xs
xsm
sm
md
lg

“เจเน็ต เยลเลน” โค้งคำนับจีน สหรัฐฯ ตบหัวแล้วลูบหลัง หรือแค่ละครฉากหนึ่ง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” วิเคราะห์ “เจเน็ต เยลเลน” รมว.คลังสหรัฐฯ เยือนจีน เหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง เพราะ “ไบเดน” เพิ่งด่า “สีจิ้นผิง” เป็นเผด็จการ แต่จำเป็นต้องฟื้นความสัมพันธ์กับจีนที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และอยากให้จีนซื้อพันธบัตรเพิ่ม เพื่อแก้ปัญหาถังแตก แต่อาจจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง เพราะสหรัฐฯ ยังบ้าคลั่งทำตัวเป็นเจ้าโลก ใส่ร้ายจีนว่าเป็นภัยคุกคาม กดดันทั้งเรื่องการค้า-เทคโนโลยี และพวกฝ่ายขวายังโวยวายที่ “เยลเลน” ไปโค้งให้นายกฯ จีน ขณะที่จีนคงไม่ซื้อพันธบัตรอเมริกาเพิ่ม นอกจากจะขายทิ้งไปเรื่อยๆ เพราะดอลลาร์สหรัฐฯ มีแต่สาละวันเตี้ยลง



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ของนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2566 หลังจากที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อน นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ เพิ่งมาเยือนจีน แต่พอนายบลิงเคน เดินทางกลับจากจีนไปได้เพียงไม่กี่วัน นายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ก็ออกมาด่านายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ว่าเป็นเผด็จการ

มาคราวนี้ นางเจเน็ต เยลเลน เลยไม่ได้พบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือทางจีนไม่ต้องการให้พบแล้ว แต่พบกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน นายเหอ ลี่ เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน และ นายหลิว คุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


นายสนธิกล่าวอีกว่า คนอเมริกันและชาติตะวันตกหลงตัวเองมาก ยังนึกว่าตัวเองยังอยู่ในโลกใบเดิมที่ทุกคนต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นเจ้าโลก เพราะนางเจเน็ต เยลเลน พอถูกสังคมอเมริกันและสื่อขวาจัดอย่าง FOX NEWS รวมทั้งสื่ออังกฤษอย่าง Daily Mail รายงานข่าวอย่างดรามา วิจารณ์อย่างหนักว่า ทำไมนางเยลเลน ต้องไปโค้งคำนับอ่อนน้อมหลายครั้งต่อจีน ทั้งๆ ที่อเมริกายิ่งใหญ่ เป็นเจ้าโลก คนอเมริกันไม่เคยยอมอ่อนน้อมต่อชาติใด

นี่คือสันดานของคนอเมริกัน และประเทศอเมริกาที่ยะโสโอหัง นึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกๆ ชาติในโลกนี้ เวลาจะทำอะไรก็ตาม ทุกชาติจะต้องก้มหัว โค้งให้เขา แต่การจะไปก้ม โค้งคำนับชาติอื่นนั้น พวกนี้บอกว่าทำไม่ได้ เขาบอกว่าสร้างความอับอายขายหน้า และแสดงความอ่อนแอของอเมริกาต่อจีน


นายแบรดลีย์ เบลกแมน (Bradley Blakeman) เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยืนยันว่า ตามกฎแล้วเจ้าหน้าที่ระดับสูงวอชิงตัน จะไม่สามารถโค้งคำนับได้ และมิหนำซ้ำยังพูดต่อว่า ในทางปฏิบัติต่อคู่อริ คุณต้องไม่แสดงการถ่อมตนออกมา


“คนพวกนี้ยังอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์อยู่นะ ไม่ยอมแหกตาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกนี้ พวกนี้ลืมเหลียวมองดูสถานะปัจจุบันของตัวเอง ทุกวันนี้อเมริกากำลังถังแตก GDP ติดลบ แบมือขอทาน ขอกู้เงินชาวบ้านเหมือนขอทาน ในรูปพันธบัตรเพื่อใช้จ่าย มือเติบไปทำสงครามนอกประเทศ สร้างความฉิบหายวายวอดทั่วโลก และจีนเป็นเจ้าหนี้อันดับสองของอเมริกา ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมานี้ ที่ผ่านมาจีนยังถือพันธบัตรสหรัฐฯ อยู่ 868,900 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 30 ล้านล้านบาท ซึ่งสำหรับจีนแล้วต้องถือว่าเป็นการถือพันธบัตรในระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์” นายสนธิกล่าว


ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตกต่ำระหว่างอเมริกา และจีน อย่างสุดขีด กดดันให้รัฐบาลทั้งสองต้องมาดำเนินตามข้อตกลงที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ทำกันไว้ในการประชุม G20 ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว เกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกัน

ภารกิจในการเยือนประเทศจีนเป็นเวลา 4 วัน ของนางเยลเลน ซึ่งอดีตเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ถือเป็นครั้งแรกในวัย 76 ปี ที่เป็นแม่สายบัวรอเก้อ ตั้งแต่ปี 2564 ขณะที่รัฐบาลนายโจ ไบเดน กำลังเผชิญหน้ากับรัฐบาลปักกิ่งของนายสี ทั้งในประเด็นเรื่องสงครามทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าและภาษี สงครามทางเทคโนโลยี การกีดกันเรื่องชิปคอมพิวเตอร์ ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ข้อพิพาทอื่นๆ ทางด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงกรณีช่องแคบไต้หวัน และทะเลจีนตอนใต้ เป็นต้น


ทั้งหมดนี้ ส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจอเมริกาที่ตกต่ำ GDP ติดลบ หนี้สินล้นพ้นตัว ต้องขยายเพดานหนี้เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ รัฐบาลนายโจ ไบเดน ต้องขออนุญาตรัฐสภาสหรัฐฯ นำเงินมาใช้หนี้ที่ทะลุเพดานไปถึง 32 ล้านล้านดอลลาร์ และขอให้เจ้าหนี้ระดับต้นๆ อย่างจีน ช่วยซื้อพันธบัตรเงินกู้ อย่าเทขายอีก จากปัจจุบันที่จีนถือครองลดลง เหลือมูลค่า 870,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ต้องการให้จีนช่วยเหลือและซื้อหนี้สหรัฐฯ ต่อไป

ยิ่งกว่านั้น การมาเยือนของนางเยลเลน ครั้งนี้ยังปกป้องอุตสาหกรรมอเมริกันอย่างเข้มแข็ง แข็งขัน กับแสดงถึงความกังวลกับมาตรการการลงโทษที่เกิดขึ้นกับบริษัทสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และวิงวอนให้จีนอย่าค้าขายพลังงาน สินแร่หายากกับรัสเซีย เธออ้างว่าเป็นการฝ่าฝืนการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกฝ่ายเดียว ขอร้องไม่ให้จีนเข้ามาค้าขายกับรัสเซีย เพราะเกรงว่าจะทำให้สหรัฐฯ และชาติตะวันตกพ่ายแพ้หมดรูปในที่สุด

เป็นเรื่องตลก ที่นางเยลเลน ขอแต่ในเรื่องที่ตัวเองอยากได้ แต่ไม่เคยพิจารณาว่าตัวเองได้ทำอะไรกับประเทศจีนเอาไว้บ้าง หนักหนาสาหัสสากรรจ์ นี่คือความหน้าด้านของสหรัฐอเมริกา บทที่อยากได้อะไรก็จะยื่นคำเรียกร้อง แต่บทที่ตัวเองไปขัดขวาง กีดกัน รังแกชาวบ้านเขาทั่้วโลก ตัวเองไม่เคยสำนึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว


สถานการณ์อันตกต่ำของนายโจ ไบเดน บีบให้อเมริกาต้องส่งนางเยลเลน มาลดอุณหภูมิความตึงเครียดลง และในการพบปะกับนายกฯ จีน หลี่ เฉียง นางเยลเลน เน้นเลยว่าไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นด้านเศรษฐกิจกับจีนแต่อย่างใด

นางเยลเลน เน้นย้ำกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ว่า แม้รัฐบาลวอชิงตันจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อตามเป้าหมาย เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติในบางสถานการณ์ แต่นั่นจะไม่นำไปสู่การทำให้ความสัมพันธ์หยุดชะงัก


“ท่านผู้ชมสังเกตให้ดีๆ จีนเขาก็ออกมาตรการในช่วงหลังนี้เพื่อปกป้องความมั่นคงของเขาเช่นกัน ทำแบบเดียวกับที่อเมริกาทำกับจีนเป๊ะเลย แต่อเมริกากลับมาด่าว่าจีนอีก”

เยลเลน กล่าวทำนองว่า สัมพันธภาพระหว่างอเมริกา กับจีนนั้น อเมริกาไม่หวังที่จะแยกทางเดินกับจีน หรือไม่ได้ต้องการที่จะแยกทาง สลัดทิ้งไปจากจีน แต่หวังจะลดความเสี่ยง กระจายความเสี่ยงมากกว่า คือสามารถคบกันได้ภายใต้ความแตกต่างอย่างหลากหลาย

"ความแตกต่างอย่างหลากหลาย" ที่นางเยลเลนพูดนั้นเป็นเรื่องโกหกพกลม เพราะความแตกต่างอย่างหลากหลายก็คือว่า การที่อเมริกาจะบอยคอต หรือจะห้ามค้าขายสินค้าสำคัญกับจีนนั้น ไม่ใช่ความแตกต่าง นี่คือการข่มขู่และการบีบบังคับไม่ให้จีนเจริญเติบโต

และเป็นที่รู้กันไม่ว่าจะในอเมริกา หรือในโลกตะวันตก ว่าทุกคนต้องรวมกัน ล่าสุดการประชุมนาโตที่ลิทัวเนีย นาโตมีมติเป็นเอกฉันท์ให้กล่าวประณามจีน ด่าจีนอย่างเสียๆ หายๆ ว่าจีนคือตัวการที่สร้างความวุ่นวายขึ้นมา หรือยังว่าสันดานของฝรั่งตะวันตกเป็นอย่างไร


ส่วนนายกรัฐมนตรีจีน นายหลี่ เฉียง ก็บอกนางเยลเลน ว่า จีนเริ่มเห็นเค้าลางความสัมพันธ์ที่อาจจะฟื้นตัว หลังจากเผชิญเวลายากลำบากก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายต่างตั้งเป้าว่าการเยือนของเยลเลน จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกา และจีน คลี่คลายความร้อนระอุลงไปบ้าง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อเมริกาที่มาด้วยในคณะนางเยลเลน ได้ยอมรับว่า ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการปกป้องความมั่นคงของชาติเหนือความสำคัญทางเศรษฐกิจ

เขากล่าวหาว่าจีนปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เอาเปรียบ มีมาตรการลงโทษล่าสุดต่อบริษัทสหรัฐฯ และกีดกันการเข้าถึงตลาดจีน รวมทั้งเรียกร้องให้จีนมีความโปร่งใสมากขึ้นเกี่ยวกับกฎหมายการจารกรรมฉบับใหม่ และความคืบหน้าในการเจรจาแก้ปัญหาลูกหนี้-เจ้าหนี้ ระหว่างอเมริกา กับจีน


“ง่ายนิดเดียวครับท่านผู้ชม เมื่อจีนเป็นเจ้าหนี้อเมริกาจะแก้ปัญหาได้อย่างไร จะมาขอให้จีนไม่ขายพันธบัตรได้อย่างไร แล้วบังคับ ขอร้องให้จีนซื้อพันธบัตรของอเมริกาต่อไป ทั้งๆ ที่จีนก็รู้ว่ามูลค่าของดอลลาร์นั้น นับวันมีแต่จะสาละวันเตี้ยลงๆๆ”


ส่วนเรื่องการที่จีนประกาศไม่ให้สินค้าบริษัท ไมครอน เข้ามาขายในประเทศจีนนั้น ก็เพราะเรื่องความมั่นคง ก็เหมือนอเมริกาห้ามไม่ให้หัวเว่ยมาทำงานในอเมริกา ส่งสินค้ามาขาย บังคับบริษัทโทรคมนาคมในอเมริกา ถ้าใช้อุปกรณ์หัวเว่ย ก็ให้ถอดทิ้งออกให้หมด


“ท่านผู้ชม ใช้จิตอันเป็นธรรมของเรา สติปัญญาของเรา มองดูว่าอเมริกาเป็นอันธพาลจริงๆ ตัวเองทำคนอื่น ตัวเองไม่พูดสักคำ แต่พอจีนเขาตอบโต้บ้างด้วยการที่ไม่ให้บริษัท ไมครอน ซึ่งกำลังจะล้มละลายแล้ว เนื่องจากจีนไม่ให้ส่งสินค้าทางด้านไมโครชิปเข้ามาในประเทศจีน มาโวยวายแทน เห็นหรือยังท่านผู้ชม อเมริกาลืมมองว่าตัวเองเล่นแรงกับจีน ทำนองว่ามึงแรงมา กูแรงกลับ”

ตอนเยือนจีน นางเยลเลน กังวลและหารือกรณีจีนประกาศถึงมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก คือ Gallium และ Germanium Dioxide ซึ่งสองแร่นี้สำคัญมากต่อการผลิตสินค้าเทคโนโลยี ผลิตชิป ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จอภาพโทรทัศน์ มือถือ สายเคเบิล เรดาร์ จะส่งออกต้องยื่นขอใบอนุญาตเพื่อส่งออก Gallium และ Germanium Dioxide ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่ข่มขู่ คุกคามคู่ค้าของจีน ที่ยังคิดซื้อขายชิ้นส่วนอุปกรณ์สำคัญๆ ให้กับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีของจีน เช่น รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศแผนการห้ามบริษัท เอ็นวิเดีย (NVIDIA) ของอเมริกา ส่งชิปปัญญาประดิษฐ์ A800 และ H800 ไปยังจีน

ขณะที่ญี่ปุ่นห้ามส่งออกอุปกรณ์ทำชิป 23 ประเภท ในวันที่ 23 กรกฎาคม และเนเธอร์แลนด์จะจำกัด บริษัท เอเอสเอ็มแอล ยักษ์ใหญ่ผลิตชิปของโลก ห้ามส่งออกวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับผลิตชิปไปยังจีน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ไปตามลำดับ


“ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ นี่เรามองอย่างตรงไปตรงมา เราไม่เข้าข้างใคร อเมริการุกจีนตลอดเวลา จนกระทั่งจีนตอนนี้เริ่มตัดสินใจที่จะฟาดกลับแล้ว จริงๆ แล้วประเทศจีนเป็นประเทศที่มีมารยาทมาก อดทนมาตั้งนาน จนกระทั่งวันนี้จีนก็เลยต้องเผยเขี้ยวเล็บตัวเองออกมาว่า กูก็มีของทีเด็ดเหมือนกันที่มึงต้องใช้ เพราะฉะนั้นจีนก็เลยสั่งห้ามวัตถุดิบหายาก 2 ประเภท ที่ผมเอ่ยชื่อไปแล้ว ไม่ให้ส่งออก มันจะกระทบกระเทือนอุปกรณ์และอุตสาหกรรมการผลิตไมโครชิปของอเมริกาแน่นอน”


นักวิเคราะห์ชาวจีนวิเคราะห์ว่า รัฐมนตรีคลังเยลเลน ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติ หมายความว่าอเมริกาจะยังคงไม่หยุดกดดันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต่อจีน นักวิเคราะห์ชาวจีนยังให้สัมภาษณ์กับสื่อทางการจีนว่า สุนทรพจน์เดือนเมษายน ของรัฐมนตรีคลังเยลเลน ซึ่งจัดอันดับการรักษาผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของอเมริกาและชาติพันธมิตร เป็นแกนหลักในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจกับจีน ทำให้ไม่สามารถมองความสัมพันธ์ของสองชาติว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

การเดินทางเยือนของนางเยลเลน เกิดขึ้นหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน มาเยือนจีนในรอบ 5 ปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา หลังเกิดกรณีกองทัพสหรัฐฯ ยิงบอลลูนของจีนตกเหนือน่านฟ้าอเมริกา

การเดินทางของทั้งคู่นี้ คือ นายแอนโทนี บลิงเคน และนางเยลเลน นั้น ถูกมองว่าเป็นการปูทางสู่ความเป็นไปได้ของการประชุมทวิภาคีระหว่าง โจ ไบเดน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ เอเปค (APEC) ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 12-18 พฤศจิกายน 2566 ที่นครซานฟรานซิสโก


“ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมยังไม่แน่ใจว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะไปหรือไม่ ท่ามกลางความเป็นไปของโลกที่มีแต่จะไร้เสถียรภาพยิ่งขึ้น และไม่แน่นอนยิ่งขึ้น สงครามมหาอำนาจในโลกหลายขั้วยุคนี้คงหนีไม่พ้นการเตรียมพร้อมรบ”

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพิ่งได้กล่าวกับทหารจีน ศูนย์บัญชาการกองทัพปลดแอกแห่งยุทธบริเวณตะวันออก ในเมืองนานกิง


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประเมินสถานการณ์โลกไว้ว่า โลกจะไร้เสถียรภาพยิ่งขึ้น ไม่แน่นอนยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ภายใต้ช่วงเวลาแห่งความสับสนอลหม่านและความเปลี่ยนแปลง ทหารจีนทั้งหลายจะต้องมุ่งเพิ่มศักยภาพและสมรรถภาพในการเตรียมพร้อมเพื่อให้สามารถเอาชนะทุกๆ สงครามที่จะอุบัติขึ้นในเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ เป็นสัญญาณบางอย่างที่น่าสนใจ และต้องจับตาดูเป็นพิเศษ

เรื่องทั้งหมดนี้ สงครามในยูเครนวอดวาย ล่มสลาย ใกล้จบแล้ว โดยที่อเมริกาและตะวันตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่อเมริกายังคงบ้าคลั่ง หมกมุ่นที่จะเอาชนะรัสเซียคู่แข่งให้ได้

นาย Jake Sullivan ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ถึงกับกล้าประกาศแบบเสียงดังฟังชัดว่า ฝ่ายมั่นคงของอเมริกานั้นลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ที่จะส่งมอบอาวุธร้ายแรง ประเภทคลัสเตอร์บอมบ์ หรือที่เรียกว่า "ระเบิดพวง" เป็นอาวุธต้องห้ามที่ประเทศกว่า 123 ประเทศในโลกนี้ปฏิเสธที่จะนำมาใช้ จนถึงมีการร่วมลงนามในสนธิสัญญา เรียกว่า 2008 Convention on Cluster Munitionห Treaty รวมทั้งประเทศในเครือข่ายนาโตเองด้วยซ้ำ แต่อเมริกา ยูเครน รัสเซีย ไม่ได้ร่วมลงนามด้วย


ตราบใดที่อเมริกายังบ้าคลั่งกับการรักษาความเป็นเจ้าโลกอันดับหนึ่ง ด้วยยุทธศาสตร์ที่อ้างความมั่นคงปลอดภัยของโลก สกัดกั้น กำจัดคู่แข่งมหาอำนาจอย่างจีน และรัสเซีย การเยือนจีนของรัฐมนตรีคลังเจเน็ต เยลเลน น่าเสียดาย มันจะเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งของเวทีโลก


“ผมไม่คิดว่าประเทศจีนจะยอมซื้อพันธบัตรของอเมริกาอีกต่อไป นอกจากไม่ซื้อแล้ว ยังจะทยอยขายพันธบัตรที่ถืออยู่ประมาณ 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทิ้งไปเรื่อยๆ เพราะวันนี้ดอลลาร์อเมริกาเข้าขั้นสาละวันเตี้ยลงๆ เศรษฐกิจอเมริกาใกล้ล่มสลายเต็มแก่ ความขัดแย้งทางการเมืองในอเมริการุนแรงมากขึ้นๆ ประชาชนชาวอเมริกาเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสสากรรจ์

“แต่ทั้งหมดนี้ถูกกำกับโดยนักการเมืองของอเมริกาที่โฆษณาชวนเชื่อ ชูว่าประเทศจีนเป็นภัยต่อความมั่นคง ทั้งๆ ที่ภัยต่อความมั่นคงที่มีต่ออเมริกานั้นมันเกิดขึ้นเพราะว่าอเมริกาทำตัวของอเมริกาเองทั้งสิ้น”
นายสนธิกล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น