“สนธิ” ถามกลับ “ธนาธร” พรรคการเมืองไหน-ใครกันแน่ ยุยง ปลุกปั่น ให้สังคมแตกแยก-คนไทยเกลียดชังกันเอง บิดเบือนประวัติศาสตร์ โกหกเรื่องกบฎ 7 หัวเมืองแขก ปลุกกลุ่มชาติพันธุ์ให้เกลียดชังรัฐไทย ไม่ได้พูดเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตามที่อ้าง จับโป๊ะ “กัณวีร์”อ้างเป็นตัวแทนชาวปัตตานี ทั้งที่ได้คะแนนทั้งจังหวัดแค่ 3 พันกว่า จาก 1.8 แสนคะแนนที่ทำให้ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้ย้ำให้เห็นจุดอ่อนและจุดเปราะบางในนโยบายของพรรคก้าวไกลอีกครั้งซึ่งหากผลักดันต่อไปจะทำให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก วุ่นวายในสังคม โดยก่อนหน้านี้ได้เคยชี้ให้เห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคมีจุดที่ยอมรับไม่ได้ 3 เรื่อง คือ 1.การดันทุรังให้มีการแก้ไข กฎหมายอาญามาตรา 112
2.การเปิดทางให้ต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเข้าแทรกแซงการเมืองไทย ซึ่งในนโยบายต่างประเทศของพรรคก้าวไกลนั้นระบุชัดเจนว่า จะเป็นพันธมิตรทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกคอบร้าโกลด์
ขณะที่ในเวลาต่อมาใน วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่ มอ.ปัตตานี ก็มีการจัดงานเปิดตัวขบวนนักศึกษา โดยมีการเชิญตัวแทนจาก 3 พรรคว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล เข้าร่วมงาน คือ พรรคก้าวไกล, พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม โดยในงานดังกล่าวซึ่งอ้างว่าเป็นงานวิชาการมีการทดลอง ลงประชามติ “แยกรัฐปาตานีออกเป็นรัฐเอกราช”แต่ เล่นคำ โดยใช้ว่าเป็นหลัก“สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง (Self-Determination)” ซึ่งไม่พ้นจุดหมายปลายทางก็คือการแบ่งแยก รัฐปาตานีออกจากประเทศไทย ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 อย่างชัดเจน
3.การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย แต่ชอบพูดโกหก วันนึงพูดอย่าง อีกวันนึงพูดอีกอย่าง ซึ่งได้เตือนนายพิธาไปแล้วว่าจะโกหกพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย กี่เรื่องก็แล้วแต่ แต่อย่าโกหกประชาชน เพราะการโกหกประชาชนนั้นจะเป็นบาปกรรมที่ใหญ่หลวงมาก
ใครกำลังยุยง ปลุกปั่น ให้สังคมแตกแยก-คนไทยเกลียดชังกันเอง?
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีคลิปวีดิโอ คลิปหนึ่ง ที่เผยแพร่กันมาสักพักแล้ว แต่กลับมาเป็นประเด็น Talk of The Town อีกครั้งในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายใหญ่ของพรรคก้าวไกลตัวจริง นั่นคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 10 มิถุนายน 2566 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา เคยโพสต์คลิปนี้ลงโซเชียลมีเดียเพื่อให้หน่วยงานตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นการปลูกฝังความคิดแบ่งแยกดินแดนให้เยาวชนไทยหรือไม่?
โดยในคลิปปรากฏเป็น นายธนาธร ในฐานะประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล กำลังบรรยายให้นิสิต นักศึกษา และเยาวชนฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของภาคใต้ โดยเป็นคลิปที่คนในที่ประชุมถ่ายมาแล้วเผยแพร่ในสื่อโซเซียล ซึ่งนายสมชาย ระบุว่าไม่ทราบว่าเป็นการอบรมใคร ที่ใด เมื่อไหร่?
ต่อมาผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชี "เทวดาผู้หยั่งรู้ ฟ้าดินฯ อากาศ มหาสมุทร" ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ดังกล่าวอีกครั้ง พร้อมข้อความระบุรายละเอียดไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ บอกว่า “ระทึกสุดขีด คลิปหลุด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปลุกระดมเยาวชนชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคใต้ 14 จังหวัด กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยะลา ระนอง สงขลา สตูล สุราษฎร์ธานี ให้กระด้างกระเดื่องต่อรัฐไทย”
เมื่อสื่อในเครือผู้จัดการ นำคลิปนี้มาเผยแพร่พร้อมถอดคำพูดในคลิปออกมา นายธนาธรก็ออกมาโพสต์โต้ตอบ บอกว่าการนำเสนอดังกล่าวนั้นเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
ข้อความตอนหนึ่ง นายธนาธรบอกว่า “ผมขอตั้งคำถามว่า นี่คือการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อโหมกระพือกระแสที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกำลังพยายามปลุกปั่นว่าพวกเราคณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล เป็นกลุ่มคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน และไม่สมควรได้เข้าบริหารประเทศหรือไม่”
นายธนาธรกล่าวด้วยว่า คลิปวีดิโอนี้เป็นการบรรยายให้กับนิสิตในชมรมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้เป็นการเจาะจงบรรยายให้กับเยาวชนในภาคใต้ 14 จังหวัด
อย่างไรก็ตามความสำคัญของคลิปนี้ อยู่ที่เนื้อหาที่นายธนาธรกำลังพูดให้เยาวชนทั้งหลายฟัง ที่นายธนาธรอ้างว่า หัวข้อที่ตนเองบรรยาย คือ“มองปัญหาชาติพันธุ์ในประเทศไทย”ซึ่งต้องการเปรียบเทียบให้ผู้ฟังเห็นความแตกต่างระหว่างนานาประเทศ กับประเทศไทย ในการชำระประวัติศาสตร์บาดแผลของตัวเอง และสร้างชาติที่เข้มแข็งผ่านการโอบรับความหลากหลายทางเชื้อชาติ มากกว่าการบังคับให้ทุกคนมีจิตสำนึกในความเป็นไทยแบบเดียว
แต่พอมาดูเนื้อหาในคลิป นายธนาธรพูดสรุปใจความสำคัญได้ว่า กบฏ 7 หัวเมืองแขก ไม่ใช่กบฏ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ป่าอยู่เขา ยังไม่รู้เลยว่ารัฐชาติคืออะไร จู่ๆ เกิดรัฐชาติสมัยใหม่ เกิดบัตรประชาชน ถูกบอกว่าต้องส่งภาษีให้กรุงเทพฯ ถือว่าเป็นความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดขึ้น
นายธนาธรบอกว่า จนถึงวันนี้ภาคใต้ คือกลุ่มคนมลายูที่เขาไม่ยอมรับรัฐไทย เพราะความรุนแรงทางวัฒนธรรม
“คุณต้องอ่านภาษาไทย คุณต้องพูดภาษาไทย ถ้าคุณไม่สยบยอม ลูกคุณเข้าโรงเรียนไม่ได้ ลูกคุณเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ คุณต้องแต่งตัวเหมือนฉัน คุณต้องเชื่อเหมือนฉัน คุณต้องใช้กฎหมายของฉัน คุณต้องเหมือนฉัน คุณเป็นอื่นไม่ได้ คุณเป็นอื่นไม่ได้” นายธนาธรกล่าว
คำพูดของนายธนาธรดังกล่าวทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือการปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียด “รัฐไทย” ซึ่งจริง ๆ ก็คือ “ประเทศไทย” หรือไม่? อ้างประวัติศาสตร์ที่ตัวเองบิดเบือนให้ประชาชน-เยาวชน เข้าใจประวัติศาสตร์แบบที่นายธนาธรต้องการหรือเปล่า?
นายธนาธรยังพูดต่อด้วยว่า การที่บอกว่าทุกคนคือเชื้อชาติไทยหมด เป็นความรุนแรงทางวัฒนธรรมที่ถูกยัดเยียด เมื่อรัฐไทยประสบความสำเร็จในการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ ปราบปรามผู้ที่ไม่สยบยอมสำเร็จแล้ว จึงเกิดความรุนแรงทางวัฒนธรรม
นายธนาธรย้ำว่าปัญหามากที่สุดของกลุ่มชาติพันธุ์ หนึ่งเรื่องคือ กลุ่มชาติพันธุ์ถูกกลุ่มชนชั้นนำหักหลังเรื่องที่ดิน หลอกให้มาช่วยรบกับคอมมิวนิสต์ พอรบเสร็จไม่ได้ที่ดิน
“ฟังผมมาถึงตรงนี้ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่าว่าเนื้อหาในคลิปที่ผมสรุปมาเป็นคำพูดจากปากนายธนาธรเองทั้งสิ้นท่านผู้ชมที่มีปัญญาก็คงคิดเองว่าเนื้อหาที่ธนาธรพูดนั้น ฟังอย่างไรก็ไม่ได้เป็นการพูดเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ประชาชนคนไทยตามที่คุณธนาธรอ้างและโต้แย้งมายังหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
“คุณธนาธรครับ แกนนำพรรคก้าวไกลครับ ผมขอเตือนไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งว่า พวกคุณต้องย้อนมองตัวเองว่ากำลังปลุกปั่นให้คนในชาติแตกแยก เกลียดชังกันหรือไม่? โดยยกประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มาบังหน้า โชว์ว่าตัวเองรอบรู้ด้านประวัติศาสตร์” นายสนธิ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานายธนาธรได้ใช้นิตยสาร-หนังสือในเครือฟ้าเดียวกัน บิดเบือนประวัติศาสตร์หลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ธนาธรบิดเบือนเรื่อง “กบฏ 7 หัวเมืองแขก”
นอกจากนี้ สิ่งที่นายธนาธรเอาไปเล่าให้นิสิต-นักศึกษาฟัง ก็เป็นแค่ประวัติศาสตร์เพียงด้านเดียวจากมุมมองของตัวเอง โดยอ้างถึง ว่า “กบฏ 7 หัวเมืองแขก” ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2445 หรือ เมื่อ 120 กว่าปีที่แล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 นายธนาธรบอกว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นเพราะ กลุ่มคนมลายูที่เขาไม่ยอมรับรัฐไทยโดยกล่าวหาว่า เป็นการล่าอาณานิคมของสยาม ของรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้คือ รัชกาลที่ 5 ได้ดำเนินการปฏิรูประบบราชการ และระบบการจัดเก็บภาษีจนสร้างความไม่พอให้ให้กับ “รายา” หรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่ง “รายา” นั้นแท้จริงแล้วก็ถูกแต่งตั้งมาจากส่วนกลางคือ กรุงเทพทั้งสิ้น มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แล้วเพราะฉะนั้นแล้วเรื่องกบฏ 7หัวเมืองภาคใต้นายธนาธรโกหกอย่างบัดซบและนี่คือแกนนำของพรรคก้าวไกลไม่เว้นเลยตั้งแต่หัวหน้าพรรคมาจนถึงเจ้าของพรรคโกหกตลอดเวลา
โดยเรื่อง “กบฎ 7 หัวเมืองภาคใต้” เพจ “ฤา” ซึ่งเป็นเพจประวัติศาสตร์ ได้ให้ข้อเท็จจริงไว้กรณีกบฏ 7 หัวเมืองภาคใต้ คืออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่มีนักวิชาการบางคนชอบเอามาบิดเบือนและโจมตีว่า การปฏิรูปบ้านเมืองในสมัย ร.5 หรือที่เรียกว่า“การรวมศูนย์อำนาจรัฐราชการสมัยใหม่”เป็นการล่าอาณานิคมของสยาม และพยายามแทรกแซงกดขี่คนท้องถิ่น
ข้อเท็จจริงข้อแรก คือ การล่าอาณานิคมของพวกฝรั่ง กับ การรวมศูนย์อำนาจ (centralization) ในสมัย ร.5 ในทางรัฐศาสตร์นั้นเป็นคนละเรื่องกัน
โดย การปฏิรูปบ้านเมืองของ ร.5 เป็นการสร้างมาตรฐานให้เหมือนกันทั้งประเทศ ทั้งระบบราชการ การศึกษา ภาษี ฯลฯ โดยเปลี่ยนจาก “การปกครองในรูปแบบเก่าหรือแบบจารีต” มาเป็นแบบ “รัฐราชการสมัยใหม่” ซึ่งแต่ละหัวเมืองก็ยังคงมีเจ้าเมืองปกครองอยู่ ไม่ใช่การเข้ามายึดเป็นเมืองขึ้นแล้วดูดกลืนทรัพยากรออกไปเหมือนการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก
และ“กรณีของกบฏ 7 หัวเมือง”สาเหตุจริงๆ เกิดจากการที่รายาหรือกลุ่มเจ้าเมืองต่างๆ ต้องเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับก่อนหน้าที่จะมีการปฏิรูประบบภาษีโดยรัฐบาลสยาม ซึ่งเรื่องนี้ยังเขียนไว้ในเอกสารในหอจดหมายเหตุแห่งชาติด้วยว่า แต่เดิม “รายา” เหล่านี้เก็บภาษีชาวบ้านแบบขูดรีดเพื่อเอาเงินเข้าตัว เมื่อมีการเปลี่ยนระบบภาษีก็ทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์และลุกขึ้นก่อกบฏ จนรัฐบาลสยามต้องเข้ามาจัดการ และเป็นการจัดการเฉพาะตัวเจ้าเมืองที่ก่อปัญหาเท่านั้น โดยไม่เกิดการนองเลือดขึ้นกับประชาชน
ซึ่งเจ้าเมืองทั้ง 7 หัวเมืองก็เป็นเพียงแค่ “รายา” ที่แต่งตั้งโดยทางสยาม ไม่ใช่ “สุลต่าน” หรือกษัตริย์ในท้องที่นั้น ๆ เรื่องนี้แม้แต่อังกฤษที่มีอิทธิพลเหนือดินแดนมลายูยังยอมรับว่า อำนาจการปกครองของ 7 หัวเมืองนั้นอยู่ที่สยามมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่อยู่ที่บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ
ดังนั้นการบอกว่า “สยามล่าอาณานิคม” จึงเป็นเรื่อง “โกหก” หรือพูดกันแบบไม่เกรงใจก็คือ นายธนาธร เอาข่าวลือโบร่ำโบราณมามโนปั่นหัวเด็ก เยาวชน และชาวบ้านไปเองกว่าคนในพื้นที่ถูกส่วนกลางเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ
ทีนี้ชัดหรือยังว่า ใครกันแน่ ที่กำลังปลุกปั่นให้สังคมแตกแยก ให้คนไทยเกลียดชังกันเอง ?
กอ.รมน.ภาค 4 ออกโรงสกัด “ประชามติแบ่งแยกดินแดน”
สำหรับความคืบหน้ากรณีการจัดเสวนา เรื่องการกำหนดอนาคตตนเองในสันติภาพปาตานี ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หรือ มอ.ปัตตานี เมื่อ วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ตอนนี้ กอ.รมน.ภาค 4 เข้าแจ้งความเอาผิดขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ พรรคการเมือง และนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการจัดเสวนา และได้จัดให้มีการจำลองการลงประชามติในการแบ่งแยกดินแดนแล้ว
พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ได้มอบอำนาจให้ผู้แทน เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการแจ้งความเอาผิดทางกฎหมายต่อขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ พรรคการเมือง และนักการเมือง ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการจัดเสวนา เรื่องการกำหนดอนาคตตนเองในสันติภาพปาตานี และมีการจัดให้มีการจำลองการลงประชามติในการแบ่งแยกดินแดน โดยให้ผู้เข้าร่วมเสวนาลงประชามติเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดน ในข้อหาร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อันเข้าลักษณะที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน และความมั่นคงของสังคม ให้ได้รับโทษทางกฎหมายจนถึงที่สุด
รายงานข่าวแจ้งว่า มีรายชื่อผู้ที่ถูกแจ้งความในความผิดครั้งนี้ จำนวนกว่า 10 คน เป็นทั้งนักศึกษาที่อยู่ในขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ และอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง รวมทั้งผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ผู้นำภาคประชาสังคมอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งรายชื่อผู้ต้องหาตามที่ทราบมาตอนนี้ มีดังนี้
- นายอิรฟาน อูมา ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส ประธานขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ/อดีตนายกสโมสรนักศึกษา สถาบันอาหรับฯ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์(บุตรของนายนัจมุดดิน อุมา อดีต ส.ส.นราธิวาสที่เคยถูกจับและดำเนินคดีข้อหากบฏแต่ศาลได้ยกฟ้อง)
2.นายสารีฟ สะแลมัน ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
3.นายฮุซเซ็น บือแน ภูมิลำเนา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เลขาธิการ Pelajar Bangsa วิทยาเขตยะลา ผู้ดำเนินการเสวนา
4.นายอาเต็ฟ โซะโก ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ประธานThe Patani
5.นายฮากิม พงตีกอ ภูมิลำเนา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ประธานกลุ่ม Patani Baru รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม
“กัณวีร์” พรรคเป็นธรรม พร้อมใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ปกป้องผู้ต้องหา
วันที่ 22 มิถุนายน 2566 - นายกัณวีร์ สืบแสง รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
“ผมยืนยันว่าพรรคเป็นธรรม ไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนที่ขัดมาตรา 1 กฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะการมีพื้นที่ปลอดภัยให้แสดงออกซึ่งสิทธิและเสรีภาพในการพูดถึง สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง (Right to Self Determination หรือ RSD) และยังต้องเปิดพื้นที่ในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องนี้”
“ผมยังพร้อมจะใช้ตำแหน่ง ส.ส.ที่มาจากชาวปาตานี ปกป้องน้องๆนักศึกษานักกิจกรรม ที่ถูกคุกคาม ถูกดำเนินคดีจากฝ่ายความมั่นคงจากการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งหากฝ่ายความมั่นคงติดตามการจัดกิจกรรมทั้งหมด และแยกแยะให้ชัดว่า แบบสอบถามการกำหนดชะตากรรมตนเอง ไม่ใช่การทำประชามติแบ่งแยกดินแดน”
“ผมยังย้ำกับพี่น้องสื่อมวลชนด้วยว่า หากมีการกล่าวหาผมและพรรคเป็นธรรมว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน ก็พร้อมดำเนินคดีกลับเช่นกัน เพราะเชื่อว่า ความพยายามนำเรื่องนี้ไปฟ้องยุบพรรค อาจเป็นเกมหนึ่งของการล้มรัฐบาล”
อย่างไรก็ตาม หากดูเหตุการณ์ย้อนหลังไม่ไกลนักพรรคเป็นธรรมได้หาเสียงกับ 3 จังหวัดใต้ เช่นยกเลิกศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ถอนทหารออกจากพื้นที่ สร้างสันติภาพในปาตานี ฯลฯ สังเกตว่า พรรคนี้ไม่เรียก “ปัตตานี” ตามรัฐไทย แต่เรียก “ปาตานี” ตามข้อเรียกร้องของพวกแบ่งแยกดินแดน รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม เป็นหนึ่งในคนที่ถูกทหารแจ้งความดำเนินคดีเพราะขึ้นเวทีเสวนาที่จะทำประชามติในการแบ่งแยกดินแดน ก็คือ นายฮากิม พงตีกอ ประธานกลุ่ม Patani Baru
ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ว่านายกัณวีร์อ้างว่าตำแหน่ง ส.ส.ของเขามีที่มาจากชาวปาตานีแต่เมื่อไปดูคะแนนบัญชีรายชื่อของ “พรรคเป็นธรรม” ใน จ.ปัตตานี พรรคนี้ ได้คะแนนเพียง 3,165 คะแนนเท่านั้น แบบนี้เป็นการอุปโลกน์ตัวเองหรือไม่ ว่าเป็นตัวแทนของชาวปัตตานี
จริงๆ แล้วพรรคเป็นธรรมได้คะแนนบัญชีรายชื่อ 184,817 คะแนนทั่วประเทศ ทำให้ได้ ส.ส.1 ที่นั่ง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
มีคนวิเคราะห์ว่า เป็นไปได้ไหมว่า เป็นเพราะดวงดี หยิบเบอร์ได้หมายเลข 3 ซึ่งปรากฎข้อเท็จจริงว่าพรรคที่ได้หมายเลข 1 ถึง 6ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย ต่างก็ได้ ส.ส.พรรคละ 1 ที่นั่งทั้งหมด คาดการณ์กันว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ลงคะแนนสับสนเรื่องบัตร ส.ส.เขต กับ บัตรพรรค ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การได้เป็น ส.ส.ของกัณวีร์ ก็อาจจะเรียกไม่ได้ว่ามาจากเจตจำนงของชาวปัตตานีอย่างแท้จริง
สำหรับพรรคการเมือง เบอร์ 1 - 6 ที่ได้ปาร์ตี้ลิสต์มาพรรคละ 1 คนประกอบไปด้วยเบอร์ 1 พรรคใหม่ เบอร์ 2 พรรคประชาธิปไตยใหม่ เบอร์ 3 พรรคเป็นธรรม เบอร์ 4 พรรคท้องที่ไทย เบอร์ 5 พรรคพลังสังคมใหม่ เบอร์ 6 พรรคครูไทยเพื่อประชาชน
นอกจากนี้นายกัณวีร์ยังเคยมีข่าวว่าเป็นหลานของนายแพทย์เจริญ สืบแสง อดีต ส.ส.ปัตตานี หลายสมัย แต่เครือญาติของนายแพทย์เจริญบอกว่าไม่เป็นความจริงเพียงแต่นามสกุลพ้องกันและนายกัณวีร์ไม่ใช่คนปัตตานี ต่อมาเจ้าตัวออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยแอบอ้าง เพียงแต่เห็นว่านายแพทย์เจริญเป็นบุคคลที่ควรยกย่องเท่านั้น
ทีนี้พอ กอ.รมน.ภาค 4 เอาเรื่อง บรรดาผู้ใหญ่ที่เป็นอีแอบทั้งหลาย นายธนาธร นายพิธา “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช, รังสิมันต์ โรม พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้าทั้งหลาย จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้อย่างไร ?
“คุณธนาธรครับคุณเห็นหรือเปล่าว่าตอนนี้หลายๆเรื่องที่คุณทำที่คุณเดินต่อให้คนทั่วไปไม่ทักท้วงบรรดาเด็กๆหรือเยาวชนที่คุณไปล้างสมองเขาก็เริ่มออกมาทวงถามคำสัญญาต่างๆที่คุณเคยพูดกันเอาไว้แล้วไม่ต่างกันเลยจากสมัยก่อนวันก่อนที่กลุ่มทะลุวังออกมาโพสต์เฟซบุ๊กทวงถามคุณพิธากรณี "น้องหยก"บอกว่า “ไม่เห็นขึงขังเหมือนตอนหาเสียงกับเรื่องนี้กูยังหวังพึ่งไม่ได้ 112คงไม่ต้องพูดถึง🤮🤮🤮”พร้อมทำเครื่องหมายอ้วก 3ที นี่ล่ะครับคือข้อเท็จจริง
“ท่านผู้ชมครับ ผมเสริมนิดหนึ่ง พรรคบ้านี้ รวมทั้งเจ้าของพรรค โกหกพกลมมาตลอด บิดเบือนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ปั่นห้วเด็ก เยาวชน สร้างความแตกแยกให้กับชาติบ้านเมือง แล้วจงใจมุ่งมั่นที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกวิถีทางที่ตัวเองทำได้
“คุณธนาธร เป็นเจ้าของ "ฟ้าเดียวกัน" เป็นคนให้เงินสนับสนุนให้สร้างให้ทำขึ้นมา มือขวาของคุณธนาธร คือ คุณต๋อม ชัยธวัช ตอนนี้กลายเป็นเลขาธิการพรรคก้าวไกล ท่านผู้ชมเห็นวิวัฒนาการหรือยัง พวกนี้เป็นพวกที่เจตนารมณ์ต้องการจะล้มสถาบันกษัตริย์ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ผมเสียดาย แม้กระทั่งคุณพิธา ยังอวดอ้างว่ามีเสียงสวรรค์ 14 ล้านเสียง ที่สนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112 ผมอยากจะถามท่านผู้ชม 14 ล้านคน ท่านเลือกพรรคก้าวไกล เพราะว่าท่านต้องการจะล้มสถาบันกษัตริย์หรืออย่างไร เพราะนี่คือสิ่งที่คุณพิธาพูด” นายสนธิกล่าว