xs
xsm
sm
md
lg

สัญญาณเตือนจากปักกิ่ง ใครปั่น “จีนเทา” ทำลายสัมพันธ์สองชาติ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ย้ำคำให้สัมภาษณ์ “หาน จื้อเฉียง” ในโอกาส 48 ปีสัมพันธ์จีน-ไทย ฝ่ายจีนสนับสนุนทางการไทยจัดการ “ทุนสีเทา” ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจรัฐบาล เพราะทางการมีนโยบายปราบปรามพวกนี้อยู่แล้ว แต่เตือนระวังคนบางกลุ่มเจตนาซ่อนเร้นใช้เรื่องทุนจีนสีเทาเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทย โดยเฉพาะช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา “วิโรจน์ ก้าวไกล” ปั่นกระแสจีนเทาอย่างคะนองปากเพื่อประโยชน์ทางการเมือง กลบเกลื่อนที่พรรคตัวเองมีนโยบายเข้าข้างอเมริกา



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนไทย ของนายหาน จื้อ เฉียง เอกอัครราชทูตประเทศจีนประจำประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 48 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของจีน และไทย ในวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งตอนหนึ่งได้ตอบในประเด็นปัญหาเรื่อง "ทุนจีนสีเทา" ว่ามีความเห็นอย่างไร


นายหาน จื้อ เฉียง พูดอย่างชัดเจนว่า "จีนกำหนดให้พลเมืองและบริษัทจีนในต่างประเทศปฏิบัติตามกฎหมายและขนบธรรมเนียมของประเทศปลายทางอย่างเคร่งครัด ให้ประกอบธุรกิจที่ถูกกฎหมาย และตอบแทนสังคมอย่างจริงจัง และพวกเขาก็ทำเช่นนั้นจริง มีบริษัทจีนในไทยจำนวนมากกระตือรือร้นกับการทำกิจการเพื่อสาธารณประโยชน์พร้อมๆ กับการพัฒนาธุรกิจของพวกเขา ซึ่งความพยายามและคุณประโยชน์ที่พวกเขาได้ทำเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นเป็นที่ประจักษ์"

เอกอัครราชทูตจีนพูดต่อว่า "มีชาวจีนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น" ซึ่งในประเด็นนี้ทูตจีนพูดชัดเจนว่า "ฝ่ายจีนสนับสนุนให้ฝ่ายไทยดำเนินการปราบปรามกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างเต็มที่ และในความเป็นจริง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของจีนและไทยได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติอยู่แล้ว และได้ประสบผลสำเร็จอย่างมาก" (เพียงแต่ไม่มีการรายงานข่าวออกมาเท่านั้นเอง)


"สิ่งที่ผมต้องการเน้นย้ำคือ ชาวจีนที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก เราควรแยกแยะคนเหล่านี้ออกจากพลเมืองจีนและบริษัทจีนในประเทศไทย บางกลุ่มที่มีเจตนาซ่อนเร้น ใช้เครือข่ายการสื่อสารเพื่อทำลายภาพพจน์ของประเทศจีน สร้างความขัดแย้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างจีนกับไทย ซึ่งเราต้องระมัดระวังอย่างมาก" นายหาน จื้อ เฉียง กล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องทุนจีน ก่อนหน้านี้ตนได้เคยเตือนนักการเมือง นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนไทยจำนวนหนึ่งว่า เรื่องทุนจีนสีเทาในประเทศไทยนั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ แต่ไม่ได้จัดการด้วยการเชื่อมโยงเรื่องราวทุนจีนสีเทาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรัฐบาล หรือภาครัฐของจีนที่กรุงปักกิ่ง เพราะการเจริญเติบโต ขยาย สยายปีกอย่างกว้างขวางของทุนจีนสีเทาในเมืองไทย จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไทยนั้น เกิดขึ้นเพราะว่านักการเมือง เจ้าหน้าที่ นักธุรกิจ และประชาชนคนไทยเองที่ปล่อยปละละเลย หรือถึงขั้นสมคบคิดกับทุนจีนสีเทา ให้สามารถเข้ามากระทำความผิดกฎหมายต่างๆ ในประเทศได้

“นักการเมืองบางคนเห็นแก่ประโยชน์ ตำรวจ ข้าราชการ เห็นแก่ส่วย มีตำรวจหลายคนตอนนี้ยิ่งใหญ่มาก อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย ลึกๆ แล้วก็คือคนที่สนิทสนมกับทุนจีนสีเทา นายตู้ห่าว เพราะฉะนั้นแล้ว นักธุรกิจไทยต่างๆ ก็เห็นแก่เงิน รายได้ ผลประโยชน์ จึงปล่อยให้เขาเข้ามากระทำผิดกฎหมายไทยหลายๆ อย่างได้”


นายสนธิกล่าวอีกว่า ตนได้เคยเปิดโปงในรายละเอียดเรื่องทุนจีนสีเทาไปแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 162 ตอน "ทุนจีนสีเทายึดไทย ฟอกเงิน-ค้ายา บิ๊กการเมือง-ตำรวจ รู้เห็นเป็นใจ ?!!" ออกอากาศเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2565 หลังจากนั้นตอนที่ 164 "ทุนจีนสีเทา โยงนักการเมือง" ออกอากาศวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ตอนที่ 169 "บิ๊ก ปปง.เอื้อทุนสีเทา" ออกอากาศเมื่อ 23 ธันวาคม 2565 นอกจากนั้น วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ตอนที่ 165 ก็พูดเรื่อง "ทุนจีนสีเทาผูกขาดทุเรียนไทย"

“พฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 ผมพูดเรื่องนี้ 4 ครั้ง คนที่ไม่มีปัญญา หรือต้องการจะแดกดันผม ว่าทำไมเรื่องทุนจีนสีเทาไม่พูดบ้าง คนพวกนี้เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะว่าด้อยปัญญา สติปัญญามีระดับที่สิ้นหวังที่จะกอบกู้ได้”

ประเด็นอยู่ที่ไหน? การทำผิดกฎหมายเหล่านี้ของคนจีนที่สมคบกับคนไทย สถานทูต และรัฐบาลกลางที่ปักกิ่ง เขาไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยเลย หลายคนเป็นอาชญากร เป็นทุนจีนสีเทา หลายคนต้องคดี หลบหนีออกมาจากแผ่นดินใหญ่มาซุกตัวอยู่ในเมืองไทย มาทำมาหากิน มามีเมียเป็นคนไทย ซึ่งทุกวันนี้ทางจีนยังตามจับกุมอยู่


ด้วยเหตุนี้ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยย้ำว่า ฝ่ายจีนสนับสนุนทางการไทยให้จัดการคนทำผิดกฎหมายและอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจรัฐบาล เพราะว่าจีนเองมีนโยบายจะปราบปรามพวกนี้อยู่แล้ว และยังเตือนว่า ระวังกลุ่มที่มีเจตนาซ่อนเร้น ใช้เรื่องทุนจีนสีเทาเพื่อทำลายความสัมพันธ์ของจีน-ไทย

“อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว คือ การกล่าวถึงปัญหาทุนจีนสีเทานั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ผิด แต่ควรทำให้เข้มข้น ขุดค้นปัญหาให้ถึงต้นตอ เพราะมันเชื่อมโยงใกล้ชิดเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ภาครัฐของบ้านเรา หลักๆ แล้วก็คือตำรวจนั่นเองล่ะ เชื่อมโยงไปจนถึงนักการเมือง”

อย่างไรก็ตาม เราก็คงต้องแยกแยะว่าเรื่องใดเป็นเรื่องภายในประเทศ เรื่องใดเป็นประเด็นที่จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้กระทั่ง ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ยังแสดงสติปัญญาอันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน พยายามเชื่อมโยง ตีขลุมว่าปัญหาทุนจีนสีเทา อาชญากรรมข้ามชาติในไทยนั้น มีรัฐบาลจีนอยู่เบื้องหลัง

ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี
“ผมเสียดายตำแหน่งที่ชื่อ "อาจารย์มหาวิทยาลัย" ขอประทานโทษครับ ยังด้อยปัญญามากถึงขนาดนี้ ผมสงสารเด็กที่ไปเรียนกับอาจารย์ พูดอย่างนี้ได้อย่างไร อาจารย์ไม่เข้าใจอะไรเลยหรือ แม้แต่นิดเดียว หรือพูดเพียงเพราะว่าโยงไปโยงมาแล้วมันง่ายต่ออาจารย์ในการไปกล่าวหาคนอื่นเขา”

เรื่องทุนจีนสีเทาหลายเรื่องถูกปั่นกระแส ละเลยข้อเท็จจริงไปมาก ยกตัวอย่าง "คนจีนจะมายึดประเทศไทย" (นี่คือข้อกล่าวหา) กว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ คนไทยจะไม่มีที่อยู่ คนที่มีปัญญาหน่อยฟังแล้วก็ยังงงว่าคนพูด พูดอย่างนี้ออกมาได้อย่าง "คนจีนทำธุรกิจแข่งกับคนไทย" แล้วเวลาคนไทยไปทำธุรกิจที่เมืองจีน หรือทำธุรกิจที่เวียดนาม คนเวียดนามไม่ต้องมาโวยวายหรือว่าคนไทยไปทำธุรกิจแข่งกับคนเวียดนาม

การทำธุรกิจนั้น ถ้าเขาทำถูกต้องตามกฎหมาย เขาได้สิทธิในการทำธุรกิจ อยู่ในกฎระเบียบ/กฎหมายของไทย ใครๆ ก็ทำได้ อย่าว่าแต่คนจีนเลย ฝรั่งก็ทำ อียูก็ทำ อเมริกาก็ทำ ญี่ปุ่นก็ทำ เกาหลีใต้ก็ทำ แต่เนื่องจากว่าตำหนิคนจีนมันตำหนิง่าย ก็เลยบอกว่าคนจีนทำธุรกิจแข่งกับคนไทย

“คุณตลกหรือเปล่า แสดงว่าถ้าไม่มีคนจีนทำธุรกิจแข่งกับคนไทยแล้ว ในประเทศไทยไม่มีต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจแข่งกับคนไทยแล้วเหรอ”

ร้านอาหารคนจีนในย่านห้วยขวาง เขาใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารของเขาเอง เป็นภาษาจีนทั้งหมด มีไรเดอร์เป็นของตัวเอง เงินรายได้หมุนเวียนอยู่ในหมู่คนจีน "ไม่เปิดโอกาสให้คนไทยได้ประโยชน์เลย" (นี่คือข้อกล่าวหา) ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ยกตัวอย่าง ปัญหาการยึดครองอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน คอนโดฯ กฎหมายไทยกำหนดไว้ว่า ชาวต่างชาติจะซื้อได้เฉพาะคอนโดมิเนียม และชาวต่างชาติที่จะซื้อต้องมีสิทธิพำนักในประเทศไทยเท่านั้น เช่น ต้องมีวีซ่าทำงาน วีซ่าครอบครัว หรือวีซ่าเกษียณอายุ นอกจากนี้ ยังกำหนดไว้ว่า ในโครงการหนึ่งจะขายให้ชาวต่างชาติได้ไม่เกิน 49 เปอร์เซ็นต์ ของเนื้อที่ทั้งหมดในโครงการ

ทุกวันนี้เรามีคอนโดมิเนียมทั้งประเทศมีชาวต่างชาติครอบครองเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นในบางจังหวัดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ เช่น ชลบุรี ระยอง ชาวต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียมเต็มเพดานแล้วที่ 49 เปอร์เซ็นต์

ส่วนเรื่องธุรกิจคนต่างชาติ กฎหมายไทยเข้มงวดกว่าหลายประเทศ มีการกำหนดสัดส่วนในการลงทุนถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ เป็นของคนต่างชาติ 51 เปอร์เซ็นต์ เป็นของคนไทย มาตรการเช่นนี้ทำให้ชาวต่างชาติบางส่วนเขาหาช่องทาง หานอมินี เพราะคนที่ลงเงินลงทุน 100 เปอร์เซ็นต์ ใครบ้างจะถือแค่ 49 เปอร์เซ็นต์

เรื่องชุมชนจีนในย่านห้วยขวาง ที่กลายเป็นไชน่าทาวน์ 2 ถูกขยายผล ก็เป็นความจริง เพราะคนจีนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ได้หวังจะมาลงทุนปักหลักฐานในประเทศไทยเหมือนคนรุ่นเยาวราช การสร้างระบบธุรกิจของตัวเอง ใช้แอปพลิเคชันของตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกตรงไหน เพราะลูกค้าของเขาเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนจีน ใช้ภาษาจีน แล้วคนไทยที่ใช้ Facebook, Twitter, LINE หรือ Grab แอปพลิเคชันเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของคนไทย เพียงแต่เป็นเวอร์ชันภาษาไทยเท่านั้น

“นักวิชาการบางคนยังโยงว่าเบื้องหลังทุนจีนสีเทาคือรัฐบาลจีน โยงว่าเกี่ยวข้องกับความริเริ่ม "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" หรือ BRI ของจีน คนที่คิดแบบนี้ โง่บัดซบจริงๆ ผมถามคุณอย่างนะว่า รัฐบาลประเทศไหนบ้างที่ใช้อาชญากรเพื่อขยายอิทธิพลของประเทศตัวเอง ไม่มีหรอกครับ อย่างที่ผมกล่าวไป การมีอยู่ของทุนจีนสีเทานั้นเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่จริงยิ่งกว่าคือ ธุรกิจสีเทาจะเกิดขึ้นและคงอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วๆ ที่ปัจจุบันนี้ก็ยังมีตำแหน่งสูงส่งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยรู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มต่างชาติสีเทา มีมานานแล้วในประเทศไทย มาเฟียรัสเซียก็มีมานานแล้วในพัทยา และภูเก็ต ยากูซ่าของญี่ปุ่นที่หลบหนีคดีมากบดานที่เมืองไทย กลุ่มยาเสพติดไต้หวันที่ใช้ไทยเป็นฐานผสมยาเสพติด”

ทีมข่าวได้ไปเจาะลึกเรื่องนี้ พบว่า สาเหตุที่ทุนจีนสีเทาแพร่หลายในประเทศไทยอย่างหนักในช่วงหนึ่งหรือสองปีมานี้ โดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤตโควิด เป็นเพราะว่า หนึ่ง ทางการจีนร่วมกับทางการกัมพูชา กวาดล้างกลุ่มจีนสีเทา และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขมร ทำให้จีนสีเทาหลบหนีมายังประเทศไทย แล้วจะหลบหนีเข้ามาได้อย่างไร ถ้าตำรวจและข้าราชการไม่ช่วยให้หลบหนีเข้ามา


ข้อที่สอง เหตุการณ์ไม่สงบหลังรัฐประหารในพม่า ทำให้จีนสีเทาที่อยู่พม่าต้องย้ายฐานมาที่ประเทศไทย ข้อที่สาม ทางการจีนเพิ่มมาตรการควบคุมหลายเรื่อง เช่น ควบคุมเทคโนโลยีธุรกรรมการเงินผ่าน FinTech ข้อมูลที่้เข้าข่ายความลับของชาติภายในประเทศ ทำให้ชาวจีนบางส่วนหนีออกจากประเทศตัวเองไปต่างแดนที่มีมาตรการควบคุมไม่เข้มงวดเท่าไรนัก

ข้อที่สี่ มาตรการกีดกัน คว่ำบาตร แยกขั้ว ของชาติตะวันตกทำให้ธุรกิจของจีนในชาติตะวันตกเผชิญความยากลำบาก ก็เลยต้องหนีออกมา

ข้อห้า ทางการไทยให้คนจีนสามารถทำ Visa on Arrival ได้ง่ายๆ ทำให้คนจีนหลั่งไหลมาประเทศไทยมากเป็นพิเศษ


ข้อที่หก ประเทศไทยอยู่ไม่ไกลจากประเทศจีน เดินทางสะดวก ราคาอสังหาริมทรัพย์ถูกกว่าในจีนมาก ครอบครองได้ตลอดชีวิต ส่งต่อเป็นมรดกได้ การตั้งธุรกิจในไทยนั้นก็ไม่ยุ่งยาก

“ข้อที่เจ็ด คนจีนรู้ว่าเจ้าหน้าที่ไทยซื้อได้ ท่านผู้ชมจำคำพูดนี้ "ซื้อได้" ขณะเดียวกัน ก็มีขบวนการ "จีนหลอกจีน" มากมายในปรเะเทศไทย จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและเหยื่อในคดีต่างๆ ที่ในกลุ่มจีนสีเทาเกี่ยวข้อง ล้วนแต่เป็นคนจีนด้วยกันทั้งสิ้น ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ของจีนและสื่อมวลชนจีน ผู้สื่อข่าวของผมได้ไปพูดคุย ต่างแสดงความกังวลว่าการปราบปรามทุนจีนสีเทาจะถูกปลุกปั่นจนเป็นการต่อต้านชาวจีน และประเทศจีน”

มีประเด็นสำคัญที่เรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องที่ลุกลาม กลายเป็นปมปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะอะไร ? เพราะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้ปั่นกระแสทุนจีนสีเทาเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง พูดได้อย่างคะนองปาก คะนองปากมาก ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จีนเทามี 4 ทางเลือก คือ 1. มีจีนเตอ คือ เจอตีน 2. จีนแตก คือ แจกตีน 3. จีนตูบ คือ จูบตีน และ 4. จีนเตี๊ยะ คือ เจี๊ยะตีน


“คุณวิโรจน์ เป็นคนที่ต่ำต้อยมาก ชอบโวยวาย สร้างเรื่องที่ไม่มีพื้นฐานความเป็้นจริงขึ้นมา หรือมีความเป็นจริงแต่ว่าเอาไปปั่นกระแสเพื่อให้ตัวเองโด่งดัง คุณวิโรจน์ โพสต์ข้อความหาเสียงว่า "อุปทานหมู่ กลัวอเมริกาจะแทรกแซง แต่ 9 ปี ดันปล่อยให้จีนเทามาแทรกซึม" ยังพูดต่อด้วยว่า "เรื่องทาสอเมริกา เป็นเรื่องแต่งมอมเมา เรื่องมาเฟียจีนสีเทา นี่สิ! เป็นเรื่องจริง" "ลืมตากี่ที ประเทศไทยก็ยังเป็นของเรา แต่พอรับสายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รู้สึกว่าประเทศนี้เป็นของจีนสีเทาทันที"”

นายวิโรจน์ พยายามปั่นกระแสโยงเรื่องจีนเทาเข้ากับการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่เรื่องจีนเทาเป็นคดีอาชญากรรม เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่นโยบายอินโด-แปซิฟิก ของอเมริกา เป็นสิ่งที่ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสรับรอง พรรคก้าวไกลก็เขียนไว้ในนโยบายหาเสียงของพรรคว่า จะเป็นพันธมิตรกับอเมริกา ทั้งในด้านความมั่นคง และเพิ่มทรัพยากรสำหรับการซ้อมรบคอบร้าโกลด์ ในทางด้านเศรษฐกิจ กรอบความมั่นคง เศรษฐกิจ อินโด-แปซิฟิก


นอกจากนั้นแล้ว ในที่ชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ก็ยังมีเยาวชนสวมชุดนักเรียนถือป้ายข้อความ "Anti One China" เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุมในฮ่องกง มีธงเอกราชฮ่องกง ไต้หวัน ทิเบต ซินเจียง มีการชุมนุมเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้วัคซีนจากจีน โดยที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล ใช้สิทธิประกันตัวให้กับผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดี นี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่อุปทานหมู่เหมือนอย่างที่นายวิโรจน์ พูด


ประเด็นที่สำคัญ นอกจากนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร แล้ว ยังมีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อีกคนหนึ่ง ที่เน้นนักเรื่องทุนจีนสีเทา พูดเกินความจริงไป และสร้างความเสียหายให้กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีน และประเทศไทย


ประเด็นที่มีความสำคัญในเรื่องนี้ ในการสัมภาษณ์สื่อไทยครบรอบ 48 ปี เอกอัครราชทูตจีนทิ้งท้ายด้วยข้อมูลความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ด้วยว่า ปี 2566 ปริมาณการค้าทวิภาคีระหว่างจีน และไทย จะสูงถึง 135,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.72 ล้านล้านบาท  4.72 ล้านล้านบาทคือปริมาณการค้าระหว่างไทยกับจีน ยังสูงกว่างบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลไทยอยู่ที่ 3,185,000 ล้านล้านบาท เสียอีก

ข้อที่สอง จีนเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกัน 10 ปี ข้อที่สาม จีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของไทย ปีที่แล้ว 2565 ปริมาณการค้า รวมสินค้าเกษตร ระหว่างไทยกับจีน อยู่ที่ 13,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 460,000 ล้านบาท เป็นการส่งออกของไทยไปจีนถึง 10,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาในไตรมาสแรกของปีนี้ (2566) มีการส่งสินค้าการเกษตรไทยไปจีน มีมูลค่าสูงถึง 22,500 ล้านเหรียญ ราวๆ 786,000 ล้านบาท


ปี 2565 การลงทุนโดยตรงของประเทศจีนในไทยสูงถึง 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 77,000 ล้านบาท จีนเป็นแหล่งเงินทุนต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ท่านทูตไม่ได้กล่าวถึง จากสถิติในช่วงวันที่ 1 มกราคม - 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ครึ่งปีแรกไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 514,237 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่สุด และกลับมาแซงนักท่องเที่ยวมาเลเซีย เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาติอันดับหนึ่งที่มาประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

“คุณวิโรจน์ครับ คุณชูวิทย์ครับ อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ พวกคุณปั่นกระแสทุนจีนสีเทาเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่มันไม่ได้ทำให้ธุรกิจสีเทาหมดไปได้ เพราะพวกคุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่หนุนหลังทุนจีนสีเทาจริงๆ ก็คือนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณวิโรจน์ คุณไปถามพรรคพวกคุณ พรรคก้าวไกลสิ สนิทกับตำรวจคนไหนมากที่สุด คนนั้นล่ะคือหนึ่งในตัวการของการหนุนทุนจีนสีเทา ไม่ต้องให้ผมเอ่ยชื่อนะครับ แต่ผมรู้อยู่แล้ว ผมมีข้อมูลอีกเยอะ แต่ผมไม่อยากพูดตอนนี้"

คนพวกนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หากินกับกลุ่มทุนจีนสีเทาทั้งไทยและเทศมาแต่ไหนแต่ไร ถ้ายิ่งปั่น ยิ่งโยงเข้าเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ จะทำให้ปัญหาระหว่างไทยกับจีนซับซ้อนมากขึ้น อาจจะนำไปสู่ความบาดหมางของประเทศทั้งสองประเทศ เพิ่มเติมเข้าไปอีกนิดหนึ่ง

“ยิ่งคุณกำลังไปเลือกพรรคก้าวไกลเลือกอเมริกาเป็นคู่ค้าในความมั่นคง ก็คือเลือกอเมริกา ไม่เลือกจีน จะยืนข้างอเมริกาทุกอย่าง อเมริกาจะปิดล้อมจีน ไทยเอาด้วย มันต้องเกิดความบาดหมางแน่นอน อย่างที่ผมเคยพูดให้ฟังกรณีคุณศิริกัญญา ตันสกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกล ในช่วงที่หาเสียงออกมาพูดแบบโง่ๆ ว่าสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยโตช้าก็เพราะว่าผูกกับเศรษฐกิจจีนมากจนเกินไป


“ผมได้เตือนคุณศิริกัญญา ไปแล้วว่าเป็นคนชลบุรี คุณไปถามพ่อค้าแม่ขาย ชาวสวนผลไม้ มังคุด มะม่วง ทุเรียน ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ รถทัวร์ ไกด์นำเที่ยว คนขายของที่ระลึกในภาคตะวันออก หรือคนภูเก็ตที่เลือกพรรคก้าวไกลทั้งเกาะ ว่าถ้าคุณไม่พึ่งจีนแล้วคุณจะพึ่งใคร ? ถ้าไม่พึ่งจีน ก็ขอใช้คำพูดคุณวิโรจน์หน่อย ก็คือ ก็ต้องพึ่งจีนเตี๊ยะ คนไทยต้องพึ่งจีนเตี๊ยะแล้ว ไม่มีรายได้เข้ามา คุณจะส่งทุเรียนไปขายอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ดีไหม”

“การที่คนพรรคก้าวไกล และสาวก คอนด้อมส้ม พยายามจะวาดภาพทุนจีนสีเทา เอาไปผูกกับรัฐบาลจีน และทางการจีน ผมขอเตือนนะครับ ว่าอย่าทำ เมื่อพินาศฉิบหายขึ้นมาแล้ว คุณคิดว่าจีนเขาไม่รู้สึกเหรอ ถ้าเขาบอกว่าคุณไม่ต้อนรับเขา ถ้าอย่างงั้นเขาก็พูดง่ายๆ บอกว่าประเทศจีน นักท่องเที่ยวจีน อย่ามาไทยเลย ไปมาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ไปเวียดนาม ไปเขมรดีกว่า ที่คุณกะว่าจะได้เงินล้านล้านบาทจากนักท่องเที่ยวจีน ถ้าคุณไม่ได้เลย ได้ประมาณแค่สี่หมื่นล้าน ที่หายไปนั้น คุณวิโรจน์ คุณชูวิทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คุณศิริกัญญา คุณรับผิดชอบได้ไหม” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น