“สนธิ” สอนมวย “ไหม ศิริกัญญา” ว่าที่ รมว.คลัง เสนอเพิ่มธนาคารเพื่อให้เกิดการแข่งกันลดดอกเบี้ยเป็นหลักการตลาดแบบโบราณ และไม่รู้ข้อเท็จจริง แนะย้อนดูบทเรียนวิกฤติปี 40 กู้เงินดอกเบี้ยต่ำได้ง่ายจนเกิดวิกฤติ ชี้ทางแก้การเอารัดเอาเปรียบของธนาคาร ต้องกำหนดส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ไม่ให้ห่างกันเกินไป คุมดอกเบี้ยบัตรเครดิต นำเทคโนโลยีมาใช้ลดต้นทุนการปล่อยกู้ ใช้ธนาคารของรัฐรับหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ อย่าตัดสินใจแก้ปัญหาการเงินด้วยวิธีทางการเงินเพียงอย่างเดียว ต้องมีวิธีทางสังคมศาสตร์-จิตวิทยาด้วย
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตัวเต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดใหม่ เคยเสนอความเห็นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ตามที่มีการเผยแพร่วิดีโอคลิปใน TikTok บัญชี “next move on ก้าวต่อไป” เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2566 โดยเสนอหลักการง่ายๆ ตามหลักการตลาดโบราณ คือให้เพิ่มจำนวนธนาคารให้ถึง 20 ธนาคาร เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันลดดอกเบี้ยเงินกู้
น.ส.ศิริกัญญาบอกว่า ที่ผ่านมาเขาจะเปิดใบอนุญาตธนาคารใหม่ เรียกว่า Virtual Bank ก็คือธนาคารออนไลน์ ก็ว่า ดี คือมีธนาคารเพิ่ม เราก็มีตัวเลือก แล้วเขาก็ต้องแข่งขันกันลดดอกเบี้ยให้เราได้กู้ด้วย ปรากฏว่าให้ใบอนุญาตเพิ่มมา 3 ใบ แบบนี้ไม่ได้ เพิ่ม 3 ใบก็ยังไม่ครบ 20 แบงก์ ดังนั้น ตอนนี้มันมีคนรู้ว่ามันมีดีมานด์ มีคนอยากกู้อยู่ ไม่อย่างนั้นไม่มีแอปฯ เงินกู้มากมายเต็มไปหมดหรอก แต่ว่าแบงก์ชาตินี่ก็หวงเหลือเกิน กว่าจะให้ใบอนุญาตเปิดธนาคารเพิ่ม
นายสนธิ กล่าวว่า แปลจากคำพูดของ น.ส.ศิริกัญญา ก็คือว่า การแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ ปัญหาหนี้สินประชาชนนั้น ต้องแก้ไขด้วยการเพิ่มการแข่งขันในวงการธนาคาร ด้วยการเพิ่มจำนวนธนาคารพาณิชย์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารออนไลน์ โดยจะทำให้สามารถกู้เงินได้โดยไม่ต้องไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ซึ่งตอนนี้ที่ฮิตที่สุดคือพวกแอปฯ เงินกู้ต่างๆ
หลังจากคลิปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีคนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า หลายเรื่องที่ น.ส.ศิริกัญญา ให้ข้อมูลนั้น ผิด คือ 1.จำนวนธนาคารพาณิชย์ที่้จดทะเบียนในประเทศไทย นับเฉพาะที่ได้รับการคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก มีทั้งหมด 17 แห่ง ธนาคารัฐอีก 6 แห่ง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ กำหนดให้มี Virtual Banking อีก 3 ใบอนุญาต เนื่องจากเป็นช่วงทดลองขั้นต้น ดังนั้นในภาพรวมแล้วมีธนาคาร 26 แห่ง มากกว่าที่ น.ส.ศิริกัญญา บอกว่าธนาคารในประเทศไทยมีน้อยกว่า 20 แห่ง เมื่อรวมใบอนุญาต Virtual Banking แล้ว
“ถามต่อว่าจำนวนธนาคารพาณิชย์ของไทยปัจจุบันที่มีอยู่ มีน้อยหรือมีมาก ? เรื่องนี้ผมคิดว่าไม่สามารถจะกระโดดออกมากล่าวหาแบบตีขลุมไปเลยว่าประเทศไทยมีธนาคารน้อยแห่ง ไม่มีการแข่งขันภาคธนาคาร จึงนำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค เพราะเราต้องเอาปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ เข้ามาพิจารณาประกอบด้วย
“ผมจะเตือนสติคุณศิริกัญญา นะครับ คุณอายุยังน้อย 20-30 ปีที่ผ่านมา คุณจบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ระดับปริญญาตรี-โท คุณน่าจะเรียนรู้เรื่องวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือยี่สิบหกปีที่แล้ว ผมไม่รู้ ปีนี้คุณก็น่าจะสี่สิบต้นๆ ยี่สิบหกปีที่แล้วคุณน่าจะอยู่ปี 2 หรือปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงต้มยำกุ้งนั้น กระทบภาคการเงินไทยหนักหนาที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เวลานั้นสถาบันการเงิน ทั้งบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จำนวน 58 แห่ง ถูกสั่งระงับดำเนินกิจการ ส่งผลกระทบมาเป็นลูกโซ่ วิกฤตต้มยำกุ้ง ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ของไทยที่เห็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแบงก์กรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ต้องขายหุ้นให้ต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ ถึงทุกวันนี้ โดยเฉลี่ยผู้ถือหุ้นระดับต้นๆ ในธนาคารพาณิชย์ไทยยังเป็นต่างชาติอยู่ เพียงแต่เขาปล่อยให้คนไทยบริหาร แล้วเขาเก็บกำไรจากผลกำไรไป
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นมานานแล้ว เพราะที่เราเจอวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น เป็นเพราะ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเสรีธนาคารในการกู้เงินต่างประเทศ BIBF ง่ายจนเกินไป โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะติดตามมา สมมุติว่าถ้าคุณเป็นลูกค้าธนาคารกรุงเทพ คุณสามารถจะกู้เงินจากเมืองนอกได้ ดอกเบี้ยเงินกู้ตอนนั้น 12 เปอร์เซ็นต์ กู้เงินจากเมืองนอกแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารขอบวกค่า Fee อีกประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังเซฟจาก 12 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 9 เปอร์เซ็นต์
“ทีนี้พอธนาคารปล่อยกู้แล้ว กู้เมืองนอก ธนาคารที่ติดต่อมาก็เป็นคนค้ำประกัน มันก็เลยได้เงินมาง่าย เงินมันเข้ามาง่าย มันก็เอาไปเก็งกำไรในเรื่องของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เสียส่วนใหญ่ แล้วพอเกิดรายการที่ค่าเงินบาทอ่อน ข้อผิดพลาดคือเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตอนนั้น คืออดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คุณเริงชัย มะระกานนท์ ตัดสินใจออกมาสู้นายจอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นปีศาจร้าย ทุกวันนี้มันก็ยังดำรงตำแหน่งเป็นปีศาจร้ายอยู่ ที่จะทำลายสถาบันการเงินทุกแห่งในโลกนี้ เพียงเพื่อจะให้พวก Fund ของมันได้กำไร และในขณะเดียวกันก็เอาเงินทุนไปสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศ อยู่เบื้องหลังของความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นในยูเครน หรือไม่ว่าจะเป็นในหลายๆ ประเทศที่ไม่สงบ ฝีมือจากจอมปีศาจ จอร์จ โซรอส คนนี้
“วิกฤต 2540 ผมเป็นคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หลายสิบปีที่ผ่านมา ยี่สิบกว่าปี ผมกับสื่อในเครือผู้จัดการ ได้ตีแผ่ข้อมูลให้เห็นถึงปัญหาในระบบธนาคาร ว่าเป็นเสือนอนกิน มีเบื้องหลัง ฝ่ายสนับสนุนคือธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง กับนักการเมืองจำนวนหนึ่ง ที่ปล่อยให้มีการเอารัดเอาเปรียบประชาชนเช่นนี้ ช่วงนั้นสื่อเครือผู้จัดการนำเสนอเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง นานหลายปี จนกระทั่งมีการพิมพ์หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กออกมาหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "เปลือยธารินทร์", "ปรส. สมรู้ร่วมคิดฝรั่งกระทืบคนไทย"”
อย่างไรก็ดี ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา ความผันผวนในแวดวงการเงินเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเก่ามาก ยกตัวอย่างกรณีการล้มของธนาคารในอเมริกา เช่น SVB, Signature Bank, Silver Gate ลุกลามไปถึงธนาคารสวิส อย่าง Credit Suisse ซึ่งไม่เคยมีใครคิดว่าจะล้มได้ มันก็ยังล้มภายใน 48 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้การโอนเงินเข้า-ออก สามารถทำได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที ผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านคอมพิวเตอร์
“คุณศิริกัญญา ครับ การเพิ่มจำนวนแบงก์ เพิ่มการแข่งขันอย่างเดียว ไม่สามารถทำได้ เพราะปัจจัยค้ำคอเรื่องความมั่นคงและเสถียรภาพในระบบการเงินเข้ามาด้วย หัวใจสำคัญ ผมเข้าใจดีว่าคุณไหม-ศิริกัญญา มีเจตนาดีต่อการแก้ปัญหาเรื่องการเอารัดเอาเปรียบธนาคาร แต่คุณไหม อาจจะขาดประสบการณ์และความเข้าใจในเชิงปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งผมขอแนะนำเอาไว้อย่างนี้”
ข้อที่ 1.ช่วงหลังนี้มีปัญหาเรื่องหนี้เสียมาก หนี้ครัวเรือน ตอนนี้รถปิกอัพรอให้มีการยึดประมาณล้านกว่าคันแล้ว เพราะคนไม่มีปัญญาจะส่ง ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง ขนาดเล็ก สู้ไม่ไหว ต้องควบรวมกันหมด เพราะเล็กเกินไปมันต้องเจ๊ง ถ้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็อาจจะมีโอกาสอยู่รอด ล่าสุด ทหารไทย กับธนชาต กลายเป็นธนาคารทหารไทยธนชาต หรือชื่อย่อว่า ttb
ข้อที่ 2. ตรงนี้ต่างหากที่ควรต้องทำ ต้องควบคุมธนาคารพาณิชย์ไม่ให้แสวงหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก ที่มากเกินควร นายกรณ์ จาติกวณิช ซึ่งมีประสบการณ์มากในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างที่ออสเตรเลีย ส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากประจำ กับดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านนั้น ห่างเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ เมืองไทยห่างถึง 6 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ต้องไปแก้ อย่างน้อยที่สุดทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ที่คนกู้ไปซื้อบ้านนั้น ลดลงมา แทนที่จะเป็น 6-7 เปอร์เซ็นต์ ให้เหลือแค่ไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ นั่นก็คือการช่วยประเทศไทยแล้ว โดยไม่ต้องเพิ่มแบงก์
3.ไม่เพียงแต่แค่ดอกเบี้ยเงินกู้อย่างการซื้อบ้านที่อยู่อาศัย ยังรวมถึงอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตด้วย บัตรเครดิตที่ธนาคารเป็นเจ้าของ เมื่อถึงเวลาแล้วคุณไม่มีปัญญาที่จะจ่าย เขาก็มีลูกเล่น ก็คือจ่ายขั้นต่ำไป บางแบงก์ให้ 10 เปอร์เซ็นต์ บางแบงก์ให้ 5 เปอร์เซ็นต์ สมมุติคุณมีหนี้อยู่ 50,000 บาท คุณจ่ายขั้นต่ำไปก่อน 2,500 บาท แต่เมื่อคุณจ่ายขั้นต่ำแล้ว หนี้ส่วนที่เหลือคุณจะโดนบวกดอกเบี้ยทันทีเลย ส่วนเพิ่มของดอกเบี้ยตรงนี้มันสูงเกินไป
4.รัฐต้องเอื้ออำนวยให้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพื่อลดต้นทุนของระบบธนาคาร แลกกับการคิดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันธนาคารใหญ่ๆ หลายแห่งกำลังเจอคู่แข่งจากภาค Non-Bank โดยเฉพาะภาคเทคโนโลยีที่รุกคืบเข้ามาสู่ภาคเงิน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันการให้กู้เงินแบบ PIER to PIER หรือแอปฯ ที่มีพื้นฐานจากทุนข้ามชาติ เช่น Ant Financial, Shopee, Grab ซึ่งเขาพึ่งพิงอยู่กับ Big Data หรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ในการระดมเงินฝากหรือปล่อยกู้ หรือในกรณีที่อเมริกา แอปเปิล จับมือกับ โกลด์แมน แซคส์ เพื่อระดมเงินฝากโดยจูงใจด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง สามารถลดต้นทุนในการระดมเงินฝากได้ต่ำมาก นี่ยังไม่พูดถึงปัจจัยอื่นนะครับ เช่น การเกิดขึ้นของระบบ บล็อกเชน หรือ คริปโทเคอร์เรนซี
ดังนั้น ถ้าพูดถึงการเพิ่มจำนวนธนาคารเพื่อให้เกิดการแข่งขัน เกิดการลดอัตราดอกเบี้ย เอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภค มันน่าจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว อาจจะยิ่งบ่อนเซาะทำลายศักยภาพและเสถียรภาพ รวมทั้งความมั่นคงทางการเงินของคนในประเทศอีกด้วย
นายสนธิกล่าวอีกว่า ในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น ถ้าจะทำงานให้ได้ผล ต้องตีนติดดิน ต้องลุย เช่นไปสำรวจโรงงานในเขตชลบุรี หรือในเขตแหลมฉบัง ใครบ้างที่กู้นอกระบบอยู่ ดอกเบี้ยจ่ายเท่าไร ในเมื่อคนๆ นี้มีงานทำอยู่แล้ว ก็คุยกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นของรัฐ เข้าไปสวมลูกหนี้ตรงนี้ไปเลย สมมุติว่าเขากู้มาแล้ว 50,000 เพื่อเอาไปจ่ายให้ลูกเขาเรียนหนังสือ เอาเงินกู้ใหม่ 50,000 เข้ามา โดยดอกเบี้ยแทนที่จะจ่ายร้อยละ 10 ต่อเดือน ก็กลายเป็นจ่ายร้อยละ 10 ต่อปี ร้อยละ 1 ต่อเดือน ส่วนต่างตั้ง 9 เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน เอาไปจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่นได้
“แต่คุณไหม ต้องระวังนะ นิสัยคนไทยกู้ไม่หยุดไม่หย่อน เคลียร์หนี้เก่าได้เสร็จก็อยากสร้างหนี้ใหม่ เพราะหนี้เก่าแทนที่จะผ่อน 10 เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน ผ่อนเหลือ 1 เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน เหลือเงินตั้ง 9 เปอร์เซ็นต์ ไปดาวน์รถกันดีกว่า อันนี้มันใหญ่เกินกว่าความสามารถของคุณไหมแล้ว อันนี้เป็นเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิต รัฐบาลต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นคุณไหม อย่าไปตัดสินใจแก้ปัญหาการเงินด้วยวิธีทางการเงินเพียงอย่างเดียว มันต้องมีวิธีทางสังคมศาสตร์ วิธีทางจิตวิทยา วิถีทางที่จะแนะนำให้คนรู้จักใช้เงินใช้ทองอย่างพอเพียง ตรงนั้นต่างหากคุณไหม สิ่งที่คุณแตะอยู่ทุกวันนี้ คุณแตะผิดที่ และถ้าคุณแตะถูกที่ มันเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง
“คุณไหมครับ ผมเตือนคุณ ผมเห็นคุณตั้งใจดี อย่าโกรธผมที่ผมพูดหลายๆ อย่าง แล้วมันกระเทือนจิตใจคุณ แต่ถ้าคุณยังเลอะเทอะแบบนี้ออกมาอีก ผมก็ยังต้องพูดต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งคุณเป็นรัฐมนตรีฯ คลังได้ ผมเชียร์ เพราะว่าสังคมและตลาดจะเป็นตัวตัดสินเองว่าคุณเป็นรัฐมนตรีฯ คลังที่ดีหรือเปล่า ไม่ใช่ผม” นายสนธิกล่าว