“สนธิ” เปรียบ “พิธา” เหมือนกิ้งกือหกคะเมน มี 14 ล้านเสียงแต่วืดนายกฯ เพราะหมกมุ่นบ้าคลั่งคิดแต่จะแก้ ม.112 ทำผิดซ้ำซาก แนะเมื่อแพ้แล้วควรเป็นสุภาพบุรุษ หยุดเสนอชื่อรอบ 2 ถอยไปเป็นฝ่ายค้าน จะช่วยพัฒนาการเมืองได้ดีกว่า แต่หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะไม่ง่ายเหมือนเดิม เมื่อ “3 ป.” วางมือ หมดประเด็นปั่นกระแสหาคะแนนใส่ตัว
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ในวาระการพิจารณาเพื่อเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ในการอภิปราย ถ้าแบ่งเป็นฝั่ง ส.ส. กับ ส.ว. คนที่ได้เหรียญทองในฝั่ง ส.ส. คือ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นคนใจถึง พูดจาคำไหนคำนั้น พูดไม่ต้องแปล ไม่มีลีลา พูดจาชัดเจน จนกระทั่งฝั่งก้าวไกลจุกจนพูดไม่ออก
ส่วนฝั่ง ส.ว.ต้องให้เหรียญทองกับนายประพันธ์ คูณมี นักอภิปรายปากกล้า พร้อมข้อมูล และแง่มุมทางกฎหมายอย่างชัดเจนที่สุดเช่นกัน
เมื่อมาดูคะแนนเสียง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องการ 375 เสียง ปรากฏว่าได้แค่ 324 เสียง ยังขาดอีก 51 เสียง แต่เมื่อบวกตัวเลขดูแล้ว จะเห็นว่าคนที่ไม่ต้องการนายพิธา มีมากกว่า
คนเห็นชอบนายเป็นนายกฯ 324 คนนั้น เป็น ส.ส. 311 คน เป็น ส.ว. 13 คน คนที่ไม่เห็นชอบมีอยู่ 182 คน งดออกเสียง 199 คน นอกจากนั้นแล้ว ยังมีคนที่ไม่มา คนที่ไม่เข้าสภาฯ ซึ่งก็คือคนทีไม่เลือกนายพิธาแต่ไม่ต้องการปรากฏตัว เพราะฉะนั้นแล้ว เสียงคนพวกนี้จึงอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่เห็นชอบให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
“พิธา” แห้ว! - เปิดชื่อ 13 ส.ว.โลกสวย
สรุปแล้ว คนไม่เห็นชอบ 182 คน งดออกเสียง 199 คน บวกอีก 44 คน ที่ไม่ได้มาสภาฯ เบ็ดเสร็จแล้ว 425 เสียง ที่คัดค้านนายพิธา ส่วนที่นายพิธา ได้ 324 เสียง ต่างกัน 101 เสียง ท่านผู้ชมครับ นี่คือการชนะอย่างขาดลอย ชนะแบบฉีกกระดาษ เพราะฉะนั้นการลุ่มหลง หลงใหลว่าตัวเองมี 150 เสียง และมีประชาชน 14 ล้านคนนั้น พิสูจน์ได้ชัดว่าเพ้อเจ้อมาก
ส่วนในรายชื่อ ส.ว 13 คน ที่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ที่ยืนหยัดในมาตรา 112 ที่จะนำไปสู่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ คือเห็นด้วย แต่ตัวเองชอบใช้วาทกรรมที่สวยหรูบนทุ่งลาเวนเดอร์ว่า ในเมื่อเขามาที่หนึ่งแล้วก็ต้องเลือกเขา ไม่ได้พิจารณาเนื้อหาเลย
“ผมบอกแล้วว่าผมจะเอา 13 คนนี้ ประกาศให้พ่อแม่พี่น้อง ประชาชนคนไทยทั้งหมดทั่วประเทศได้รับทราบว่ามีใครบ้าง คนแรก คือ คุณไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ คนที่สอง คือ จรุงวิทย์ ภุมมา คนที่สาม คือ เฉลา พวงมาลัย คนที่สี่ คือ ซากีย์ พิทักษ์คุมพล คนที่ห้า คือ ณัฏฐวัฒก์ รอดบางยาง
“คนที่หก คือ พิศาล มาณวพัฒน์ คนที่หก คือ คุณพีะศักดิ์ พอจิต คนที่เจ็ด คือ คุณมณเฑียร บุญตัน คนที่แปด คือ วันชัย สอนศิริ คนที่สิบ คือ วุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ คนที่สิบเอ็ด คือ สุรเดช จิรัฐิติเจริญ คนที่สิบสอง คือ อำพล จินดาวัฒนะ และ สิบสาม คือ ประภาศรี สุฉันทบุตร ท่านผู้ชมครับ จำชื่อ 13 คนนี้เอาไว้”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า รับไม่ได้กับ ส.ว.13 คนนี้ เพราะใช้วาทกรรมและชุดความคิดที่ค่อนข้างจะผิวเผินมาก พูดอยู่เพียงคำเดียว ใช้ตรรกะเพียงข้อเดียวว่า เนื่องจากเขาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ก็ต้องให้เขาตามหลักการ โดยที่ไม่พิจารณาว่าคนที่เลือกมานั้น คุณสมบัติ พฤติกรรม ตลอดจนนโยบายที่ประกาศแล้วประกาศอีกว่าเขาต้องการจะล้มล้างเจ้า ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ก็ละเลยหลักการตรงนี้ แล้วไปยืนอยู่บนพื้นฐานของการที่ว่า เขามาที่หนึ่ง
“เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยก็จะเหมือนกับที่พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายเคยพูดมา ว่า ประชาธิปไตยคือเสียงข้างมาก ถ้าอย่างนั้น ถ้าโจรมีเสียงข้างมาก คุณก็เลือกหัวหน้าโจรเป็นนายกรัฐมนตรีได้สิ แล้วคุณรู้หรือยังตอนนี้ ส.ว. 13 คน ที่ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำชื่อเอาไว้ จำเอาไว้เลย จดใส่กระดาษ หรือจดข้างฝาผนังได้”
คนที่ค้านนายพิธา 425 เสียงั้น หลักๆ ค้านเรื่องการแก้ไข ม.112 ส.ว. 13 คนนี้ไปอยู่หลังเขามาจากไหน อย่างน้อยที่สุดคน 425 คน เขาเห็นพ้องต้องกันเลยว่านายพิธา ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่าเป็นคนที่มีเจตนาที่จะดำเนินการเดินทางไปเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์
“ขนาดคุณชาดา ไทยเศรษฐ์ ซึ่งผมเพิ่งให้เหรียญทองไป ท่านยังพูดเลย ท่านพูดแบบนักเลงโบราณว่า คุณพิธา ถ้าคุณถอยเรื่อง 112 ประกาศเป็นนโยบายว่าไม่เอา ผมพร้อมจะยกมือให้คุณ และพวกผมทั้งพรรคภูมิใจไทย ก็พร้อมจะยกมือให้คุณ และก็ไม่ต้องการจะเป็นรัฐบาล จะเป็นฝ่ายค้านด้วย ส.ว. 13 คน คุณยังไม่เข้าใจประเด็นนี้อีกหรือ เสียดายจริงๆ”
“พิธา” กิ้งกือหกคะเมน
นายสนธิ กล่าวว่า อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดให้นายพิธาฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นคู่กรณี ได้ประกาศวางมือไปนแล้ว เพราะฉะนั้นเวทีที่นายพิธากำลังต่อสู้ ไม่ได้สู้กับใครเลย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ศัตรูแล้ว ไม่อยู่แล้วนี่ นายพิธาสู้กับตัวเอง อุปมาอุปไมยนายพิธาคือกิ้งกือหกคะเมน คือกิ้งกือไม่มีวันหกคะเมนได้เพราะมีขาจำนวนมาก แต่มันหกคะเมนเพราะจะแก้ ม.112
การเมืองครั้งนี้มันมีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง จากการซึ่งนายพิธายืนหยัดในการแก้ไข ม.112 ทำให้ตกผลึกทางความคิดได้ว่า นายพิธา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นางสาวพรรณิการ์ (ช่อ) วานิช นายปิยบุตร แสงกนกกุล คนกลุ่มนี้ คือคนที่อยู่เบื้องหลัง ทำพรรคการเมือง พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลมา บอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ แต่วาระมีอยู่เรื่องเดียว คือการล้มเจ้า คือการจัดการเรื่องมาตรา 112
“คุณสัญญากับประชาชนตั้ง 300 เรื่อง คุณจะทำโน่นทำนี่ ผมโกหกที่ไหน คุณไปดูสิ ผมไม่ได้โกหกพกลมเหมือนคุณนะ คุณพิธา และพรรคพวกคุณหลายคนที่เคยเชียร์คุณ ที่โกหกพกลมกัน 300 เรื่อง ที่คุณจะทำให้กับประชาชน แต่คุณกลับผลักดันเรื่องเดียว คือ 112 ทำให้คุณหมดโอกาสได้ทำงานใน 299 เรื่อง
“ถ้าอย่างนั้นผมสรุปได้ไหมว่าพรรคที่คุณตั้งมา รวมกันทั้ง 4 คน ที่เป็นแก๊งเลย รวมทั้งเลขาฯ พรรคุณด้วย นายชัยธวัช (ต๋อม) รังสิมันต์ โรม วิโรจน์ พวกคุณตั้งพรรคมาเพื่อประการเดียว ก็คือ 112 ทำไมผมถึงกล้าพูดเช่นนี้ ? เพราะว่าเมื่อวานนี้พิสูจน์ชัดเจน เขาบอกว่าถ้าคุณถอยเรื่อง 112 ไป เขายินดีสนับสนุนคุณเป็นนายกฯ คุณแพ้ภัยตัวเอง และพรรคพวกคุณ
“ติ่งส้มครับ พรรคก้าวไกล ไม่ใช่พรรคคนรุ่นใหม่ แต่เป็นพรรคที่ตั้งมาโดยมีวาระซ่อนเร้น เอาพวกคุณมาชูหน้าว่าเป็นคนรุ่นใหม่ แต่เบื้องหลังก็คือเอาเสียงพวกคุณมาเพื่อดำเนินการเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์”
คน 300 กว่าเสียง สนับสนุนนายพิธา จริงๆ ต้องตัดออกไป 140 กว่าเสียงของพรรคเพื่อไทยที่จำเป็นจะต้องสนับสนุน เพราะว่าร่วมรัฐบาลกัน ถ้าตัดเพื่อไทยออกไปแล้ว ก็เหลือแค่ 150 กว่าเสียง ถ้าเทียบกับที่เหลือทั้งหมดที่ไม่เอานายพิธา คะแนนห่างมาก ไม่ได้แพ้แค่ 10-20 คะแนน แต่แพ้เป็น 100 คะแนน
กกต.-ศาลฯ ปล่อยกระบวนการเลือกนายกฯ ตบหน้า “พิธา”
วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ก่อนหน้าการประชุมสภาฯ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็น ส.ส.ของนายพิธาสิ้นสุดลงหรือไม่ กรณีที่นายพิธาถือหุ้นสื่อ ซึ่งฝ่ายพรรคก้าวไกลก็กล่าวหาว่าเป็นการใช้ไสยศาสตร์ทางกฎหมายมาเล่นงานพวกตน แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ตกหลุมพรางตามที่พรรคก้าวไกลด่า ศาลฯ เพียงแต่รับเรื่องยังไม่พิจารณา เพื่อให้นายพิธาเข้าสู่ครรลองทางการเมืองเต็มตัวโดยไม่ต้องกังวล คำร้องส่งมาวันที่ 12 ตอนบ่ายก็เพียงแต่ให้รับไว้ ไม่ได้สั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้กระบวนการเลือกสรรมา แล้วกระบวนการเลือกสรรก็ตบหน้าพวกคุณเอง
“จากนี้ไปถ้าศาลรัฐธรรมนูญเริ่มพิจารณาเรื่องของคุณ แล้วเห็นคุณถือหุ้นสื่อผิด แล้วอีกกรณีหนึ่งคือการล้มล้างการปกครอง ว่า ถ้าคุณผิดจริง คุณก็หมดสิทธิ์จะเป็น ส.ส. แล้วคุณก็หมดสิทธิ์ที่จะเล่นการเมืองต่อไป แล้วถ้ามีการนำเรื่องต่อไป ใครที่เป็นรัฐบาล ให้อัยการดำเนินการฟ้องศาลอาญาคดีเลือกตั้ง คุณพิธา คุณมีสิทธิ์จะติดคุกอย่างน้อยที่สุดต้องมี 5 ปีขึ้นไปนะ คุณอย่าทำเป็นเล่นไปนะ”
ในส่วนของ กกต.ได้พิจารณาเรื่องของนายพิธามานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะพิจารณา ถ้าประกาศตอนกำลังเลือกตั้งว่าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็กลัวว่าจะวุ่นวายทางการเมือง กกต.ยังมีมารยาทพอที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ รอยื่นวันที่ 12 กรกฎาคม ซึ่งไม่ใช่การกลั่นแกล้ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญยังไม่พิจารณา
เพราะฉะนั้นแล้ว ในเมื่อคุณทำผิดกติกาของ กกต.แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือต้องมีการส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะส่งวันไหนไม่ได้ต่างอะไรกัน เพราะว่าทุกอย่างเดินไปตามปกติ ไม่ใช่การส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้วทำให้นายพิธาเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯ ไม่ได้ นายพิธาก็เข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯ แล้ว ผลการเลือกก็ออกมาชัดเจนแล้ว
เซียนการเมือง ธงหักระนาว
มติ กกต.ที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัตินายพิธาเหมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ ทำให้การเมืองที่ร้อนแรงอยู่แล้ว กรณี ส.ว.กับการเลือกนายกฯ ร้อนแรงยิ่งขึ้น อารมณ์พวกสาวก ด้อมส้ม ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลพุ่งปรี๊ดถึงจุดเดือด อาจารย์มหาวิทยาลัย ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ก็ปากดีนัก ทุกคน
“หลายคนที่ผมรู้จักก็ปากดีนัก บอกว่าอย่างไรก็ตาม พิธา ยังไงก็ต้องเป็นนายกฯ ชนะแน่นอน ผมรู้จักหลายคน แต่ผมขี้เกียจพูด เพี้ยนกันไปหมดแล้ว แต่ละคนจอมฟันธงทั้งนั้น ถือดาบมาฟันฉับๆ ฟันไปฟันมาหาธงไม่เจอ ฟันแต่ลม อารมณ์เลยพุ่งปรี๊ด เปิดสงครามโซเชียล แฮชแท็ก "กกต.มีไว้ทำไม" ถ้าผมเปิดแฮชแท็กของผม แต่ผมขี้เกียจทำ ผมก็จะบอกว่า กกต.มีไว้รักษากฎหมาย ก็ กกต. ทำถูกแล้ว ไม่ผิด”
มีการปั่นกระแส บอกว่าเป็นกระบวนการหวังผลทางการเมือง ใช้ภาษา "นิติสงคราม" ผ่านบทบาทองค์กรอิสระ ใช้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ต้องเปฺ็นสุภาพบุรุษ อย่าเสนอ “พิธา” โหวตรอบ 2
เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ว่า นายพิธา มีสิทธิ์เป็นนายกฯ หรือไม่ นายชัยธวัช ก็ยืนยันว่า นายพิธา ยังมีสิทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ แต่วันนี้ไม่มีสิทธิ์แล้ว นายพิธาแพ้แล้ว เบ็ดเสร็จ 101 เสียง กรุณาอย่าหน้าด้านดิ้นรนเพื่อให้มีการเลือกนายพิธาเป็นครั้งที่สอง เสียเวลา ดื้อด้าน ไม่มีจริยธรรม ไม่มีพฤติกรรมความเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง
“จริงๆ พวกคุณไม่เคยมีความเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองเลย คุณเล่นการเมืองมา คุณหลอกเด็ก คุณเอาเด็กออกมา อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ใช้ไม่ได้เยอะแยะไปหมดเลย ที่สนับสนุนคุณ แต่เด็กโดน 112 กันเป็นแถว คุณก็ไปประกันตัวเขา แต่เวลาออกหน้า คุณไม่ออก คุณให้เด็กออกหน้า มีเรื่องมีราว 112 เด็กๆ ทั้งนั้น พวกคุณไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว แล้วพวกคุณก็ออกมาบอกว่ารังแกเด็กอย่างโน้นอย่างนี้ โน่นนี่นั่น เรื่องนี้ชาวบ้านเขารู้กันหมดแล้ว
มีการปั่นกระแสจะเอาคนมาเป็นโล่มนุษย์สู้เพื่อให้นายพิธาเป็นนายกฯ แต่ปั่นกระแสได้เฉพาะในโซเชียลฯ พูดตรงๆ นายปิยบุตร นายธนาธร ช่อ พรรณิการ์ ตลอดจนนายพิธา ตลอดจนพวกจอมวางแผน ไม่มีอะไรหรอก มีแค่โซเชียลฯ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เคยสู้จริง ยุให้เด็กออกไปสู้ เป็นอีแอบ
เจอหนังม้วนเก่า ก็เพราะทำตัวเอง
นายสนธิ กล่าวว่า การที่ กกต.จะพิจารณาเรื่องของนายพิธาเร็วหรือช้า ไม่ได้สำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว แต่คนที่ร่วมอยู่ในขบวนการของ อย่างเช่นนายปิยบุตร มาตัดพ้อว่าหนังม้วนเก่ากำลังกลับมาฉายซ้ำ เหมือนกับกรณีของนายธนาธร ประธานคณะก้าวหน้า เจ้าของพรรคก้าวไกลตัวจริง ทั้งที่ตนเคยเตือนตั้งแต่ต้นแล้ว ว่ากติการัฐธรรมนูญมี จะเข้ามาเล่นในกติกานี้ ต้องยอมรับ กติกาหนึ่งที่ชัดเจนที่นายธนาธร และนายพิธา โดน ก็คือถือหุ้นสื่อ ก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าคุณถือหุ้นสื่อ เขาเล่นงานคุณแน่
แล้วนายพิธาและพวกก็ก้าวร้าวมาก การถือหุ้นสื่อก็ส่วนหนึ่ง แต่พอคุณได้ 150 กว่าเสียง มาที่หนึ่ง นายพิธาเหมือนเด็ก จู่ๆ ได้ข่าวว่าจะได้ของเล่นแล้ว แต่เขายังไม่ได้ให้ของเล่น ก็วิ่งไปประกาศกับพี่น้อง กับข้างๆ บ้าน ว่า จะได้ของเล่นแล้วนะ ผมได้ของเล่นแล้วนะ เดินสายทุกแห่งทันทีเลย ไม่ว่าจะไปไหน นายพิธาบอกว่าตัวเองคือว่าที่นายกรัฐมนตรี
“คุณนี่เหมือนเด็กคนหนึ่ง เหมือนอย่างไรรู้ไหม ? อยากได้ของเล่นตรงนั้น อยากเป็นนายกฯ พ่อแม่บอกว่าเป็นได้ ได้ของเล่นได้ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขหน่อย ข้อแรก ต้องทำการบ้านก่อน ข้อที่สอง ห้ามดูทีวี ข้อที่สาม กินข้าวแล้วล้างชามด้วย ข้อที่สี่ ก่อนนอนแปรงฟัน ล้างหน้า แล้วพ่อถึงจะให้ของเล่น ฉันใดฉันนั้น การที่คุณได้เสียงข้างมากที่สุด และคุณจัดตั้งรัฐบาลแล้ว คุณต้องการให้ทุกคนยอมรับคุณเป็นนายกรัฐมนตรีเลย คุณพิธา คุณลืมไปแล้วหรือว่า เราพูดกันมาตั้งนานแล้วว่านี่เป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี เราไม่ได้เลือกประธานาธิบดี”
“คุณบอกว่าคุณมี 14 ล้านเสียง แล้วรัฐธรรมนูญที่เขามีประชามติ 15 ล้านเสียง เขาไม่ชนะคุณหรือ คุณเลิกพูดเรื่อง 14 ล้านเสียง บ้าบอคอแตกเสียทีได้ไหม คุณพูดจนผมรำคาญ คุณไม่รู้ข้อเท็จจริงเลย เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อคุณธนาธร โดนเรื่องคดีหุ้น คุณจะมาอ้างไม่ได้ว่าคุณไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ขึ้นว่ะ คุณชัยธวัช ผมฟังไม่ขึ้น ส่วนคุณก็บอกว่า คุณไม่ผิด โน่นนี่นั่น เอาสิ ถ้าคุณบอกว่าไม่เคยเรียกคุณเข้าไปถาม ก็ไม่เป็นไรนี่ คุณยังมีโอกาสที่จะเข้าไปที่ศาลรัรฐธรรมนูญ ชี้แจง แล้วผมเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความเป็นธรรมกับคุณดี ก็เหมือนกับที่คุณธนาธร เข้าไปชี้แจง เหมือนกัน
“ฉันใดฉันนั้น ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ศาลพิจารณาแล้วก็ยังถือว่าผิด เพราะฉะนั้นแล้ว การที่ กกต. ไม่เรียกคุณเข้าไปชี้แจง ไม่ได้แปลว่าเขาทำผิด เขาพิจารณาจากหลักฐานที่มีอยู่ แล้วเขาส่งไปที่ศาล เพื่อให้ศาลตัดสิน ศาลก็ไม่ได้ตัดสินทันทีนะ คุณก็รู้ขั้นตอนนะ เขาก็ต้องเชิญคุณเข้ามา ให้คุณแถลง ให้คุณเอาหลักฐานมาแสดง ให้คุณกล่าวโต้แย้ง คุณก็ชอบอ้างอยู่ตลอดว่าไม่ผิด ไม่ผิด ไม่ผิด”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลทำลายตัวเอง ยังไม่ทันเป็นรัฐบาลเลย นายพิธา ยะโสโอหังมาก บอกว่าพรรคก้าวไกลต้องยึดกระทรวงมหาดไทย ต้องให้ผู้ว่าฯ หมดไป ไม่มีการแต่งตั้ง ต้องเลือกตั้งอย่างเดียว แล้วก็ไปวิ่งหาการเมืองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น อบต. อบจ. เพื่อหาเสียง ให้เห็นด้วยว่าต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ
ลืมไปแล้วหรือว่ากระทรวงมหาดไทยตั้งมากี่ร้อยปีแล้ว ตั้งมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 รากมันลงไปลึกแล้ว จู่ๆ ไปบอกเขาว่า ผู้ว่าฯ ทั้งหลายนี่ตกงานแน่ แทนที่จะรู้จักอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แข็งแรงแต่ไม่แข็งกร้าว แทนที่จะรู้จักพูด บอกว่ามีแนวคิดที่อยากจะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการทดลองเป็นโมเดลสัก 1-2 จังหวัด ลองดูว่ามันได้ผลหรือไม่ได้ผล
“ไม่! คุณต้องการเอาด้ามพร้ามาแล้วหักด้วยหัวเข่าเลย เหมือนกับคุณไม่ชอบทหาร ผมไม่รู้ว่าคุณไม่ชอบด้วยเรื่องอะไร ไอ้ผมนี่โดนทหารยิงแท้ๆ 200 นัด ผมยังเข้าใจทหารดีกว่าคุณเข้าใจ
“จู่ๆ คุณขึ้นมาบอกว่าจะต้องยุบสภากลาโหม คุณพิธา คุณบ้าหรือเปล่า คุณวิโรจน์ ก็ออกมาแหกปากโวยวายโน่นนี่นั่น คุณรังสิมันต์ โรม ก็เหมือนกัน คุณยังไม่ทันไรเลย คุณยังไม่ได้ผ่านการเลือกนายกฯ หรือยังไม่ได้ผ่านทุกอย่าง คุณเที่ยวเรียกประชุมข้าราชการต่างๆ เชิญมา แล้วคุณให้ความคิดเห็นสภาหอการค้าฯ ทำโน่นทำนี่ เขาเรียกว่าคุณน่ะต้องการของเล่น แต่คุณไม่ทำตามกติกา”
ทั้งหมดนี้ เกิดจากความก้าวร้าวของพรรคก้าวไกล ก็เลยทำให้มันซึมซับลงไปในบุคลากร ลืมไปแล้วหรือว่า ส.ว. 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ข้าราชการเก่าทั้งนั้น ส่วนใหญ่ทหารทั้งนั้น แล้วพวกเขามีความสุขหรือที่พรรคก้าวไกลไปดูถูกหยามเหยียด แรกๆ ที่เข้ามา มีเสียงข้างมาก ก็หยามเหยียด บอกว่า ส.ว. ส.ว. ต้องเคารพเสียงประชาชน
ส.ว.เขาเคารพกติกาของรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญนั้นได้รับประชามติ 15 ล้านเสียงจากประชาชนแล้ว ถึงมาร่างเป็นกติกา เพราะฉะนั้นแล้ว ส.ว. เคารพกติกาของรัฐธรรมนูญ เท่ากับ ส.ว.ก็เคารพเสียงของประชาชนอยู่แล้ว อะไรมันทำให้ 14 ล้านเสียง ของพรรคก้าวไกลยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างในโลกนี้ ในประเทศไทย
“คุณชาดา เขาพูดถูก ถ้าคุณแก้ 112 แล้วประเทศไทยจะเป็นประเทศสวรรค์หรืออย่างไร คุณหมกมุ่น คุณบ้า! คุณบ้า! คุณบ้า! ลืมตัว ไม่ว่าจะเป็นธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าจะเป็นพรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ไม่ว่าจะเป็นปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ว่าจะเป็นพิธา ไม่ว่าจะเป็นวิโรจน์ หรือไม่ว่าจะเป็นรังสิมันต์ โรม หรือไม่ว่าจะเป็นอมรัตน์ และอีกหลายๆ คน
“แล้วคุณพูดจา ยิ่งแกล้งผมเท่าไร คนยิ่งเข้ามาเป็นพวกผมเท่านั้น เอาล่ะ ผมจะดู วันนี้ยังไม่ทันไรเลย ยังไม่มีใครแกล้งคุณเลย เขาแกล้งคุณที่ไหน วันนี้คุณแพ้เสียงในสภาฯ ตามกติการัฐธรรมนูญที่ได้รับฉันทามติ ประชามติจากประชาชน 15 ล้านเสียง
“เพราะฉะนั้นแล้ว ส.ว. เขาทำหน้าที่ตามกติการัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับฟังเสียงประชาชนที่ลงประชามติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญนี้ ทุกอย่างเข้าสู่ครรลองการเมือง ไม่มีการแทรกแซง ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ออกมาพิพากษาคุณว่าให้หยุดทำงาน เขารับเรื่องไว้ แล้วเขาก็รู้ว่าเขากำลังจะเลือกคุณพิธา เป็นนายกฯ ศาลก็เลยปล่อยไป ไม่ยุ่ง ให้คุณเล่นการเมืองให้เต็มที่ แล้วการเมืองวันนี้ตบหน้าพวกคุณว่าเขาไม่เอาคุณ ไม่เอาเรื่องอะไรล่ะ ? 112 ไง ไม่ได้ไม่เอาเรื่องอื่น เขาไม่เอาเรื่อง 112 เขาละเลยเรื่องการที่คุณโกหกพกลม คุณสมบัติ แบบนี้เขาไม่สนใจ เขาสนใจเรื่องเดียวคือ 112
“เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าทั้งหมดนี้ พรรคก้าวไกลทำร้ายตัวเอง ทำร้ายตัวเองจริงๆ”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า จากนี้ไป นายพิธา และพรรคก้าวไกล ต้องยอมรับ อย่าใช้วิชามาร มาร่วมรัฐบาลโดยที่ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เขาไม่เอาคุณแล้ว ประชาชนไม่เอาด้วย เอา 14 ล้านเสียงไปแยกไว้ดีกว่า ไปเป็นฝ่ายค้าน อย่าไปยุ่งกับเขา ก็คุณบอกว่าคุณยังหนุ่มอยู่ไม่ใช่หรือ 42 ปี คุณรอได้ คุณก็รอต่อไปอีก 4 ปี
แต่เชื่อว่าใน 4 ปีข้างหน้านี้ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย คดีความต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่จะต้องถูกเร่ง ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ผิดกฎหมายก็ว่าไปตามผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นแล้ว คุณควรจะมีความรู้สึกพอ เป็นสุภาพบุรุษ คุณแพ้แบบหน้าแตก หมอไม่รับเย็บ อย่าเป็นจระเข้ขวางคลองในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป จากนี้ไปควรจะมียางอาย ยุติในการดิ้นรนเพื่อให้โหวตครั้งที่ 2
“ก้าวไกล” ต้องรับสภาพ เป็นฝ่ายค้านสร้างการเมืองให้ดีกว่าเดิม
ประการต่อมา พรรคก้าวไกลพูดเองว่าถ้าไม่เป็นรัฐบาลก็อยากเป็นฝ่ายค้าน ก็ไปได้ทันทีเลย ให้พรรคอื่นมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา เชื่อว่าพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านได้ดี สามารถจะค้านได้อย่างเต็มที่ และทำให้รัฐบาลต้องระวังตัว เพราะว่าถ้าไม่แก้ไขปัญหาต่างๆ โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาอีกครั้งก็ไม่มี พรรคก้าวไกลอย่าเพิ่งเป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้านดีแล้ว เพราะเป็นการฝึกและตีกรอบให้รัฐบาลต้องระมัดระวังตัว ต้องทำงานด้วยความมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และความซื่อสัตย์สุจริตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“คุณอย่าลืมนะ ถ้าคุณเป็นฝ่ายค้าน คุณมีส่วนช่วยในการสร้าง ทำให้การเมืองเมืองไทยดีขึ้นกว่าเก่า แต่คุณเป็นรัฐบาลไม่ได้ เพราะว่าคุณเหมือนที่คนเขาพูดว่า ให้ลิงเล่นไม้ขีด ลิงเล่นไม้ขีดนี่ บ้านไหม้ไปไม่รู้กี่หลังแล้ว ถ้าคุณเป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ แค่ปีเดียว ประเทศฉิบหายไปอีก ต้องแก้ไขอีก 10-20 ปี”
นายสนธิย้ำกว่า รัฐบาลชุดต่อไปจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม พรรคก้าวไกลจะดีที่สุด ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดคือเป็นฝ่ายค้าน เพราะว่า หนึ่ง ถ้าค้านได้ดีเมื่อมีเลือกตั้งในอีก 4 ปีก็จะมาแบบถล่มทลายแน่นอน สอง ถ้าเป็นฝ่ายค้านที่ดี แล้วฝ่ายรัฐบาลเขารู้ว่าการที่คุณจะค้านนั้น เขาต้องระวัง เพราะว่าถ้าเขาไม่ทำตามที่คุณค้าน หรือไม่แก้ปัญหาตามที่คุณแนะนำหรือต่อว่ามา โอกาสที่รัฐบาลจะสอบตกทั้งหมดก็มีสูง ก็เท่ากับว่าคุณมีส่วนในการสร้างการเมืองให้มันดีขึ้น ประโยชน์ของพรรคก้าวไกลก็มี ไม่ใช่ไม่มี
“แต่พวกคุณต้องเลิกโกหกพกลม พวกคุณต้องเลิกโกหกเพื่อให้พวกคุณได้มีอำนาจ การขึ้นมามีอำนาจของคุณครั้งนี้ ที่คุณได้มา 14 ล้านเสียง เกือบครึ่งหนึ่งก็คือจากการที่คุณโกหกเรื่องราวต่างๆ ปั่นหัวคน ปั่นกระแส แฮชแท็กในทวิตเตอร์ แฮชแท็กอันโน้น แฮชแท็กอันนี้”
อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวว่า จากนี้ต่อไป พรรคก้าวไกลจะไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สมัยก่อนศัตรูของคุณคือ 3 ป. เที่ยวด่า 3 ป.อย่างโน้นอย่างนี้ การเมืองต้องไม่มี 3 ป. คนที่เลือกก้าวไกล 14 ล้านคน มีอยู่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ เลือกเพราะไม่ชอบ 3 ป. แต่วันนี้ 3 ป.ไม่มีแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกไปแล้ว ไม่สนใจการเมืองแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ไม่เล่นการเมืองอีกต่อไปแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจจะเข้ามาร่วมรัฐบาลแต่ก็ไม่เล่นการเมืองต่อ
“เมื่อไม่มี 3 ป. แล้ว ศัตรูของคุณอยู่ที่ไหนล่ะ เพราะคุณสู้บนการปั่นกระแสของการต่อต้าน 3 ป. ตอนนี้ไม่มีแล้ว คุณจะต่อต้านใคร หรือคุณจะต่อต้านสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เป็นไร เพราะพวกคุณก็จัดทัวร์มาลงผมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ผมมีแนวป้องกัน แบบที่รัสเซียป้องกันการบุกอีกครั้งหนึ่งของยูเครนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดที่พูดมาวันนี้ พูดด้วยความจริงใจ และไม่อ้อมค้อม วันนี้พรรคก้าวไกลสู้กับตัวเอง แต่สู้ผิดทั้งชีวิต ขอถามอย่างหนึ่ง นายพิธา นายธนาธร นายปิยบุตร และ ช่อ พรรธิการ์ และพวกแกนนำพรรคก้าวไกลทั้งหลาย ทั้งชีวิตบ้าคลั่งกับการยกเลิก 112 มันเกิดอะไรขึ้นกับมันสมองของพวกคุณ เขาไม่ได้เรียกว่าหมกมุ่น เขาเรียกว่าบ้าไปแล้ว หมกมุ่นยังเข้าใจ ยังมีเหตุผล ยังพอฟังออก นี่พวกคุณบ้าไปแล้ว วันนี้พิศูจน์แล้วว่าคนที่รักพระเจ้าอยู่หัวมีมากกว่าพวกคุณ
พรรคก้าวไกลจึงควรถอยไป กลับไปเตรียมตัวเป็นฝ่ายค้าน แล้วให้พรรคเพื่อไทย อันดับสอง ลองจัดตั้งรัฐบาลดู เป็นครรลองทางการเมือง แล้วพรรคก้าวไกลก็คอยไปต่อสู้ในศาลในคดีความต่างๆ ที่มีอยู่เต็มไปหมด นั่นคือการเมืองที่เป็นสุภาพบุรุษ แล้วเลิกใช้วิธีการเก่าๆ หลอกเด็กมา เหมือนที่เอาเด็กสิบขวบมาขึ้นเวทีเพื่อมาเชียร์นายพิธา โคตรทุเรศ และโคตรบัดซบเลย
“พวกคุณบ้าไปแล้ว คุณต้องการแสวงหาอำนาจ และคุณต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างชนิดที่เรียกว่ามันอยู่ในสายเลือดคุณ แบบที่เรียกว่าไม่ลืมหน้าลืมหลัง และไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จนกระทั่งคุณเพี้ยน เพี้ยน แล้วก็เพี้ยน” นายสนธิกล่าว