรางวัล Sustainability มากมาย อาทิ รางวัล Zero Waste to Landfill Achievement Award รางวัลยอดเยี่ยมด้านการลดปริมาณของเสียนำไปฝังกลบจนเป็นศูนย์, รางวัล 3Rs และ 3Rs+ Award ซึ่งเป็นรางวัลการจัดการของเสียที่ดีตามหลัก 3Rs (Reduce-Reuse-Recycle) เป็นต้น” รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประเทศไทย ลาว และกัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว


ความพิเศษครบรอบ 30 ปี

ในปี พ.ศ. 2566 ถือเป็นปีครบรอบ 30 ปี ของ แจ็ค แอนด์ จิล ซึ่งความพิเศษของปีนี้คือ การนำสินค้าที่ขายดีที่หลายคนเรียกร้อง อย่าง ฟันโอ 6 ชิ้น ขนาด 40.5 กรัม ราคา 5 บาท ครบทั้ง 11 รสชาติ และทิวลี่ 2 ชิ้น 2 บาท กลับมาสร้างสีสันในตลาดขนมอีกครั้ง และได้พรีเซ็นเตอร์สุดฮอต ‘กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์’ เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ฟันโอ และ ‘นนน กรภัทร์ เกิดพันธุ์’ พรีเซนเตอร์แบรนด์ทิวลี่ อีกด้วย

อีกทั้งยังเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “เล็คซัส (Lexus)” แครกเกอร์อบกรอบ อันดับ 1 ของประเทศมาเลเซีย บวกกับการที่เห็นกระแสสุขภาพกำลังมาแรง และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงได้บุกตลาด Health & Wellness เปิดตัวสินค้าใหม่ โอ๊ต ครั้นช์ (Oat Krunch) คุกกี้ธัญพืชข้าวโอ๊ตอบกรอบ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรม 30 ปี ชีวิต มันส์ สนุก ที่ให้ทุกคนได้มาร่วมแชร์รูป และเรื่องราวความมันส์ของคุณกับเหล่าขนมของ แจ็ค แอนด์ จิล ชิ้นแรกที่คุณรู้จัก ซึ่งผู้โชคดีจะได้รับ Mystery Box Limited Edition 30 Fun Years ที่อัดแน่นไปด้วยขนมในเครือ แจ็ค แอนด์ จิล กว่า 30 ชิ้น พิเศษสุดกับ การ์ดพร้อมลายเซ็นต์ จาก กลัฟ คณาวุฒิ และ นนน กรภัทร รวมถึงของเล่น Gadget ในตำนานมากมาย สามารถมาร่วมสนุกได้ที่ เพจ Jack'n Jill Thailand https://www.facebook.com/JacknJillThai ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 นี้

‘นนน กรภัทร์ เกิดพันธุ์’ พรีเซนเตอร์แบรนด์ทิวลี่, นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์, ‘กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์’ พรีเซนเตอร์แบรนด์ฟันโอ (เรียงจากซ้ายไปขวา)
ก้าวต่อไปของ แจ็ค แอนด์ จิล ประเทศไทย
ไม่หยุดนิ่ง ตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดขนมขบเคี้ยว 10-15%


นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประเทศไทย ลาว และกัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 74,000 ล้านบาท และ แจ็ค แอนด์ จิล มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 10% โดยปี พ.ศ. 2566 ถือได้ว่าตลาดขนมขบเคี้ยวก็ยังมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งเรื่องของการออกสินค้าใหม่ โปรโมชั่น ราคาขาย รวมไปถึงการทำการตลาดต่าง ๆ ดังนั้นการจะเป็นเบอร์ 1 ได้ คือ ต้องทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง จากที่เคยทำอยู่แล้ว ก็ต้องทำให้มากขึ้น และพิเศษยิ่งขึ้น ซึ่งปีนี้ได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก อยู่ที่ 10-15%

และเมื่อถามถึงก้าวต่อไปในอนาคต ผู้นำ แจ็ค แอนด์ จิล ตอบเร็วว่า หยุดนิ่งไม่ได้ อนาคตอาจได้เห็นสินค้าในหมวดอื่น ๆ ภายใต้บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด

“ปัจจุบัน แจ็ค แอนด์ จิล มีการผลิตสินค้าให้กับบริษัทอื่น ๆ มีการทำ OEM ให้กับ SME ส่วนในแง่ของแบรนด์ และการตลาดเราหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะเทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปค่อนข้างเร็ว โดย อนาคต บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ก็อาจจะมีการขยับขยายไปในหมวดสินค้าอื่น ๆ เช่นเดียวกัน ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนศึกษาอยู่ครับ” นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น